กิจกรรมของหนุ่มสาวในวัยร้อนแรงและพลุ่งพล่านก็ไม่ได้มีแค่เรื่องบนเตียงเสมอไป มีอีกหลายอย่างที่เขาและเธอต่างก็ได้ร่วมกิจกรรมด้วยกันอย่างสร้างสรรค์ เล่นดนตรี ดูกีฬา ทำอาหารรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่าง ๆ เท่าที่อยากพูด
“ทำไมพี่ผาทำอาหารเก่งจัง” เธอยืนเป็นลูกมือให้เขาอดถามไม่ได้เมื่อวันนี้เขาลงมือทำมัฟฟินให้เธอด้วยตัวเอง
“เคยเรียนน่ะ” เรียนมาหลายอย่างทั้งอาหารคาวหวาน ดนตรี ศิลปะ เรียนตามคำแนะนำของ... ช่างเถอะ
“ดีจัง ต่อไปพี่ผาสอนพลับบ้างสิ พลับอยากเป็นฝ่ายทำให้พี่ผากินบ้าง” ถ้าเธอเป็นฝ่ายยืนทำขนมหรืออาหารให้เขากินเขาจะมองเธอหมือนที่เธอมองเขาไหมนะ “พี่ผาจะได้รักได้หลงพลับเหมือนที่พลับรักและหลงพี่ผา”
ใช่ การที่คนเราตั้งใจทำอะไรสักอย่างมันมีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะคนที่เรารัก
“พี่ชอบความร้อนแรงของพลับที่สุด” เขายกยิ้มหันมาบอกเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“ไม่พ้นเรื่องใต้สะดือตลอด!” เธออดว่าให้เขาไม่ได้เมื่อเขาวกลงแค่ตรงนั้นที่ต้องการจากเธอโดยยอมรับหน้าที่พวกนี้เองฝ่ายเดียว
น่าดีใจไหมนะ
“พี่ผาเคยทำอาหารกับขนมพวกนี้ให้สาวที่ไหนหรือเปล่า” ไม่เชิงว่าจับผิดหรอก แต่เป็นความอยากรู้มากกว่าใครได้กินก่อนเธอ
“ไม่เคย” เขาตอบกลับมาแทบจะทันที
“พูดจริงอ่ะ!” ท่าทางและน้ำเสียงของเธอตื่นเต้นไม่น้อยกับคำพูดของเขา แต่ถ้าเป็นแบบนี้จริงทำไมไม่ดีใจกันล่ะที่ได้รับอะไรเป็นคนแรกจากเขาทั้งที่เขาอยู่กับผู้หญิงมาตั้งหลายคน
“อืม” เมื่อก่อนตอนเขาไปเรียนครูก็จะให้เอากลับมาทุกครั้ง เขาไม่ได้ชอบของหวานอะไรพวกนี้อยู่แล้วสุดท้ายก็เลือกจะเปิดขยะทิ้งเพราะไม่รู้ใครจะกิน จะเอาไปให้คนอื่นกินก็ไม่รู้จะอร่อยหรือเปล่าเพราะเขาก็ไม่เคยชิมฝีมือตัวเองเหมือนกัน
กระทั่งมีพลับพลึงนี่แหละที่ได้ชิมเป็นคนแรกและเอ่ยปากชมเปาะไม่หยุด
“ดีใจจัง” เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของเขาก็ทำให้เธอดีใจไม่น้อย และอดพูดต่อไม่ได้ “เหมือนพลับเลย พลับก็พึ่งเคยรักพี่ผาคนแรก”
ไม่รู้มีประโยชน์หรือเปล่าที่พูดแบบนี้ออกไปเทียบกับเขา แต่เธอแทบไม่เคยทำอะไรแบบนี้ให้เขาเหมือนที่เขาทำให้เธอเลย
“ตรงนั้นพี่ก็เข้าคนแรกนะ” แล้วคนทะลึ่งก็ขยับหน้ามากระซิบข้างหูเธอ
“ทำไมพี่ผาทะลึ่งได้ตลอดเวลาแบบนี้ล่ะ!” อดที่จะเอ็ดไม่ได้จริง ๆ ไม่ว่าจะพูดอะไรอารมณ์ไหนก็เข้าถึงความทะลึ่งได้ตลอด
“หึ!” เขากระตุกยิ้มออกมาอย่างพอใจ นั่นทำให้เธอนึกได้
“แล้วใช่พลับคนแรกหรือเปล่านะที่ทำให้พี่ผายิ้มได้บ่อย ๆ แบบนี้” ถามออกไปอย่างไม่ได้หวังอะไรหรอก แต่ตอนที่เธอเคยเห็นเขาผ่าน ๆ เธอเห็นเพียงหน้าเดียวของเขา แต่หลังจากอยู่กับเขาเธอกลับเห็นเขายิ้มบ่อยมาก
“ถ้าบอกว่าใช่” เป็นการตอบคำถามที่ให้เธอคิดเอง
“พูดให้ดีใจเล่นหรือเปล่า” เธอเบะปากว่าให้เขาอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ “ก็รู้ว่าพลับเชื่อพี่ผาง่ายขนาดนี้”
ยังจะคิดหลอกให้เธอรู้สึกว่าตัวเองพิเศษมากขนาดไหนกันอีกล่ะ
“.....” เขายกยิ้มกับคำพูดของเธอก่อนจะยกนิ้วที่เลอะแป้งมาป้ายปลายจมูกของเธอแล้วหันกลับไปทำขนมตรงหน้าต่อ
“อีกปีพี่ผาเรียนจบแล้วพี่ผาจะทำอะไรต่อเหรอ” ปีนี้เขาอยู่ปีสาม ปีหน้าก็ขึ้นปีสี่แล้ว “จะเรียนต่อหรือทำงานเลย”
แต่ดูจากฐานะของเขาแล้วต่อให้เรียนต่ออีกสี่ห้าปีก็ไม่เดือดร้อนแน่ เธอก็หวังให้เขาเรียนต่อนะ ต่อในมหาลัยเดิมได้ยิ่งดีจะได้เจอเขาไปอีกนาน ๆ เพราะตอนนี้เธอพึ่งปีหนึ่งเอง
“คิดไว้ว่าเรียนต่อ” เขาตอบเธอโดยไม่ได้มองหน้าแต่มองของตรงหน้าแทน
“เรียนต่อที่ไหนอ่ะ มหาลัยเดิมเลยไหม” เมื่อได้ยินแบบนั้นก็มีหวังขึ้นไม่น้อยถามและรอคำตอบจากเขา
“อยากให้เรียนต่อที่เดิมไหมล่ะ” เขาไม่ตอบแต่หันมาย้อนถามเธอ
“ถ้าบอกว่าอยากจะเรียนที่เดิมไหมล่ะ” ถามแบบนี้ให้ความหวังกันชัด ๆ ก็รู้ว่าเธออยากให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
“ก็คงงั้น” เขาไหวไหล่ตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ขี้โกงอ่ะ ทำแบบนี้ให้ความหวังกันชัด ๆ” เธอยู่หน้าว่าให้เขาทันทีกับความไม่ชัดเจนแต่กลับให้ความหวังเธอเต็มเปา
“ถ้ามีเด็กงอแงให้เรียนต่อที่เดิมก็จะเรียนต่อที่เดิม” เขาว่าด้วยรอยยิ้มอบอุ่นราวกับไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้วที่จะต่อที่เดิม
“งั้นพลับงอแงนะ งอแงให้พี่ผาเรียนที่เดิมนะ” ได้ยินแบบนั้นก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปอ้อนเขาด้วยนำเสียงติดงอแงตามที่เขาบอก
“รอไปงอแงบนเตียงจะได้ผลดี” เขาหันมาชี้ทางสำเร็จให้เธอทันที
“ได้ คืนนี้ไม่สลบไม่ต้องนอน” ความฮึกเหิมปากดีนี้ไม่เคยจำสักทีว่าเขาสามารถทำแบบนั้นได้
“ดีล” และไม่รอช้าคนเจ้าเล่ห์หื่นกามอย่างเขาก็ตอบรับกลับมาในทันที
เพราะไม่ได้กลับห้องตัวเองเลยตั้งแต่อยู่กับหินผา เพราะกลัวห้องจะร้างทำให้วันสุดสัปดาห์นี้เธอเลือกกลับมานอนห้องตัวเองบ้าง มาโดยที่ข้างกายมีหินผามาด้วย
วันหยุดที่ปกติอยู่ห้องของหินผาที่มีอะไรให้ทำมากมายจากอุปกรณ์ที่ครบครันต่างจากห้องของเธอที่มีครัวขนาดเล็กไว้ให้พออุ่นอาหารกินจากไมโครเวฟและตู้เย็นก็ว่าได้ เพราะแบบนั้นทำให้วันหยุดในห้องของเธอมื้อเช้าในเวลาเกือบเที่ยงคือการออกไปหาอะไรกินข้างนอก ออกไปเที่ยวเล่นเหมือนคู่รักคนอื่น ๆ
อาหารมื้อแรกของวันผ่านพ้นไปก็ไม่ได้รีบร้อนจะกลับบ้าน พากันไปดูหนังอย่างที่พลับพลึงไม่ได้ดูมานานแล้ว ส่วนกับหินผาปกติเขาไม่ชอบออกมาดูหนังข้างนอกแบบนี้ตั้งแต่โตมาหนึ่งมือนับยังเหลือเลยที่ออกมาดูหนัง แต่ครั้งนี้เขาก็ยอมดูตามที่พลับพลึงต้องการ
และช่วงที่เธอมาตอนนี้ดันมีหนังผีเข้าใหม่พอดี ดูจากทีเซอร์แล้วถือว่าน่าดูมากแม้จะน่ากลัวและสุดท้ายเธอก็เลือกหนังผีมาพร้อมกับเลือกที่นั่งแบบเตียงทันที
หนังพึ่งจะเริ่มได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีคนที่อยากดูกลับมุดหน้าเข้ากับร่างสูงของหินผาแทบดูไม่รู้เรื่องไปแล้วก็ว่าได้ ต่างจากคนที่ไม่ได้มีความคิดอยากดูกลับนอนจ้องจอนิ่งราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ได้ส่งผลใด ๆ ต่อความรู้สึกของเขา
“สงสารคนสร้างหนังนะที่มีคนดูได้นิ่งแบบนี้” เธอที่เห็นเขานิ่งไร้การสะดุ้งก็อดเงยหน้าไปมองร่างสูงไม่ได้ ยิ่งเห็นใบหน้าเรียบนิ่งพร้อมกับดวงตาคมที่จ้องมองจอเฉย ๆ นั่นอดขยับไปพูดข้างหูเขาไม่ได้
“มันไม่ใช่แนวพี่ไง” เขาตอบกลับมาเบา ๆ ก่อนจะขยับปากมาที่ข้างหูเธอแล้วพูดประโยคต่อมา “ถ้าเป็นหนังสดพี่ไม่นิ่งแบบนี้หรอก”
“อีกแล้ว ทะลึ่งอีกแล้ว” เธอตีอกแกร่งไปหนึ่งทีอย่างไม่แรงนักว่าให้เขาอย่างไม่จริงจังก่อนจะหันไปสนใจจอใหญ่ด้านหน้าต่อ แต่สนใจได้ไม่นานก็ต้องมุดหน้าหนีอีกครั้ง
สุดท้ายหนังเกือบสองชั่วโมงเธอแทบจะได้ดูเต็มตาแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น ส่วนที่เหลืออยู่ใต้ผ้าห่มอย่างเดียวเลย
“ไม่ชวนพี่ผามาดูหนังผีอีกแล้ว!” เธอพูดขึ้นทันทีที่เดินออกจากโรงหนัง เพราะการชวนเขามาดูหนังผีแน่นอนว่าไม่สามารถเล่าฉากที่ติดตาติดใจด้วยได้เลย
“หึ! ๆ” หินผาหัวเราะออกมาอย่างขบขันกับท่าทางของเธอที่กลัวแต่อยากดู พอได้ดูยังอยากพูดถึงอีก “อยากกินอะไร”
เขาเปลี่ยนเรื่องถามเพราะนี่ก็บ่ายแก่ ๆ เกือบเย็นแล้วกลับห้องเธอไปก็ไม่มีอะไรให้ทำกิน
“ลงไปซื้อของใช้ก่อนแล้วค่อยขึ้นมาซื้อของกินกลับไปกินที่ห้อง” เพราะของใช้บางอย่างใกล้หมดแล้วเธอจึงซื้อกลับไปเลย ส่วนอาหารรอก่อนกลับค่อยซื้อจะได้ไม่นานเกินไปจนหมดอร่อยก่อน
“อืม” เขาตอบรับอย่างไม่มีปัญหาพาเธอไปเลือกซื้อของที่ต้องการพร้อมกับได้ของตัวเองมาด้วยจากการเลือกของเธอที่จำได้ดีว่าเขาใช้อะไรยี่ห้อไหน เมื่อซื้อของครบทั้งของใช้ของกินก็ฝ่ารถติดกลับคอนโดของเธอ
กลับเข้าไปนั่งในห้องได้ไม่ถึงสิบนาทีก็ได้พบกับเรื่องไม่คาดฝัน