สันดานคิว
ผมขับรถกลับมาที่บ้านเพราะรำคาญไม่อยากเจอไอ้โค้กกับเฮน่าที่คอนโด
บังเอิญว่าผมเสือกอยู่คอนโดเดียวกันกับเฮน่าครับ ปรกติผมกลับมาบ้านอาทิตย์ละหนแต่พอไอ้โค้กกลับมาถึงบ้านมันก็เอาแต่เดินตามพยายามจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดจนผมรำคาญ
“ดึกแล้วนะกูจะนอนพรุ่งนี้กูต้องทำงาน!” ผมบอกมันที่ยังนั่งอยู่ในห้องผมไม่ยอมลุกไปไหน
ขนาดหนีไปอาบน้ำแล้วนะ
“พี่คิวเดี๋ยวดิอย่าพึ่งนอนฟังผมอธิบายก่อน!”
“ไปไกลๆ ตีนถ้าไม่อยากโดนกูเตะ!” ผมหันไปมองไอ้โค้กที่ทำท่าจะเดินมาหาผม
“แต่ผมไม่ผิดนะ!”
“นี่ขนาดมึงไม่ผิดนะกูยังเสียไปตั้งห้าพัน!”
“...ใครจะไปรู้ล่ะว่าต้องจ่ายค่าทำขวัญมันด้วย”
“สมองไง…มีมั้ยคิด!”
“เออน่า…ห้าพันเองหักตังผมไปก็ได้”
“พูดง่ายนะมึงหาเงินเองได้รึยัง!”
“ผมขอโทษ…หายโกรธนะพี่คิวให้กราบก็ได้อ่ะ”
“มึงไม่ต้องเข้ามาไปไกลๆ เดี๋ยวตีนกูลั่น!”
“พี่คิวก็เอาแต่ด่าผมอ่ะ! ...ไอ้เชี่ยนั่นนะที่เป็นฝ่ายผิด!”
“ยังจะปากดี! ...ถ้าไม่ใช่เรื่องเฮน่ามึงจะมีเรื่องมั้ย?”
“เฮน่าไม่ผิดนะพี่คิว! ไอ้เชี่ยนั่นแหล่ะที่ผิดแค่นี้ยังน้อยมันล่อลวงเฮน่าของผมไปข่มขืนนะ! ...ถ้าไม่ติดว่ากลัวเฮน่าจะอับอายป่านนี้ผมลากมันเข้าคุกไปแล้ว!”
“เอาดีๆ ไม่ใช่เมียมึงเหรอที่ไปกับเขา”
“เฮน่ารักผม! ...ไม่มีทางยอมไปกับไอ้เชี่ยนั่นเด็ดขาด เธอแค่หัวอ่อนเชื่อคนง่ายเลยโดนคนชั่วคนเลวอย่างไอ้เชี่ยนั่นมันหลอกไป…ถ้าผมไปไม่ทันนี่ก็ไม่อยากจะคิดเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง” ไอ้โค้กทำหน้าเคียจแค้นกังวล
“ที่พูดน่ะมึงใช่มั้ยที่โดนเมียหลอก”
“ไรวะพี่คิว?!” ไอ้โค้กชักสีหน้า
“กูเตือนมึงก็หัดฟังบ้างนะไอ้โค้ก เมียมึงน่ะไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น”
“มันก็แค่ข่าวลืออ่ะผมคบของผมมาทำไมจะไม่รู้!” มันเถียงแทนเมีย
“ไปให้พ้นๆ หน้ากูเลยไป!” ผมออกปากไล่รู้ดีว่าพูดเตือนไปก็เปล่าประโยชน์
“พี่คิว…”
“กูบอกให้ไป!” ผมขึ้นเสียงใส่มันก็ยอมเดินออกจากห้องผมไปตามคำสั่ง
ผมนั่งลงบนเตียง
ยอมรับว่าในหัวยังคิดเรื่องของไอ้โค้กอยู่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้มันตาสว่าง
อีกเรื่องที่หงุดหงิดคือไอ้หน้าอ่อนที่มีเรื่องกับไอ้โค้ก
ยอมรับนะครับว่าไม่ถูกชะตา ไม่ชอบขี้หน้าไม่ชอบสันดานของมันสักนิด
ไม่เคยมีใครมองผมกับไอ้โค้กแบบนั้น มันทำเหมือนมันเป็นผู้ชนะที่สามารถเรียกเงินกับคำขอโทษจากปากไอ้โค้กได้ ถ้าไม่ติดว่าเคลียร์กันที่โรงพักผมก็ไม่มีทางควักตังจ่ายมันหรอกแถมจะจัดมันสักชุดให้หายซ่าส์ เลิกปากดีทำเก่ง
ไม่ได้เข้าข้างน้องขนาดนั้นนะแต่ผมว่าทั้งสองคนมันก็ผิดพอๆ กันทั้งคู่ หน้าไอ้โค้กมันก็บวมช้ำอยู่ไม่ใช่ผมไม่เห็น
เจ็บตัว เสียตัง เสียหน้าและยังต้องมาเสียประวัติ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งหงุดหงิดจัดอย่างที่ไม่เคยเป็น
เช้าวันรุ่งขึ้น
ผมก็ต้องตื่นเช้ากว่าปรกติเพื่อไปทำงาน
บริษัทเคเคเฟอร์นิเจอร์ แอน ดีไซค์
ที่นี่เป็นโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์และรับออกแบบเฟอร์นิเจอร์ครบวงจรควบกับการตกแต่งภายในกิจการที่บ้านที่ตอนนี้ตกเป็นของผมแบบจำใจที่พูดแบบนี้เพราะพ่อยกให้ผมทันทีที่เรียนจบ
ไม่ถาม
ไม่บอกล่วงหน้าและไม่สนว่าผมอยากทำรึเปล่า
เอาชีวิตของพนักงานตาดำๆ เกือบร้อยชีวิตมายัดใส่มือเด็กอายุ22อย่างผมให้บริหารแต่มันก็ผ่านมาได้2ปีแบบถูไถ ผมจบสถาปัตย์ไงถนัดงานดีไซค์งานออกแบบไม่ใช่งานบริหาร ตอนนี้ก็เลยต้องพาตัวเองไปเรียนโทด้านบริหารเพิ่มความรู้เพิ่มงานเพิ่มภาระให้ตัวเองไปอีก
ส่วนพ่อผมเหรอ?
หนีครับ
หนีไปอยู่ต่างจังหวัดกับแม่สองคนทิ้งผมกับไอ้โค้กไว้กรุงเทพ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะบอส” เสียงคุณน้องเลขาของผมทักทาย
“ครับ” ผมยิ้มบางๆ ก่อนนึกอะไรขึ้นมาได้ “คุณน้องช่วยเช็คให้ผมทีว่าแบบที่เสนอโรงแรมเดอะ โสภาเสร็จรึยัง”
“ค่ะบอส” เธอรับคำและกดโทรศัพย์ต่อสายทันที
คุณน้องเป็นเลขามรดกที่พ่อยกให้ผม เรารู้จักคุ้นเคยกันมาเป็นสิบกว่าปีผมเลยไม่มีปัญหาอะไรเมื่อได้ร่วมงาน กลายเป็นคุณน้องด้วยซ้ำที่ช่วยแนะนำ ช่วยบอก ช่วยสอนผมในหลายเรื่อง คุณน้องทำงานว่องไวเข้าใจนิสัยว่าแท้จริงแล้วผมค่อนข้างเอาแต่ใจและใจร้อน อยากได้อะไรต้องได้ อยากรู้อะไรต้องรู้แต่สิ่งที่ผมแสดงออกเป็นภาพลักษณ์ต่อหน้าคนอื่นคือ บอสเป็นคนนิ่ง สุขุม สุภาพ ใจเย็น ประณีประนอม ผมรู้ดีว่าอารมณ์ร้อนใช้กับงานไม่ได้
“เสร็จเรียบร้อยค่ะบอส”
“งั้นส่งแบบของบริษัทเดอะโสภาให้ผมด้วย”
“บอสจะไปเองเหรอคะ?”
“ครับ…ก็คุณบอกผมเองว่างานคนอื่นล้นมือ ผมว่างช่วงสายจะแวะเข้าไปคุยจะได้ไม่เสียเวลา” ผมบอกเลขาที่ยิ้มหน้าบานมองผมอย่างปลาบปลื้ม
“บอสน่ารักจังเลยค่ะ” คุณน้องชม
“มันใช่เวลาที่คุณจะมาชมผมมั้ยไปเอาแบบมา” ผมทำเสียงดุเธอก็รีบเดินออกไปทันที
เขินนะครับ…
อย่างที่บอกว่ารู้จักกันมาเป็นสิบกว่าปีตั้งแต่ผมกับไอ้โค้กยังเป็นเด็กชายและวิ่งเล่นกันในออฟฟิส เธอเอ็นดูรักใคร่ผมอย่างไรสายตาตอนนี้ที่มองผมมันก็ยังไม่เปลี่ยน
รออยู่สักพักเธอก็ส่งไฟล์กับเอาแบบมาให้ ผมหยิบแบบดูความเรียบร้อยก่อนเก็บใส่กระเป๋าเขียนแบบ
“วันนี้ผมไม่เข้ามาแล้วนะมีอะไรด่วนก็โทรมา”
“ค่ะบอส…ขับรถดีๆ นะคะ” คุณน้องยิ้ม
“ครับ” ผมพยักหน้าก่อนเดินออกจากห้อง คุณน้องเดินตามออกมายืนส่งผมหน้าลิฟต์เหมือนแม่มายืนส่งไปทำงานไม่มีผิด
ขับรถฝ่าการจราจรที่ติดขัดเล็กๆ มายังบริษัทเดอะ โสภา วนลงมาจอดรถชั้นใต้ดินที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องหาที่จอดรถยากผมเลยลักไก่จอดในช่องผู้บริหารแบบเนียนเพราะรปภ.ไม่อยู่
คว้ากระเป๋าโน๊ตบุ๊คและกระเป๋าเขียนแบบลงจากรถเดินเข้าลิฟต์กดที่ชั้น6
บริษัทนี้เป็นหนึ่งในคู่ค้าเก่าแก่ตั้งแต่สมัยพ่อคุ้นเคยกันพอควรจนผมเรียกคุณโสภาว่าคุณน้าจนติดปาก
ลิฟต์เปิดที่ชั้น6
ผมเดินออกเลี้ยวซ้ายไปตามทางเดิน
แต่…
คุ้นจัง? ...
ผมหยุดยืนมองผู้ชายที่พึ่งมีเรื่องกับน้องผมมาเมื่อวาน
ไม่ผิดเป็นไอ้เด็กนั่นจริงๆ ผมมองมันที่เอาแต่ก้มหน้าเล่นมือถือไม่สนใจว่านี่คือทางเดินแต่อย่างใด
ว่าแต่มันมาทำอะไรที่นี่วะ?
ดูการแต่งตัวที่สบายซะจนผมไม่คิดว่ามันจะเป็นพนักงานที่นี่รู้ดีว่าออฟฟิสนี้ใส่ฟอร์มพนักงาน
เสื้อยืดแบรนด์เนมกับกางเกงยีนส์ขาดๆ แบบสตรีทแฟชั่นมันไม่เข้ากันกับชั้นผู้บริหารสักนิด
ช่างแม่ง!
ผมจะไปสงสัยทำไมในเมื่อมีอะไรสนุกๆ ให้ทำ
ผมยิ้มร้ายกับความคิดไม่ดีในหัวไอ้เด็กนั่นก็ยังมัวแต่ก้มหน้าเล่นมือถือไม่เลิก
เดินเข้าไปไกล้
และ…
ปึก!
ชนเต็มแรงแขนกระแทกไหล่อย่างจงใจ แม้มันจะสูงประมาณคิ้วของผมได้แต่รูปร่างถือว่าผอมบางกว่าผมหลายเท่าโดนชนเข้าก็เซกระเด็นไปชนผนัง
ผมทำเมินยังคงเดินต่อไปแม้จะได้ยินเสียงมือถือในมือมันร่วงกระเด็นก็ตาม
แอบยิ้มสะใจแต่เสียดายที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้
เป็นออฟฟิสผมนี่มันไม่เหลือ!
อย่างที่บอกครับว่าจริงๆ ผมเป็นคนไม่ยอมใครมันเลยเป็นไปไม่ได้ที่เจอคนที่ทำให้หงุดหงิดใจแล้วจะไม่เอาคืน
“เชี่ย! ...เจ็บ!” ผมได้ยินเสียสบถ “นี่คุณ!” ผมยังเดินต่อไปเฉยๆ
เมิน…
ไม่สน…
“คุณมึง! นั่นแหล่ะครับอย่าหูตึง!”
ฟังมันพูดครับปากมันนี่! ...
ผมยอมหยุดเดินและหันกลับไปมองมันด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่เป็นมิตร ไม่มีอะไรติดค้างเพราะงั้นผมไม่จำเป็นต้องปั้นหน้าเป็นคนดีกับมันอีกต่อไป
“คุณพี่ห้าพัน!” เด็กนั่นดูประหลาดใจ
“มาเดินเกะกะอะไรแถวนี้วะ!” ผมจ้องหน้ามันแบบขัดใจ
“ก็เดินดีๆ ไม่ได้แกว่งตีนหาเรื่องใครไอ้คนที่มันตั้งใจเดินก็ควรหลบให้ไม่ใช่มาชนกันแบบนี้ ทางเดินแม่งก็ออกจะกว้างแต่สงสัยใจคนแม่งยังแคบว่ะ”
ปากไวใช้ได้แต่ไม่ควรมาทำเก่งกับผม
จ้องแบบนี้คือพร้อมมีเรื่องว่างั้น มึงนี่มันใจร้อนดีจัง
แบบนี้ค่อยสนุกหน่อย…ผมหัวเราะอยู่ในใจ
“ทำไมต้องหลบ?” ผมถามพร้อมกับเดินเข้าไปหามันแบบพร้อมมีเรื่องเช่นกัน
“อ้าว…สรุปคือกวนตีนว่างั้นไม่คิดว่าคุณพี่ห้าพันจะสันดานเดียวกับน้องนะครับ…แสดงว่าตายตาไม่หลับถ้าไม่ได้เอาคืนว่างั้น”
“อย่าลามปาม! …สงบปากสงบคำไว้บ้างนะอย่าพึ่งโชว์กร่างคิดว่าที่กูควักตังจ่ายคือกลัวมึงงั้นเหรอ! ...เข้าใจผิดแล้วเด็กน้อย…” ผมยิ้มบางๆ ก้มลงมาจ้องตามันที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
มันยิ้มกลับเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้สายตาเคืองขุ่นเปลี่ยนไปเป็นสงบนิ่ง
“ไปสอนน้องมึงก่อนเหอะถ้าไม่ได้มึงนี่โง่กว่านี้อีกนะกูห่วง”
“มึงนี่โคตรกวนประสาท!”
“มันก็มาจากมึงที่กวนกูก่อนนั่นแหล่ะกูไม่หาเรื่องใครก่อนอยู่แล้ว” มันยักไหล่
ท่าทางแม่งกวนอารมณ์ร้ายๆ ผมสุดๆ ปากร้ายๆ กับท่าทางมั่นใจของมันต้องเจอผม!
แต่…
ไม่น่าใช่วันนี้ผมมีงานต้องทำ…
ผมยกนาฬิกาขึ้นดูเวลาก็พบว่าเสียเวลาเปลืองน้ำลายกับมันมาหลายนาที
“เดี๋ยว!” มันจับไหล่ผมที่กำลังจะเดินไปจากตรงนี้
“อะไรของมึง!” ผมมองมือขาวๆ ที่จับไหล่ผมจนแน่นแถมยังทำหน้าขึงขังแต่ผมว่ามันไม่น่ากลัวสักนิด
ไอ้หน้าอ่อน!
“ขอโทษกูก่อน!” มันเสียงดังใส่ผมเหมือนกำลังขู่บังคับ
“เพื่อ?” ผมปัดมือมันออกเหมือนโดนมดแมลงเกาะแกะกวนใจ
“มึงชนกูก่อนนะ…จะบอกว่าไม่เห็นก็ไม่น่าใช่ตัวกูก็ออกจะใหญ่เผลอๆ สูงกว่าหัวบรรพบุรุษมึงอีก”
“มึง! ...”
ไอ้เชี่ยนี่! ...
ผมเงียบหลับตาขบกรามแน่นจนเห็นสันกรามนูนชัด
มันกำลังทำให้ผมเดือดจัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่น่าเสียเวลามาเล่นต่อปากต่อคำกับมันเลย
โดนด่าถึงบรรพบุรุษเฉยเลยครับ
“ไปไกลๆ …ก่อนที่กูจะไม่ทน!”
“…ขอโทษมาก็จบ!”
“กูไม่ขอโทษมึง!” ผมยืนยันความคิดเดิมของตนเอง
“มีอะไรกันรึเปล่าคะ?” เสียงคุณน้าโสภาดังขึ้น
“สวัสดีครับคุณน้า” ผมปรับสีหน้าอารมณ์หันไปทักทาย ไม่รู้ว่าคุณน้ามายืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว
“ค่ะ…สวัสดีค่ะคุณคิววันนี้มาเองเลยนะ” คุณโสภายิ้ม
“ลูกน้องติดงานกันหมดน่ะครับ” ผมตอบและตวัดสายตาไปมองไอ้เด็กนั่น
“แหม…ขยันขันแข็งกันจริงๆ” คุณโสภายิ้มกว้าง “แล้วนี่รู้จักกันรึยังคะ? น้องกานต์ลูกชายคนเล็กของน้าเองน้องกานต์นี่คุณคิวเจ้าของบริษัทเฟอร์นิเจอร์ที่แม่บอก”
“หึ…เราต้องร่วมงานกับคนสันดานแบบนี้เหรอครับ?” มันย้อนผมแถมยิ้มกวนตีนกว่าเก่า
เชี่ยแล้วไงเรื่องแม่งจะบังเอิญไปถึงไหนกันวะเนี่ย!
2ปีที่ทำงานกับคุณน้ามาไม่เคยเจอมันเสือกมาเจอกันวันนี้เนี่ยนะ!
“น้องกานต์!” เสียงคุณน้าดุ
“ขอโทษนะครับคุณน้าผมว่าวันนี้คงไม่สะดวก”
“อะไรกันคะมาถึงที่นี่แล้วแท้ๆ นี่…มีเรื่องอะไรกันคะหรือว่าลูกชายหน้าเสียมารยาทเข้า” คุณน้าโสภาซักไซ้มองผมกับลูกชายตัวเองสลับกัน
“ลานะครับ” ผมยกมือไหว้และหันไปมองไอ้น้องกานต์อะไรนั่นที่คุณน้าเรียก
“เดี๋ยวสินะคุณคิว…น้องกานต์นี่มันเรื่องอะไรกัน” เสียงคุณน้ายังคงเรียก
“โจทย์เก่าน่ะครับไม่มีอะไร” ผมได้ยินไอ้เด็กนั่นตอบก่อนผมจะเดินเข้าลิฟต์
แม่ง! ...
ลูกคุณน้าโสภางั้นเหรอ? ...
ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดถ้าเลือกได้ผมจะไม่เหยียบออฟฟิสนี้อีก
แต่ก็ดีที่รู้ว่ามันเป็นใครกูจะเอาคืนที่มึงด่าเลยไปถึงบรรพบุรุษ!
ออกจากลิฟต์เดินกลับมาที่รถก็เห็นว่ามีรถเก๋งสีขาวจอดขวางอยู่ผมเดินอ้อมไปท้ายรถและออกแรงดันได้ใช้กำลังบ้างก็ดีบางทีอาจหายหงุดหงิด
แต่! ...
“ใส่แบรคมือ!” ผมหงุดหงิดจนอยากจะเตะรถคันนี้สักทีสองที
คนออฟฟิสนี้แม่งสันดานเสียตั้งแต่ลูกน้องยันเจ้านายเลยใช่มั้ยวะ!
หันไปมองรปภ.ที่ยืนมองผมอยู่ก่อนแล้ว
“ช่วยตามเจ้าของรถคันนี้ทีครับรถผมออกไม่ได้” พูดจบก็เดินไปเปิดรถวางกระเป๋าเห็นพี่รปภ.เขาพูดใส่วอร์เป็นเลขทะเบียนรถ
แค่นั้น…
พูดจบก็เดินกลับไปนั่งเหมือนมันเป็นเรื่องปรกติ
“แม่งเอ๊ย!” ผมหงุดหงิดแต่ไม่อยากมีเรื่องเลยเลือกที่จะเข้าไปนั่งรอในรถ
สตาร์ทรถกดดันเผื่อว่าพี่รปภ.จะทำอะไรขึ้นมามากกว่านี้บ้าง
แต่ก็เหมือนเดิม
ลดกระจกลงเล็กน้อยคอยฟังเสียงวอร์ที่ตอนนี้ยังเงียบเชียบ
“เมื่อกี้…ที่บริษัทคุณโสภาแม่งเป็นคู่ค้ากับบริษัทแม่กู!” ถ้าหูไม่ฝาดผมว่าผมได้ยินเสียงไอ้เด็กนั่นนะ
ผมมองออกไปข้างนอกเห็นมันเดินคุยโทรศัพย์กับใครสักคนแถมยังนินทาผมไม่หยุด
“โลกกลมชิบหายแต่ที่ร้ายกว่านั้นคือมันจงใจชนกูแล้วไม่ขอโทษ แม่ง…สันดานเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องว่ะ!”
ผมมองตามมันที่ยังคุยไปเรื่อยๆ เห็นว่ามันเดินหายเข้าไปที่ซอกรถข้างๆ กับรถผม
“มันกวนตีนหาเรื่องกูก่อนอ่ะ…แม่กูก็ถามว่ามันเรื่องอะไรกัน กูก็ตอบผ่านๆ ยังไม่ทันได้มีเรื่องจริงๆ หรอก…แต่ที่กูหงุดหงิดคือแม่งตีสองหน้าไง! กูก็หลงเข้าใจว่ามันเป็นคนดีมีมนุษยธรรมไม่เข้าข้างสปอยน้องที่ไหนได้เจอกูคราวนี้แม่งใส่ก่อนเลย”
ผมไล่สายตามองรถข้างๆ ก็รูว่ามันคือรถไอ้เด็กนั่น
บังเอิญชะมัด! ...
นับว่าในเรื่องร้ายยังมีเรื่องดีผมจะทำเป็นไม่ได้ยินที่มันนินทาแล้วกัน
“เออนี่กูกำลังไป”
เสียงกดรีโมทรถ
ผมรีบเปิดประตูรถผมและตรงไปเปิดประตูรถคันข้างๆ ทันที
ปึก… ประตูฝั่งคนขับ
ปึก! ...ประตูฝั่งผม
“เชี่ย!” มันตกใจหันมามองผม
“เออ…กูเอง!” ผมยิ้มหวาน
มันกดวางสายก่อนหันมาโวยวายใส่ผม
“มึงเข้ามาในรถกูทำไมวะ!” มันโวย
“มึงนินทาใครกูได้ยินนะ” ผมจ้องหน้ามันแบบไม่ชอบใจแต่ก็ตกลงกับตัวเองไปแล้วไงว่าจะไม่ติดใจเอาเรื่อง
“ด่ามึงไงล่ะสันดาน! ...ลงไปจากรถกูเลยขึ้นมานั่งทำไม!” เด็กนั่นผลักแขนผมพยายามดันจนตัวผมไปติดประตู
ผมปัดมือมันออกและเป็นฝ่ายจับมือจับแขนมันไว้ ไอ้เด็กปากร้ายมันก็ยิ่งสะบัดแต่ว่าผมจับแน่นเลยไม่หลุด
ข้อมือแม่งเล็กนะ?
หรือว่ามือผมใหญ่ไป?
เผลอคิดอะไรไร้สาระ
“กูออกไม่ได้” ผมบอกมันไปตามตรงถึงเหตุผลที่เข้ามานั่งในรถมัน
“อะไรของมึงก็เปิดประตูแล้วลงไปไง!”
มันคงเข้าใจว่าผมกวนตีนสินะ
“ไม่ใช่…กูหมายถึงรถกู!”
“ออกไม่ได้มันก็เรื่องของมึง! ...ไปบอกรปภ.อย่ามาบอกกู!”
“น้ำใจน่ะมีมั้ย?”
ผมถามหาน้ำใจจากมันเฉยรู้สึกเสียหน้านิดๆ ที่ต้องกลับไปพูดดีกับมันอีกครั้ง
“ทำไมกูต้องมีน้ำใจให้คนที่ร้ายกับกูก่อนวะ! ...เมื่อกี้ไม่มีผลประโยชน์มึงก็พูดจาแบบไม่เห็นหัว…ตอนนี้เป็นไงล่ะมึงเสือกอยากจะพึ่งกูว่างั้น? มึงมันคนสองหน้าไอ้สัส!”
นั่นไง…
ด่ากูอีกแล้วนะไอ้เด็กนี่ผีเจาะปากรึไงวะ!
ผมข่มอารมณ์ยอมจำนนเพราะต้องพึ่งมันจริงๆ
“ด่าพอยัง?”
“ยัง!”
“งั้นด่าให้พอแล้วลงไปบอกรปภ.ให้ตามเจ้าของมาเลื่อนรถคนนั้นด่วน…รถกูอยู่นี่” ผมจับมือมันที่ผมยังจับอยู่ชี้ไปที่รถคันข้างๆ ผม
“ซวยชิบหาย!” มันสบถและพยายามสะบัดมือผมออก “ปล่อยมือกู!”
“ไม่! ..มึงต้องรับปากว่าจะไปบอกรปภ.ให้กูก่อน”
“มึงก็ไปบอกเอง!”
“กูบอกแล้วแต่เงียบ…”
“มึงนี่แม่ง!”
“ไม่ต้องด่ารีบลงไปหารปภ.ถ้าไม่อยากให้กูจับมือมึงอยู่แบบนี้”
“ขอโทษกูดิกูจะบอกให้”
“มึงนี่ร้ายใช่ย่อยนะ!”
“เร็ว! ...ขอโทษมา!”
“มึงก็รู้ว่าไม่มีทาง! ...ลงไปบอกรปภ.เร็วๆ! หรือว่าชอบให้กูจับมือมึงวะ!”
“เชี่ย!” มันสะบัดสุดแรงจนหลุดจากมือผมก่อนจะเปิดประตูลงไป
ปึก!
ปิดประตูใส่เสียงดังแต่นี่รถมันไม่ใช่รถผมก็เลยไม่สนใจ
มองตามก็เห็นมันเดินไปหารปภ.หน้ามึนที่ตอนนี้ดูกระตือรือล้นอย่างกับคนละคนที่คุยกับผม
มันหันมามองผมที่ยืนพิงรถมันแบบไม่พอใจ
ผ่านไปหลายนาทีก็มีผู้หญิงลงมาแสดงตัวได้ยินเสียงเธอขอโทษขอโพยแต่ไอ้เด็กนั่นก็ไม่สนใจฟังเอาแต่เร่งให้ผู้หญิงคนนั้นขยับรถ
ผมยิ้มขยับเข้ามานั่งในรถตัวเองที่ยังสตาร์ททิ้งไว้
เก๋งสีขาวขยับเปิดทางให้แล้ว
ผมขยับรถออกจากซองช้าๆ ก่อนจะแตะเบรคเมื่อรถจอดตรงหน้าไอ้เด็กนั่น
กดกระจกลงเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ามันที่ยังดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
ยิ้มให้แบบกวนตีนก่อนที่จะขับออกไปโดยไม่พูดอะไรกับมัน
“อย่าหวังกูไม่มีวันขอบคุณหรือขอโทษมึงหรอก” ผมพูดพร้อมมองกระจกหลัง