บทที่ 04
ตกลงจูบหนึ่ง [1]
ติ๊ดๆ
ติ๊ดๆ
ติ๊ดๆ
พิมพ์พัชรคลำหาโทรศัพท์แล้วกดเลื่อนนาฬิกาปลุกอย่างทุกที อย่างไรเสียเธอก็เผื่อเวลาสำหรับเลื่อนปลุกเอาไว้อยู่แล้ว ใครกันบ้างที่กระเด้งตัวตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกครั้งแรก
“ปกติเรานอนที่โซฟาหรือไง”
“เฮ้ย!”
หรือถ้าจะกระเด้งตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ก็ไม่ใช่เพราะเสียงนาฬิกาปลุกแน่ๆ
“เฮียคุณ!”
สองตาเบิกโพลงเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นเพียงคุณใส่สูทผูกเนกไทยืนอยู่ในครัว บนโต๊ะมีถุงอะไรสักอย่างวางอยู่สองสามถุง
“เฮียเข้ามาได้ยังไงคะ”
เพียงคุณเลิกคิ้วสูง ก่อนจะหยิบคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่สวมอยู่
เธอเพ่งมองคีย์การ์ดในมือของเขาอยู่ครู่หนึ่งเริ่มขมวดคิ้ว ภาพเหตุการณ์เมื่อวานค่อยๆ ชัดขึ้นทีละภาพๆ
จำได้ว่าไม่ได้เมา แต่ทำไมกลับรู้สึกไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าเรื่องไหนจริงหรือเรื่องไหนไม่จริง เพราะบางอย่างก็เหมือนจริง บางอย่างก็เหมือนความฝัน
“ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วไป เดี๋ยวจะได้มากินข้าวต้ม วันนี้น้าทิพย์ทำข้าวต้มซี่โครงหมูตุ๋น เฮียเอามาฝาก”
ปัง!
พิมพ์พัชรวิ่งหนีกลับเข้าห้องนอนตั้งแต่ที่เพียงคุณยังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำไป
เสียงปิดประตูดังสนั่นจนเพียงคุณที่ยืนมองเธอวิ่งปรู๊ดหนีหน้าเขาไปตั้งแต่แรกยังตกใจ จ้องบานประตูอยู่ครู่ใหญ่พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก
“ยัยพิมพ์ แกทำบ้าอะไรลงไป!!!”
คนในห้องหยุมหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง รีบเดินย้อนกลับไปที่โต๊ะเพื่อมองหาโทรศัพท์ ทว่ามันจะอยู่บนโต๊ะได้อย่างไรในเมื่อเธอเพิ่งจะกดเลื่อนนาฬิกาปลุกแล้วยัดมันเอาไว้ใต้หมอนที่เอาไปออกนอนหนุนด้านนอกเมื่อคืน
นึกอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาดเรียกสติ แต่ทำได้แค่เดินย่องมาที่ประตูแล้วค่อยๆ แง้มมันออก แอบมองผู้ชายเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินที่กำลังจดจ้องอยู่กับการเตรียมข้าวต้มที่เอามาฝากเธอแบ่งใส่ชามอย่างตั้งอกตั้งใจ อาศัยจังหวะที่คิดว่าเขาไม่สนใจรีบวิ่งกลับออกไปหยิบโทรศัพท์แล้ววิ่งกลับเข้าห้องมาอีกรอบอย่างรวดเร็ว
ปัก!
“โอ๊ย!”
เพียงคุณหันมามองเพราะเสียงร้องของเธอ ท่าทีที่กระโดดเหยงๆ กลับเข้าไปในห้องอย่างนั้นเอาเขาแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว
ปัง!
ประตูถูกปิดลงเสียงดังอีกครั้งจนคนด้านนอกสะดุ้งเหมือนเดิม
“ฮือออ เจ็บวุ้ย”
ประคองตัวเองกลับไปนั่งลงที่เตียงแล้วก้มมองนิ้วเท้าที่เตะประตูห้องเมื่อครู่ สองตาเบิกโพลงเมื่อเห็นกับตาว่ามีเลือดไหลออกมาเพราะเล็บฉีก
แม้มันจะไม่ใช่ครั้งแรก และปัญหาไม่ใช่เรื่องความเจ็บ แต่คือกล่องกรรไกรตัดเล็บและกล่องยาอยู่ข้างนอก ครั้นจะยังไม่ออกไปก็ไม่ได้เสียด้วยเพราะเลือดไหลไม่หยุดเลย
“ลืมอะไรอีกล่ะ” เพียงคุณหันมามองตั้งแต่ได้ยินเสียงเปิดประตู
พิมพ์พัชรยิ้มแห้งแล้วเดินกะเผลกๆ ไปที่หน้าโทรทัศน์ ดึงลิ้นชักชั้นล่างออกเพราะว่าเก็บกล่องกรรไกรตัดเล็บเอาไว้ในนั้น
“อุ๊ย!”
“เท้าเป็นอะไร”
“คือว่า...”
“มานี่มา”
“เฮีย!” พิมพ์พัชรร้องเสียงหลง พร้อมกับรีบยกมือขึ้นคล้องรอบลำคอของเพียงคุณเอาไว้แน่น ทิ้งกล่องกรรไกรตัดเล็บที่เพิ่งจะหยิบออกมาจากในลิ้นชักเมื่อครู่เพราะตกใจจนจับเอาไว้ไม่ทัน
หัวใจของเธอเต้นแรงแม้ว่าเพียงคุณจะวางเธอลงบนโซฟาอย่างเบามือ ก่อนที่เขาจะเดินไปเก็บกล่องกรรไกรตัดเล็บกลับมาให้
“เล็บฉีกเลยเหรอ”
“นิดหน่อยน่ะค่ะ”
“ไหนขอเฮียดูหน่อย”
“เฮียคะ คือว่า...”
ห้ามทันเสียที่ไหน จะยกเท้าหนีก็ทำไม่ได้เพราะเขาจับเอาไว้ตั้งแต่แรก
“กางเกงเฮียจะเปื้อนนะคะ”
“เราก็นั่งเฉยๆ สิ” เขาเงยหน้าขึ้นมาบ่น ก่อนจะหันกลับไปดึงกระดาษทิชชูในกล่องกลางโต๊ะมาซับเลือดให้ เธอนั่งเกร็งตัวแข็งทื่อ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้จับข้อเท้าของเธอแน่นด้วยซ้ำไป
“เจ็บไหม”
“ชินแล้วค่ะ”
“ไม่ได้ถามว่าชินไหม ถามว่าเจ็บไหม”
“นิดหน่อยค่ะ แต่นั่นเฮียจะทำอะไรคะ” พิมพ์พัชรถามด้วยความตกใจเมื่อเห็นเพียงคุณเปิดกล่องกรรไกรตัดเล็บ
“เตะบ่อยจนชิน ตัดนิ้วทิ้งเสียดีไหม”
“อย่านะคะเฮีย!” เธอร้องลั่นพร้อมกับพยายามจะยกเท้าออก แต่ทำได้เสียที่ไหน “เฮียอะ อย่าแกล้งสิคะ”
“นั่งเฉยๆ ก็แล้วกัน”
“เฮียตัดเล็บเป็นเหรอคะ”
“เราคิดว่าเฮียกัดเล็บตัวเองหรือไงล่ะ”
คำตอบของเขาทำให้เธอแอบเบะปาก เหลือบมองเขาที่กำลังตั้งอกตั้งใจตัดเล็บที่ฉีกออกให้เธอ เกร็งตามจนเผลอกลั้นหายใจ แต่เขาก็มือเบามากจนเธอแทบไม่รู้สึก
“กล่องยาอยู่ไหน”
“ในลิ้นชักชั้นกลางค่ะ”
“เราไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวค่อยออกมาทำแผลแล้วจะได้ใส่ยาทีเดียว”
เพราะมัวแต่มองเขาที่ตั้งใจเก็บเศษเล็บของเธอใส่กระดาษทิชชูห่อเอาไว้ รู้ตัวอีกทีเขาก็เก็บกรรไกรตัดเล็บใส่กล่องแล้วเอาไปเก็บใส่ลิ้นชักเอาไว้ให้เรียบร้อย แถมยังหยิบกล่องยาออกมาเตรียมเอาไว้แล้วอีกต่างหาก
“พิมพ์”
เสียงเรียกของเขาดึงสติของเธอกลับมาจากความอบอุ่นในห้วงของความรู้สึก เพราะสำหรับเธอ เวลาเหมือนถูกหยุดเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่ถูกเขาอุ้มไว้ในอ้อมแขน
“ไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้รีบมาใส่ยา เดี๋ยวข้าวต้มจะเย็นซะหมด”
“ค่ะๆ”
“ระวัง เดินให้มันช้าลงหน่อย” เขายกมือขึ้นเบรกเธอที่กำลังจะวิ่งกลับเข้าห้องไปอีกรอบ เธอจึงได้แต่ยิ้มแห้งแล้วค่อยๆ เดินไปเตรียมเสื้อผ้าเพราะห้องพักของเธอมีห้องน้ำเพียงห้องเดียวซึ่งอยู่ด้านนอก วันนี้เธอคงต้องแต่งตัวให้เสร็จจากในห้องน้ำ
ตื้ด~
หากโทรศัพท์ไม่ดังขึ้นเสียก่อน เธออาจลืมไปแล้วว่าโยนมันทิ้งเอาไว้ที่ปลายเตียง
“ฮัลโหล”
ก้มมองแล้วเห็นว่าเป็นนรินดาจึงรับสาย หากเป็นคนอื่นเธอคงปล่อยทิ้งไม่สนใจ
[ยัยพิมพ์ วันนี้ตอนเย็นว่างไหม]
รับสายปุ๊บก็ยิงคำถามใส่ทันที
“ทำไม มีอะไรวะ ด่วนเหรอแกถึงได้โทรมาแต่เช้า”
[ไม่ด่วนเท่าไร อาทิตย์หน้าวันเกิดคุณภพ ฉันว่าจะชวนแกไปเลือกของขวัญวันเกิดให้เขาน่ะ]
“เหอะ!” พิมพ์พัชรแค่นหัวเราะ อดจะเบะปากเหม็นความคลั่งรักของนรินดาไม่ได้
[รถแกซ่อมเสร็จหรือยัง ฉันกำลังหาวิธีให้คุณภพเขาไม่สงสัยอยู่ก็เลยว่าจะให้แกมารับ แต่เพิ่งนึกได้ว่ารถแกเสีย]
“ยัง แต่อีกวันสองวันนี้ก็น่าจะเรียบร้อยแล้วน่ะ แล้วนี่แกคุยโทรศัพท์กับฉันแบบนี้คุณภพเขาจะไม่ได้ยินหรือไง”
[เขาอาบน้ำอยู่]
ก๊อกๆๆ
“พิมพ์ ยังไม่ออกมาอาบน้ำอีกเหรอ เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก”
“แป๊บหนึ่งค่ะ ฮะ...เฮีย”
คำสุดท้ายเสียงแผ่วลงโดยอัตโนมัติ ดันเผลอลืมตัวไปว่าคุยโทรศัพท์กับนรินดาอยู่
[เมื่อกี้เสียงใคร แกเรียกเขาว่าเฮียเหรอยัยพิมพ์]
“ฉัน...”
[เฮียคุณ]
“แค่นี้ก่อนนะ ฉันรีบไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวไปทำงานสาย”
[เดี๋ยวยัยพิมพ์ ถ้าแกวางสายฉันจะตัดเพื่อนกับแกเลยนะ]
พิมพ์พัชรตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ ไม่เคยนึกโกรธตัวเองเรื่องความปากพล่อยเท่านี้มาก่อน
[ใช่เฮียคุณของฉันไหม]
จะโกหกก็ไม่น่าได้ เพราะนรินดารู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่ชาย หรือถ้ามีพี่ชายที่นับถือเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเธอก็เรียกพี่ ส่วนเฮีย ใช้เรียกอยู่แค่คนเดียวจริงๆ
“อืม ตะ แต่มันไม่มีอะไรแบบที่แกคิดนะ เขาเพิ่งแวะมาเมื่อเช้า” ยืนยันพร้อมกับอธิบายเสร็จสรรพ
[หึ! แกมันแน่ยัยพิมพ์ แกนี่มันแน่มาตลอดจริงๆ แค่นี้นะยัยพี่สะใภ้] นรินดาวางสายไปทันที ทิ้งให้พิมพ์พัชรทำตาปริบๆ ใบหน้าร้อนวูบเพราะถูกเรียกว่าพี่สะใภ้
ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่งเธอจึงรีบเดินออกไปอาบน้ำ ความตื่นเต้นในวันนี้ทำให้เธอใช้เวลาในห้องน้ำไม่นานนัก ออกจากห้องน้ำด้วยชุดทำงานและเครื่องสำอางเบาๆ บนใบหน้า
“มาทำแผลก่อน”
เธอคิดว่าเขาจะลืมไปแล้วเสียอีก
“พิมพ์ทำเองก็ได้ค่ะ” บอกทั้งที่เดินไปนั่งลงที่โซฟา
เพียงคุณถอนหายใจแล้วเอื้อมหยิบเสื้อสูทของตัวเองที่ถอดพาดเอาไว้ที่โซฟาอีกตัวมาปิดขาให้เธอเพราะเธอสวมกระโปรงและเขากำลังจะต้องนั่งในตำแหน่งที่ต่ำกว่า
พิมพ์พัชรยิ้มอายอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ได้แค่นั่งมองเขาใส่ยาที่เล็บก่อนจะปิดปลาสเตอร์ยาแบบกันน้ำให้อย่างเบามือ
“คงจะเตะบ่อยจริงๆ ถึงได้มีปลาสเตอร์ยาหกเจ็ดกล่อง”
“เฮียไม่คิดว่าพิมพ์จะซื้อมาตอนมันลดราคาบ้างเหรอคะ”
“จะลดหรือไม่ลด คนปกติเขาก็ซื้อกันแค่ครั้งละกล่องสองกล่อง เราเล่นซื้อตุนเยอะแบบนี้ก็คือรู้ตัวว่าต้องใช้บ่อยอยู่แล้ว”
พิมพ์พัชรเบะปากเมื่อเขารู้ทัน
“ไปกินข้าว เดี๋ยวเฮียไปส่งที่บริษัท”
“ส่งพิมพ์ที่รถไฟฟ้าก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเฮียจะเข้าบริษัทสายนะคะ”
“แล้วไง เฮียเป็นผู้บริหาร”
กลอกตาใส่เขาไปอีกรอบ ชิ! แค่นี้ต้องข่มกันด้วยหรือไง
“ใช่สิคะ พิมพ์มันก็แค่ลูกจ้างตัวเล็กๆ นี่เนอะ”
“มีลูกจ้างแถวนี้สนใจอยากเป็นเมียผู้บริหารไหมนะ”
พิมพ์พัชรเบิกตาโพลง ก่อนจะรีบเดินหนีออกมาทันที ก้าวเท้าตรงเข้าไปในครัวแล้วนั่งลงกินข้าวต้มราวกับคนอดอยากทั้งที่เพิ่งรู้สึกหิวตอนนั่งลงเพราะได้กลิ่น
“พิมพ์”
“เฮียไม่กินด้วยกันเหรอคะ หรือว่าเฮียกินมาจากที่บ้าน...”
พูดไม่ทันจบเขาก็ดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะมาเช็ดมุมปากให้
“วันนี้ดูเราดูเสียอาการเยอะเหมือนกันนะ”
พิมพ์พัชรรีบก้มหน้ามองข้ามต้มในชาม เถียงเสียงดังในใจว่าเพราะใครล่ะ!
“เรากินเถอะ เช้าๆ เฮียไม่ค่อยหิวหรอก”
เธอพยักหน้าทั้งที่อมยิ้มบางๆ นั่งกินข้าวต้มต่อไปเงียบๆ จนหมดชาม เหลือบมองเขาที่เดินออกไปนั่งรอที่โซฟาเป็นระยะๆ เหมือนจะรู้ว่าถ้าเขายังนั่งอยู่ใกล้ๆ เธอคงประหม่าจนกินข้าวไม่ได้
“ต่อไปนี้อย่าสะเออะกินเบียร์ตอนท้องว่าง เข้าใจไหมยัยพิมพ์พัชร”
สะกดจิตตัวเองอย่างนั้นแล้วเขกหัวตัวเองไปหนึ่งที ยิ่งคิดก็ยิ่งอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ดีแค่ไหนแล้วที่เพียงคุณเหมือนจะใจตรงกับเธอ แม้จะยังไม่ชัดเจนแต่อย่างน้อยๆ ก็เบาใจได้ว่าเธอยังไม่ได้เสียเขาไป หรืออาจกลายเป็นการมองหน้ากันไม่ติด เพราะถ้าเรื่องไม่เป็นแบบนี้ ความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาอาจพังลงเพราะเธอคนเดียว ยิ่งคิดพิมพ์พัชรก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ
“เดี๋ยวพิมพ์แวะเอากล่องไปคืนคุณแม่เองนะคะเฮีย มีของเก่าอยู่ในตู้อีกสองสามใบ คราวก่อนคุณแม่ฝากขนมยัยนรินมา พิมพ์ยังไม่ได้เอาไปคืนเลยค่ะ ไปทีไรลืมทุกที”
“เย็นนี้เฮียเอากลับไปเองก็แล้วกัน”
หมายความว่าเย็นนี้เขาจะยังแวะมาอีกงั้นเหรอ
“งงอะไร ยังไงเฮียก็ต้องแวะมาส่งเราอยู่แล้ว รถยังไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ แค่อีกวันสองวันก็น่าจะเรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอชะงักไปครู่หนึ่งกว่าจะตั้งสติได้ รีบเช็ดไม้เช็ดมือให้เรียบร้อยแล้วเดินกลับไปเอากระเป๋าในห้องนอน เตรียมตัวออกไปทำงานได้แล้วสักที
ตื้ด~
โทรศัพท์ที่เพิ่งจะเก็บใส่กระเป๋าเมื่อครู่สั่นขึ้นพอดี เธอก็เลยต้องเปิดตู้รองเท้าไปพร้อมๆ กับที่เปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ มองหารองเท้ารัดส้นที่เปิดหัวเท้าสักคู่มาใส่เพราะแผลที่เล็บเท้าทำให้เธอใส่ส้นสูงปกติไม่ได้แน่ๆ
เลือกหยิบมาคู่หนึ่งพร้อมกับที่หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าได้พอดี เห็นชื่อจิรภักดิ์แล้วความกระตือรือร้นที่จะไปทำงานก็ลดลงเกือบครึ่งของทั้งหมดวันนี้
“ไก่เหรอ”
“ค่ะ จิกแต่เช้าเลยวันนี้ หมอเขาไม่ทำงานทำการกันเหรอคะ ไหนว่างานหมอยุ่งมากไง” พิมพ์พัชรบ่นอุบก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่เอาไว้ในกระเป๋าตามเดิมเพราะเลือกที่จะไม่สนใจและไม่อยากที่จะรับสาย เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเพียงคุณ
“นี่คีย์การ์ด เย็นนี้เฮียแวะไปรับที่บริษัท”
พิมพ์พัชรรับคีย์การ์ดกลับมาเก็บใส่เอาไว้ในกระเป๋า จังหวะที่เธอเปิดกระเป๋า จิรภักดิ์ก็โทรเข้ามาอีกครั้งพอดี เธอตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดตัดสาย ทว่าข้อความที่จิรภักดิ์ส่งมาก่อนหน้านี้ก็ทำให้มือไม้ของเธอสั่นรีบสไลด์หน้าจอเพื่อรับสายเขา
“สวัสดีค่ะพี่ภักดิ์”
เพียงคุณมองด้วยความแปลกใจ
“ค่ะ พิมพ์จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“มีอะไร”
“แม่พิมพ์ล้มในห้องน้ำค่ะ พิมพ์ต้องไปโรงพยาบาล”