พลับพลึงหญิงสาวที่เติบโตมาในครอบครัวเคร่งครัดปิดกั้น เธอถูกพ่อแม่สอนสั่งแบ่งแยกเรื่องเพศอย่างชัดเจนมาตั้งแต่จำความได้ เป็นเรื่องที่ต้องห้ามราวกับว่ามันผิดมหันต์ พ่อแม่เธอหวงแหนจนไม่แยกแยะ หวาดกลัวกับสังคมที่พัฒนาไปเร็วและความคิดของผู้คนที่เปิดกว้าง
เธอจำได้เลยว่าตอนจะขึ้นมัธยมพ่อแม่เคยเกือบส่งเธอไปเรียนต่างจังหวัดด้วยเหตุผลเดียวที่ว่าอยากให้เธอเรียนโรงเรียนหญิงล้วนเพราะจังหวัดของเธอไม่มีโรงเรียนหญิงล้วนเหลืออยู่แล้ว แต่เพราะระยะทางที่ค่อนข้างไกลหลายร้อยกิโลทำให้ไม่สะดวกกับการไปรับกลับบ้านทุกอาทิตย์ สุดท้ายพ่อแม่จึงตกลงกันให้เธอเรียนในจังหวัด แต่เปลี่ยนเป็นไปรับไปส่งเธอด้วยตัวเองทุกวันจนเรียนจบมัธยมปลาย
และใช่ การจะมาเรียนต่อมหาลัยในเมืองหลวงของเธอไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พ่อแม่ได้พูดคุยวางแผนเรื่องมหาลัยไว้ให้เธอแล้ว แต่เป็นเธอที่ต่อต้านด้วยการไม่สมัครสอบ ไม่ทำอะไรที่มหาลัยไหนเลยนอกจากที่นี่ที่เดียว เวลาพ่อแม่ถามเธอก็ตอบอย่างขอไปทีผ่าน ๆ ราวกับว่าทำทุกอย่างแล้ว จนสุดท้ายเธอก็โกหกว่าเธอสอบไม่ติดและติดแค่นี่ที่นี่เดียว
เธอไม่รู้หรอกว่าพ่อแม่เชื่อหรือเปล่า แต่ตอนที่เธอบอกนั้นคือช่วงใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ถ้าพ่อแม่ยังไม่ยอมก็อาจจะทำได้เพียงรอลงเรียนปีหน้า ซึ่งตอนนั้นเธอพยายามอย่างมากที่จะขอร้องและยกเหตุผลร้อยแปดเพื่อให้ได้มาเรียนที่นี่ เพื่อให้ได้ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองตามความคิดของตัวเอง
บางคนอาจจะเห็นด้วยกับความคิดของพ่อแม่เธอ อาจจะหาว่าเธออวดเก่ง ในเมื่อยังใช้เงินพ่อแม่อยู่ก็ควรเชื่อฟัง เพราะเธอทำตัวแบบนี้ไงพ่อแม่ถึงไม่ไว้ใจให้ออกไกลบ้าน เธอขอตอบเลยว่าลองให้พ่อแม่ใครเป็นแบบนั้นบ้างแล้วจะรู้ว่ามันอึดอัดแค่ไหนที่ไม่สามารถเปิดใจพูดคุยกับพ่อแม่เรื่องในแบบวัยรุ่นได้เลย
ที่สำคัญกว่านั้นที่ผ่านมาเธอไม่เคยทำตัวไม่ดีให้พ่อแม่ไม่ไว้ใจด้วย เธอไม่เคยมีแฟนแม้จะเคยมีชอบ ๆ คนนั้นคนนี้ตามวัย Puppy love แต่ก็ไม่เคยคบ เธอไม่เคยเที่ยวเล่นที่ไหนนอกจากกิจกรรมโรงเรียน วันหยุดคืออยู่บ้าน เลิกเรียนคือกลับบ้าน เวลาเดียวที่เธอได้เรียนรู้ชีวิตวัยแรกรุ่นก็คืออยู่โรงเรียน ศึกษาจากเพื่อนที่แลกเปลี่ยนเล่าสู่กันฟัง
เธอไม่ใช่เด็กนิสัยเรียบร้อย ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอย่างที่พ่อแม่พยายามสั่งสอนให้เธอเป็น แต่เธอก็ทำได้เพียงเป็นอย่างที่พ่อแม่อยากให้เป็น ทำตัวอยู่ในกฎระเบียบมาตลอดจนเธออึดอัด ไม่อยากทน รู้สึกถึงความห่างของความสนิทสนมจากพ่อแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยิ่งโตเธออยากมีเรื่องพูดคุยปรึกษากับพ่อแม่ได้แต่เธอก็ทำแบบนั้นไม่ได้
และมันก็ทำให้เธอมีความคิดเริ่มต่อต้าน เริ่มเบื่อหน่าย เธออยากออกห่างพ่อแม่อย่างที่พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าเธอไม่ชอบสิ่งที่พวกเขาทำและเป็น และเธอก็พูดมันออกไปไม่ได้นอกจากใช้การเรียนมาเป็นสะพานพาตัวเองออกมา
การคบหากับหินผามันไม่ใช่ความใจแตกของเธอ มันไม่ใช่ความใจง่ายของเธอ แต่นิสัยเธอจริง ๆ ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว เธอรู้ว่าวัยไหนสามารถดูแลตัวเองได้ สามารถมีรักแบบไหนได้ เธอกล้าที่จะทำและอยากที่จะทำตามใจตัวเองบ้าง
แต่สุดท้ายพ่อแม่ก็ดันเข้ามารับรู้ และทำให้ความรักดี ๆ กำลังเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ที่เธอรู้ว่าหินผาไม่พอใจ เพราะแม้แต่ลูกอย่างเธอก็ยังไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ถ้าลูกยังเอาแต่เงียบไม่สำนึกแบบนี้ก็ไม่ต้องมาพูดกันอีกแล้วนะพลับ!” เสียงเข้มดังขึ้นอย่างข่มขู่ทันทีที่ไม่ได้ดั่งใจเมื่อเธอไม่ยอมบอกอะไรเกี่ยวกับหินผาออกไป
“ทำไมพ่อกับแม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่คะ” เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ในเมื่อมีใครหลายคนแม้แต่คนวัยทำงานหลายคนด้วยซ้ำที่คบหากันแต่ยังไม่ได้แต่งงานทั้งที่วัยของพวกเขาพร้อมกว่าเธอด้วยซ้ำ และพวกเขาเหล่านั้นก็มีอะไรกันอยู่แล้วเพราะมันคือส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์
แต่ทำไมพ่อแม่เธอกลับไม่คิดแบบนั้นบ้าง
“แล้วมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ อย่างนั้นเหรอ! ลูกเป็นผู้หญิงการที่!...” พ่อเธอพูดออกมาอย่างไม่พอใจก่อนจะเงียบไปอย่างไม่อยากพูด
เห็นไหม ว่าครอบครัวเธอแบ่งแยกเรื่องเพศอย่างชัดเจน พ่อที่เป็นผู้ชายพูดอะไรแบบนี้กับลูกสาวอย่างเธอยังไม่ได้เลย
“การที่ลูกยังไม่แต่งงานและมีอะไรกับผู้ชายถ้าลูกถูกทิ้งจะเป็นยังไง นี่ไม่เท่ากับว่าลูกถูกย่ำยีเหรอพลับ!” แม่ของเธอพูดขึ้นแทนเป็นการถาม
“คุณค่าของผู้หญิงไม่ได้อยู่แค่เรื่องเซ็กส์หรอกนะคะ คนแต่งงานกันแล้วเลิกกันแปลว่าไม่หมดคุณค่าเหรอคะ มันไม่ย้อนแย้งเกินไปเหรอในเมื่อพ่อแม่มองคุณค่าผู้หญิงคือเซ็กส์ แต่งแล้วเลิกก็ผ่านเซ็กส์มาแล้ว” สำหรับเธอย้อนแย้งสิ้นดี
“มันไม่เหมือนกันไง เพราะพวกเขาแต่งงานกันอย่างถูกต้อง!” แม่เธอยังย้อนกลับตามความเชื่อ
“แล้วแบบนี้คนที่มีอะไรกับคนรักตัวเองแต่ยังไม่แต่งงาน ก็กลายเป็นคนไม่มีคุณค่ากันหมดเหรอคะ” น่าขำสิ้นดีที่ปีพ.ศ. นี้แล้วแต่พ่อแม่เธอยังไม่ยอมปรับความเข้าใจเรื่องของเซ็กส์
เรื่องธรรมชาติที่คนบางคนทำให้มันผิดธรรมชาติ
“ไม่ต้องยุ่งเรื่องของคุณอื่น ตอนนี้แม่พูดเรื่องของลูกอยู่!” เมื่อเห็นลูกสาวไม่เชื่อฟังก็เสียงดังขึ้นทันที
“ถ้างั้นพี่ผาก็คือคนอื่นนั่นแหละค่ะ ครอบครัวเขาไม่ได้สอนมาแบบนี้ก็ไม่ผิดถ้าเขาจะรับไม่ได้กับสิ่งที่พ่อแม่บีบบังคับเขา” เพราะแม้แต่เธอที่ถูกกรอกหูมาตั้งแต่จำความได้ยังไม่มีความคิดและยึดติดเหมือนพ่อแม่เลย
“แต่มันดันเกิดขึ้นกับลูกไง แต่มันดันเข้ามาเกี่ยวข้องกับลูกไง เพราะแบบนั้นก็ต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำอย่างถูกต้อง!” ก็ยังเป็นเหตุผลของตัวเองอย่างไม่สนใจใครเหมือนเดิม
“ถ้าลูกจะไม่เชื่อฟังพ่อแม่งั้นพรุ่งนี้ก็ทำเรื่องย้ายกลับไปเรียนมหาลัยใกล้บ้านเลย” เมื่อยังเห็นลูกสาวดื้อดึงไม่หยุดธวัชก็ยื่นคำขาดออกมา คำที่ทำให้พลับพลึงได้แต่เย้ยหยันตัวเองในใจ
และนั่นก็ทำให้เธอจำต้องบอกนามสกุลของหินผาออกไป เพราะเธอก็ไม่รู้จักครอบครัวเขาเหมือนกัน เขาไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับเธอและเธอก็ไม่คิดจะถามเขาด้วย
หลังจากเมื่อวานพ่อแม่เธอรู้จักครอบครัวของหินผาแล้วก็ไม่รอช้าโทรนัดหมายและเข้ามาหาในวันนี้ที่เธอต้องลาเรียนตามคำสั่งของพ่อแม่ เข้ามาโดยที่หินผาก็ถูกเรียกตัวตามกลับมาเหมือนกัน
และตั้งแต่เขามาเขามองเธอเพียงปรายตาเดียวแล้วก็ไม่ได้มองอีกเลย ไม่แม้แต่จะพูดอะไรออกมาเลยสักคำเดียว มีแต่พ่อแม่เธอและพ่อของเขาที่กำลังนั่งคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ผมไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอกนะครับ แต่ผมเห็นว่ามันไม่เหมาะสมเลยที่ลูกชายคุณทำแบบนี้กับลูกสาวผม ผมอยากทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องตามประเพณี” ธวัชพูดสิ่งที่ต้องการออกมาอย่างไม่พอใจ
“ผมขอโทษนะครับที่ลูกชายผมทำให้คุณไม่สบายใจ แต่ผมว่าเรื่องนี้เราน่าจะให้เวลาเด็ก ๆ ได้เรียนรู้กันไปอีกหน่อยน่าจะดีนะครับ” เพราะเขารู้ว่านิสัยลูกชายเป็นยังไงและก็มองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมชาติด้วยเช่นกันทำให้ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับสิ่งที่อีกฝ่ายเรียกร้อง
นี่ถ้าไม่ติดว่ารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักธุรกิจใหญ่ของภาคอีสานเป็นที่รู้จักในวงการธุรกิจไม่น้อย เขาคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจับลูกชายเขาเป็นแน่
“คำว่าเรียนรู้มันควรอยู่ในขอบเขตของมัน แต่ตอนนี้ลูกชายคุณออกนอกเขตไปไกลแล้วครับ” เขายอมไม่ได้จริง ๆ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำเหมือนไม่อยากรับผิดชอบลูกสาวเขาราวกับไม่มีความหมายยิ่งทำให้เขารับไม่ได้ที่เป็นแบบนี้
จากตอนแรกอยากทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณี แต่ตอนนี้เขาอยากทำให้คนพวกนี้รู้ว่าลูกสาวเขาไม่ใช่จะทำยังไงก็ได้
“แกว่ายังไงผา” ขุนเขาหันไปถามลูกชายตัวเองที่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไร
“.....” หินผาไม่ได้ตอบอะไรสำหรับเขาตอนนี้เรื่องนี้คือเรื่องเฮงซวยที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
“เอาเป็นว่าผมจะรับผิดชอบทุกอย่างให้ถูกต้องตามประเพณีก็แล้วกันนะครับ แต่รอให้เด็ก ๆ สอบเสร็จก่อนคุณว่ายังไงครับ” ขุนเขาเห็นว่าลูกชายเงียบจึงแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพราะเขารู้ว่าเดี๋ยวลูกชายของเขาก็จะไปพูดคุยกับเด็กสาวอีกครั้ง ถ้าสุดท้ายตกลงกันว่าจะรับผิดชอบตามความคิดของลูกชายเขาก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าสุดท้ายทั้งสองตกลงกันว่าไม่นั่นก็ต้องยอมรับ
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัว” ธวัชได้ยินแบบนั้นก็ตอบรับอย่างพอใจก่อนจะลุกขึ้นพาลูกสาวและภรรยาออกไป
“.....” พลับพลึงลุกขึ้นมองหินผาที่เขาไม่มองเธอเลยสักนิดด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก แต่สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงยกมือไหว้พ่อของเขาก่อนจะเดินออกไปตามแรงจูงมือของผู้เป็นแม่
“พ่อว่าหมั้นก็ไม่เสียหายอะไร” เมื่ออยู่สองคนขุนเขาก็พูดกับลูกชายตัวเองออกไป หมั้นเพื่อตัวลูกชายของเขาเองที่เขาอยากให้...
“.....” หินผายังคงเงียบไม่พูดอะไรกับเรื่องนี้เพราะเขายังไม่คิดเลยว่าตัวเองจะถูกบีบบังคับกับเรื่องพวกนี้จนถึงขั้นนี้
“จัดการเองแล้วกัน ได้เรื่องยังไงก็บอก”