เอ๊า?...สายเหลือง?
โรงแรมเดอะ โสภา มารีออท
วันนี้คุณนายโสภานัดผมมาใช้งานนอกสถานที่ครับ ผมอยู่ในโรงแรมเครือเดอะ โสภา ซึ่งที่นี่คือสาขาระดับห้าดาวที่เดียวที่เราทำด้วยทำเลมันใจกลางเมืองและใกล้รถไฟฟ้าจริงๆ แล้วถ้าพูดถึงเดอะ โสภาต้องนึกถึงโรงแรมhostel เราเป็นผู้นำในตลาดนี้และยังไม่มีบริษัทใดที่มีสาขาเยอะเท่าเรา
เพราะคุณนายโสภาเขามีความฝันอยากให้เดอะ โสภามีครบทุกจังหวัดในไทย ผมก็อยากจะเถียงว่าโรงแรมเราไม่ใช่เซเว่นไม่จำเป็นต้องมีทุกที่แต่รู้ดีว่าเสียงเล็กๆ ของผมมันไม่มีพลังมากพอที่จะกลบความฝันคุณนายได้
แม่ผมเป็นผู้หญิงเก่งและแกร่งครับ
สู้ชีวิตมาด้วยลำแข้งจากธุรกิจเริ่มต้นที่เป็นอพาร์ทเม้นต์ให้เช่า พัฒนามาเป็นเซอร์วิสอพาร์ทเม้นต์และโรงแรมขนาดเล็กในที่สุดถ้าถามถึงพ่อก็จะบอกว่าอยู่บนสวรรค์นานแล้ว…
แม่เลี้ยงมาคนเดียวตั้งแต่เด็กจนผมคิดไม่ออกว่าความอบอุ่นจากพ่อเป็นยังไงช่างเถอะเรื่องนี้มันไม่สำคัญไปหาคุณนายโสภากันดีกว่าครับ
ผมเดินเข้ามาในร้านอาหารเอ้าท์ดอร์ วิวสวย อากาศดี เห็นแสงสียามค่ำคืนเรียกว่าโรแมนติกจนลูกค้าชอบมาเดทและขอแต่งงานกันที่นี่บ่อยๆ สมัยที่คุณโสภาส่งผมมาเป็นบริกรผมเห็นประจำทุกวันจนเบื่อไม่ได้มานานมันก็ยังสวยแต่การตกแต่งก็ดูแปลกตาเปลี่ยนไปตามยุคสมัยนั่นแหล่ะครับ
“น้องกานต์!” เสียงแม่ดุผมอีกแล้ว
“ขอโทษที่สายครับ” ผมยิ้มพร้อมนั่งลงกว่าจะฝ่าการจราจรที่ติดขัดกลางเมืองมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ “หิวแล้วครับทานเลยมั้ย?” ผมยิ้มให้แม่แบบอ้อนเช่นเดิม
เวลาอยู่กับแม่ไอ้แฝดมันชอบขำเพราะผมที่พวกมันรู้จักไม่ใช่คนขี้อ้อนแบบนี้แต่พวกมันรู้ดีว่าแม่ผมดุและลูกอ้อนคือหนทางเอาตัวรอดที่ดีที่สุดของผม
“คุยเรื่องงานก่อน” แม่ว่าพร้อมกับยื่นแบบโรงแรมใหม่มาให้ผม
“คราวนี้ที่ไหนครับ?” ผมรับมาพร้อมกับคิดในใจว่าไม่น่าเรียนบริหารการจัดการโรงแรมตามที่คุณนายสั่งเลย
ใช้คุ้ม…
“poshtel แม่เห็นกระแสกำลังมาได้ที่แปลงมุมที่หัวหินมาแปลงนึง ทำสักยี่สิบสามสิบห้องพอ”
ฮั่นแน่…
แม่ผมนี่ทันสมัยไม่เคยตกกระแสเลยจริงๆ
ใช่ครับตอนนี้ตลาดที่กำลังเบียดแข่งกับhostelคือposhtel คุณนายฉลาดเลือกที่จะสกัดคู่แข่งด้วยการสร้างเองมันซะเลย
แต่…
“ไม่น่าเหมาะเพราะหัวหินขายตลาดครอบครัวมาแต่ไหนแต่ไรขัดกับposhtelอย่างแรงแถมเป็นแหล่งไฮโซ ไฮเอ็น ผมว่าทำหรูแบบ5ดาวจะดีกว่า มีแปลงอื่นมั้ยครับposhtelที่นี่ไม่ได้จริงๆ …ที่แถวสนามบินเส้นแอร์พอร์ตลิงค์ล่ะครับตรงนั้นเหมาะทำposhtel”
“แม่พึ่งปล่อยเช่าไปไม่นานยังไม่หมดสัญญา”
“สรุปว่าอยากได้หัวหินหรืออยากทำposhtel ครับ”
“ทั้งสองอย่าง”
“ขายที่หัวหินไปซื้อพัทยายังน่าทำกว่าอีกคนไทยน่ะไม่ค่อยอินกับhostel poshtel ตลาดหัวหินโตในกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยกับเอเชียแถมเป็นกลุ่มครอบครัวอย่าฝืนเลยครับ เก๋แต่กริบไม่คุ้ม” ผมวิเคราะห์ตามตรงรู้ว่ามันคงขัดใจแม่แต่ก็ทำ
“นั่นสินะ…” คุณนายโสภายิ้มสายตาที่มองผมมันดูปริ่มอกปลื้มใจแปลกๆ
นึกว่าจะดุผมซะอีก? ...
“อะไรครับ?”
“ไม่เสียแรงที่บังคับให้เรียนคิดว่าเอาแต่เที่ยวเล่น ควงสาว เอาแต่สนุกไปวันๆ ซะอีก” คุณนายยิ้มกว้างกว่าเก่าทำเอาผมเขินเบาๆ ครับที่แม่ชม “หมดห่วงแล้วล่ะ”
“พูดอะไรครับผมยังทำให้แม่ปวดหัวไปอีกนาน”
“เรื่องนั้นแม่รู้ดี…มาอันนี้ของจริงล่ะ”
“ห๊ะ?” ผมงงนี่คือกลอุบายอันแยบยลของคุณนายงั้นเหรอ?
ลองภูมิผมเพื่อ?
หรือกลัวเงินที่ส่งผมเรียนจนถึงปีสี่นี่มันจะเสียเปล่า ยิ่งใกล้จะจบนี่ก็คือใช้เอาๆ แบบตามแต่ใจ
“พัทยาจริงๆ …poshtel โครงสร้างเดิมเป็นอาคารพานิชย์เก่า 12 คูหาติดกัน”
“นั่นไงแกล้งผมทำไมครับเนี่ย”
“ไม่ได้แกล้งแม่แค่อยากรู้ว่าฝากเดอะ โสภาไว้ในมือน้องกานต์ได้รึเปล่า พี่กราฟน่ะแม่ไม่ห่วงแล้ว”
ผมนิ่งเมื่อแม่พูดถึงพี่ชายเลือกที่จะหยิบแบบตรงหน้าขึ้นมาดูเงียบๆ
นั่งดูนั่งเลือกอยู่พักใหญ่ผมก็ส่งแบบที่น่าสนใจ คุ้มค่าให้คุณโสภาเลือกต่อ
“แบบนี้มันคลาสสิก ดีเทลก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนใช้เวลาก่อสร้างไม่นานยึดโครงสร้างอาคารเดิมบางส่วน มันก็ดูเท่ห์ วินเทจนิดๆ และงบประมาณคุมได้ดี แต่เสียที่มันไม่สะดุดตาแต่ว่าสร้างคอนเซ็ปทำการตลาดโรงแรมได้หลายอย่าง ส่วนแบบอันนี้มันเป็นเทรนการออกแบบของช่วงนี้ สวย หรู ดูดีแต่มีดีเทลยิบย่อย งบสูงหน่อย แต่รับรองว่าใครผ่านมาก็มองและสนใจ”
“น้องกานต์ว่าไงล่ะ”
“ตลาดในพัทยาโตเร็วและการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ นะครับ ความเก๋ หรูหรา สวยสะดุดตาจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เราสวยสุดแต่อีกสองปีจะมีที่สวยกว่า ผมว่าจับตลาดวัฒนธรรมนิดๆ ก็ดีแบบต่างชาติอยากพักคนไทยอยากถ่ายรูปน่าจะเวิร์คกว่าแต่เป็นคอนเซ็ปที่เราไม่เคยทำมาก่อน”
“อื่ม…น่าสนใจนะ”
“เอาไว้คุยกับที่ปรึกษาตัวจริงก่อนดีกว่าครับอย่าพึ่งเห็นตรงกับผม”
“พี่กราฟก็ต้องคิดเหมือนน้องกานต์นั่นแหล่ะ” แม่ยิ้มที่ปรึกษาตัวจริงคือพี่ชายผมครับตอนนี้เรียนโทอยู่ต่างประเทศเขาเหมาะกับตำแหน่งผู้บริหารมากกว่าผม
“ก็ดีครับ…งั้นทานข้าวเลยนะผมหิวแล้วจริงๆ”
แม่ยิ้มและพยักหน้าผมก็หันไปหาพนักงานที่ยืนรออยู่
แต่…
ที่ริมระเบียงไกลๆ
ผมเห็นใครที่ไม่อยากเห็นไม่อยากเจออีกแล้วครับ
“แม่ง!” ผมสบถเบาๆ
เพี๊ยะ!
แม่ตีแขนผมเต็มแรงเหมือนเคย
“เจ็บครับ”
“พูดกับใครไม่น่ารักเลยนะน้องกานต์”
“เจอคนไม่อยากเจอนะครับ” ผมตอบผ่านๆ พลางลูบแขนตัวเองที่ยังแสบอยู่
“ใคร?”
“อย่าสนใจเลยครับ…เมนูทั้งครอสนี้คือเมนูใหม่ช่วงไฮซีซั่นถูกมั้ยครับ” ผมรีบเปลี่ยนไปคุยเรื่องงาน
“ใช่จ้ะ” แม่ยิ้ม
เราทั้งสองคนยืนฟังเชฟพรีเซ้นท์คอนเซ็ปและวัตถุดิบก่อนจะลงมือชิมในทุกจาน
ขณะที่แม่ซักถามผมก็หันกลับไปมองที่โต๊ะริมระเบียงนั้นอีก
ไอ้เจ้าของบริษัทเฟอร์นอเจอร์ครับ…
แต่ที่พีคคือมันมานั่งสวีทกับ…
ผู้ชาย!!!
“ชะ! ...” ผมรีบหุบปากอย่างไวเพราะเกือบเผลอพูด
เชี่ย! ...
ออกไปให้แม่ได้ยิน
ถามว่าผมตกใจอะไร?
ก็มีผู้ชายที่ไหนมากินข้าวแล้วแม่งนั่งฝั่งเดียวกันทั้งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมันก็นั่งได้ อาจจะไม่ชัดงั้นผมเล่าให้เห็นภาพก็ได้ครับว่ามันนั่งตัวติดกันทำไม
ผมเห็นผู้ชายที่มากับมันไม่ชัดเพราะเขานั่งด้านในแต่ผมเห็นไอ้เชี่ยนั่นชัดเจน
มันน่ะนั่งนิ่งๆ ทำเป็นกินเป็นดื่มแต่ผู้ชายที่มากับมันน่ะเดี๋ยวโอบหลังเดี๋ยวกระซิบเดี๋ยวซบ
ดูจากตรงนี้กูรู้ว่าแม่งคบกันอย่างไม่ต้องสงสัย
โคตรเซอร์ไพรส์อ่ะ
เกย์จริงๆ เหรอวะ?
สันดานอย่างมึงอ่ะนะ
เกย์!
“หึๆ …” ผมหลุดขำออกมาในที่สุด
“หัวเราะอะไร?” แม่มองผมงงๆ คงคิดว่าผมเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
นั่งกินข้าวอยู่ก็หัวเราะขึ้นมาเฉย
“อ้อ…ไม่มีอะไรครับ?” ผมยิ้มพร้อมกับหันมาตักอาหารจานใหม่ชิมอย่างสนใจ
ฝีมือถือว่า
ดีเลยครับ อร่อยประทับใจสวยทั้งหน้าตาอร่อยทั้งรสชาติครบทุกประสาทสัมผัสการรับรู้
“นั่น…คุณคิวใช่มั้ย? น้องกานต์ช่วยแม่มองซิ?” แม่หันไปที่โต๊ะมันแต่ว่าตอนนี้
ไอ้นั่นมันนั่งอยู่คนเดียวครับ
“ลุกขึ้นไปขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้น้องกานต์!”
“อะไรนะครับ!” ผมชักสีหน้า
ไม่รู้ว่าแม่คิดอะไร?
ธุระอะไรที่ผมต้องไปขอโทษมันแม่รู้มั้ยว่ามันร้ายแค่ไหน ผมยอมช่วยมันไปครั้งนึงมันยังไม่ขอบคุณผมเลยนี่ยังไม่รวมกับที่ชนผมแล้วไม่ยอมขอโทษนะ
แล้วจะให้ผมไปขอโทษมันเพื่อ?
“ลุกไปเดี๋ยวนี้แม่จะดูอยู่ตรงนี้นะน้องกานต์อย่าทำอะไรที่ไม่น่ารักเข้าใจใช่มั้ย?”
“ครับ!” ผมจำต้องลุกไปที่โต๊ะมันตามคำสั่งประกาศิตของคุณนายโสภา
เดินตรงไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมันอย่างจำใจ
“มึง!” มันหันมามองผม
“โลกแม่งกลมหรือว่า…รสนิยมเรื่องเพศที่พามึงมาที่นี่วะโรแมนติกนะมึงว่ามั้ย? ...” ผมยิ้มกวน “เป็นเกียรติของโรงแรมกูนะที่ได้……” ผมไม่พูดต่อแต่ไล่สายตามองมันแบบรังเกียจ
แสดงให้มันรู้ว่าผมเห็นอยู่ว่ามันมากับใคร
“อย่ามากวนตีนแถวนี้เป็นเจ้าของที่นี่กูก็ไม่เกรงใจ”
“จองห้องไว้ด้วยมั้ย? ...เบาหน่อยนะมึงอย่าหักโหมกูสงสารพนักงานกูน่ะ” ผมยิ้มเอาหลังพิงผนักเก้าอี้อย่างสบายใจ
ไม่เคยรู้สึกอยู่เหนือมันได้เท่าวันนี้เลยให้ตายดิ
“มึงนี่ก็เก่งนะเห็นครั้งเดียวดูกูออกว่ากูเป็นแบบไหนระวังหลังไว้ให้ดีล่ะ ก้นงอนแถมยังแน่นแบบนี้…เวลากระแทกแล้วแม่งรู้สึกดีชิบหาย!”
“เชี่ยมึง! ...” ผมชักสีหน้าไม่พอใจที่มันส่งสายตาหยาบคายจ้องผม
แม่ง! ...
มันแอบมองก้นผมด้วยเหรอวะเนี่ย
เชี่ย! ...
ขนลุก!!!
“ไม่ต้องมาเดือดร้อนอะไรกับกูหรอก ไม่ได้ไปเอาบนหัวมึงถึงต้องกลัวอะไรเหลืองๆ ตกใส่หัว” พูดจบมันก็เอื้อมมือมาลูบหัวผมพร้อมรอยยิ้ม
ปัดมือมันออกพร้อมกับชักสีหน้าถ้าไม่เกรงใจว่าคุณโสภามองอยู่ป่านนี้ผมลุกไปต่อยปากมันแล้วครับ
“คิว…” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับมือที่ยื่นมาแตะไหล่ไอ้เชี่ยนั่นเบาๆ
เขาส่งยิ้มให้ผมแบบมีมารยาทแม้ท่าทางเขาจะแสดงออกชัดว่า
นี่ของกู!
ผมมองผู้ชายตัวเล็กหน้าหวานดูบอบบางกว่าผมหลายเท่าเขาสวมแว่นกรอบบางยิ่งทำให้มันดูอ่อนหวานน่ารักไปอีก ไหนจะปากบางสีชมพูสดที่ผมไม่รู้ว่าหมดลิปสติกไปกี่แท่งหรือวันมันแดงอมชมพูแบบธรรมชาติ ผิวก็ขาว หน้าก็ใส มองใกล้ๆ นี่คือไม่เห็นรูขุมขนเลยอ่ะ
เชี่ย!
นี่ผมชมผู้ชายด้วยกันอยู่เหรอวะเนี่ย!!!
ตกใจกับความคิดตัวเองสุดๆ ครับ!
ผมตัดเรื่องไร้สาระหันมาพูดธุระที่คุณนายโสภาบังคับผมมาที่โต๊ะนี้
พนมมือไหว้ก้มหัวให้อย่างอ่อนน้อมสุภาพจนสองคนนั้นยังตกใจ
คิดไม่ถึงล่ะสิมึง!
ผมยิ้มให้เป็นของแถม
“กูไม่อยากไหว้มึงให้เสียมือหรอกนะแต่ว่าแม่กูมองอยู่เขาให้กูมาขอโทษมึงซึ่งกูไม่มีวันทำให้กูไหว้สเต๊กเนื้อในจานมึงยังดีกว่าเพราะงั้นถือซะว่าที่กูยกมือขึ้นมาพนมและก้มหัวใส่มึงเนี่ยกูไหว้อาหารฟูลครอสที่มึงแดกไหว้ขวดไวน์แดงราคาเหยียบเจ็ดแปดพันที่มึงสั่งหวังว่าครั้งหน้ามึงยังจะมา……นั่งซบกันดูวิวสวยๆ ที่นี่อีกนะ” ผมเว้นช่วงไปนานเพราะต้องการให้มันเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่
มึงฉลาดกว่าน้องกูรู้ว่ามึงจะเข้าใจ
ยิ้ม…
ลุกขึ้นยืนและเดินออกมาไม่สนว่ามันจะด่าตามหลังว่าอะไร ผมยังไม่ได้กลับไปที่โต๊ะตั้งใจจะเลยไปเข้าห้องน้ำสงบจิตสงบใจเสียหน่อยไม่อยากปล่อยอารมณ์หงุดหงิดให้คุณนายโสภาเห็น
ตึง!
ผมถูกกระชากดึงอย่างแรงจนหลังชนกับรถเก็บจานที่จอดอยู่ในซอกเล็กๆ หันไปมองก็เห็นว่าไอ้คนที่ดึงผมเข้ามาแม่งเป็นใคร
แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรมันก็…
“อื้อ!”
เชี่ย! ....มันจูบผม!!! ...
ปากหนักที่มันมักด่าผมทาบลงมาประกบกับปากผมเฉยแถมยังโลมไล้พยามที่จะใช้ลิ้นแทรกเข้ามา
ไม่มีทาง!!!
พอได้สติผมก็รีบผลักมันออกทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วซึ่งผมเองไม่คิดว่ามันพิศวาสจนอยากจะจูบผมจริงๆ
มันกำลังหยามผมเหมือนที่ผมพูดจาเหยียดหยามมัน ด้วยความโกรธและศักดิ์ศรีเป็นฝั่งผมที่ง้างหมัดเปิดใส่มันก่อน
แป๊ะ!
เสียงมือผมกระทบกับฝ่ามือมันเต็มแรงแถมมันยังเสือกกำมือผมไว้อีก
“ปล่อยมือกู!”
“เป็นไงรสชาติสายเหลือง?” มันยิ้มเยาะจ้องผมด้วยสายตาที่แปลกไป
มันกำลังทำให้ผมกลัว…
แต่ต้องนิ่งเอาไว้ครับอย่าให้มันรู้ว่ามันใช้วิธีนี้ขู่ผมได้
“แย่! ...เหมือนโดนกระเบื้องถูปาก!” ผมสวนมันกลับไปพร้อมกับพยายามที่จะดึงมือตัวเองกลับมา
แต่แม่งจับไว้ซะแน่นบีบจนมือผมแดงเล็บจิกฝังกลางฝ่ามือตัวเองจนเจ็บไปหมด
“แน่ใจ? ...ไม่ยักรู้ว่ามึงเคยจูบกระเบื้อง” มันยิ้มพร้อมกับขยับมาใกล้
“เชี่ย! ...จูบมึงแม่งแข็งไม่เอาไหนต่างหาก!” ผมตวาดใส่มันที่ยังยื่นหน้ามาใกล้ผมมากขึ้น
อยู่ไม่ได้แล้วครับ! ...
มึงเป็นเดอะฮักรึไงไอ้สัส! ตัวแข็งยังกับหินแรงก็เยอะจริงอย่างกินดีหมีตีนควายถึงได้ด้านทนกลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบมัน
เอาวะ!
ผมตัดสินใจยกเข่าใส่เป้ากางเกงมันสุดแรง เอาให้จุกเอาให้ลุกไม่ขึ้น
“อ๊ะ!” มันร้องเบาๆ แต่ถอยไปยืนพิงผนังฝั่งตรงข้ามที่ห่างกับผมไม่ถึงช่วงแขน
“สมควร!” ผมพูดใส่หน้าและเดินออกมาจากซอกจอดรถเก็บจานอย่างไม่ใยดี
เอาหลังมือถูปากตัวเองแรงๆ ยังรู้สึกขยะแขยงกับจูบของมันอยู่ โชคยังดีที่มันได้แค่แตะๆ บดๆ ลงมาไม่ได้ถึงขนาดแลกลิ้นไม่งั้นผมคงอ้วก