บทที่ 04
ตกลงจูบหนึ่ง [2]
โรงพยาบาล
แม้เพียงคุณจะพยายามทำเวลาแล้ว แต่ก็ยังใช้เวลาในการเดินทางเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะพาพิมพ์พัชรมาถึงโรงพยาบาล ลงจากรถได้เธอก็รีบวิ่งไปที่ลิฟต์ กดลิฟต์ด้วยความร้อนใจ
“ทางนี้พิมพ์”
ก้าวออกจากลิฟต์ก็รีบมองหาจิรภักดิ์ ได้ยินเสียงเขาตะโกนเรียกพอดีจึงรีบวิ่งไปแบบไม่คิดชีวิตโดยมีเพียงคุณเดินตามมาด้านหลังเงียบๆ
“สวัสดีค่ะพี่ภักดิ์ คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“ปลอดภัยแล้ว เพิ่งมาจากห้องเอกซเรย์เมื่อครู่น่ะ มาเถอะ” จิรภักดิ์บอกยิ้มๆ ตั้งใจจะจูงมือเธอเดินตรงไปที่ห้องพัก แต่เธอทำทีเป็นยกมือขึ้นมาจับกระเป๋าเอาไว้เสียก่อน สบตากันเธอก็รีบส่งยิ้มให้ เขาจึงทำได้เพียงแค่เดินนำเธอออกไป
เพียงคุณแสร้งทำเป็นไม่เห็น ยินดีเดินตามเธอมาเรื่อยๆ ยิ้มให้จิรภักดิ์ตามมารยาทเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าที่เปิดประตูห้องต้อนรับ
“สวัสดีค่ะพ่อ แม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“ยัยพิมพ์ มาได้ยังไงลูก”
“พี่ภักดิ์โทรบอกค่ะ นี่ถ้าพี่ภักดิ์ไม่บอก แม่จะไม่บอกพิมพ์เลยเหรอคะ” พิมพ์พัชรเดินตรงไปกอดแม่ของเธอที่นอนพักอยู่บนเตียงคนไข้ในทันที
“แม่ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย” ‘ศศิวิไล’ยิ้มอย่างเอ็นดูลูกสาวที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเธอ ก่อนที่สายตาจะเหลือบมองไปที่เพียงคุณที่ยืนอยู่ปลายเตียง คนถูกมองรีบยกมือไหว้ หลังจากที่เมื่อครู่ไหว้ ‘ประภพ’ พ่อของพิมพ์พัชรไปแล้วคนหนึ่ง
“เฮียเพียงคุณค่ะ พี่ชายยัยนริน” พิมพ์พัชรรีบแนะนำ
“อ้อ แล้วนี่รบกวนเขาแต่เช้าเลยหรือไง” คนเป็นแม่แสร้งถาม เหลือบมองจิรภักดิ์แวบหนึ่งแล้วได้แต่ถอนใจ ใช่ว่าเธอไม่รู้เสียเมื่อไรว่าพิมพ์พัชรรู้สึกอย่างไรกับอีกฝ่าย แต่เพราะความเป็นผู้ใหญ่ ที่เห็นอีกฝ่ายรักและทุ่มเททำเพื่อลูกสาวทุกอย่างก็น้ำท่วมปาก
“น้องพิมพ์บอกผมแล้วครับว่ารถน้องพิมพ์เสีย” จิรภักดิ์ออกตัวแทน พิมพ์พัชรเลยไม่รู้ต้องพูดต่ออย่างไร
“ขอโทษคุณป้าด้วยนะครับที่ผมใจร้อนไปหน่อย รีบโทรบอกน้องพิมพ์ ก็เลยทำให้น้องพิมพ์พลอยตกใจไปด้วยอีกคน”
“ไม่เป็นไรน่าตาภักดิ์ ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ ลุงอาจไม่เห็นหน้าลูกสาวแล้วก็ได้”
พิมพ์พัชรทำหน้างอก่อนจะรีบเดินไปกอดเอวพ่อของเธออย่างออดอ้อนทันที
“นี่พ่อยังไม่หายงอนพิมพ์อีกเหรอคะ”
“เหอะ!”
“น่า พิมพ์ตั้งใจเอาไว้แล้วนะคะว่าวันเสาร์นี้จะกลับไปกินข้าวที่บ้าน จริงสิคะ แล้วนี่แม่ต้องนอนโรงพยาบาลกี่วันคะ คุณหมอว่ายังไงบ้าง”
นึกได้พิมพ์พัชรจึงรีบถามเสียเลย สถานการณ์วันเสาร์เป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ต้องแก้ไขสถานการณ์ในตอนนี้ให้ได้เสียก่อน
“คุณหมอกระดูกให้คุณป้านอนพักดูอาการที่โรงพยาบาลวันสองวันน่ะ บาดแผลภายนอกไม่มีอะไรน่าห่วง ผลเอกซเรย์ก็ปกติดี แต่เพราะคุณป้าอายุเยอะแล้ว กลัวว่าจะปวดหรือว่ารู้สึกระบบกล้ามเนื้อทีหลัง” จิรภักดิ์อธิบายเสียละเอียดยิบ
“พี่เขาเป็นคนพาแม่มาโรงพยาบาลน่ะ ส่วนพ่อเราถึงก่อนหน้าเราไม่นานนี่เอง”
กลายเป็นยิ่งทำให้พิมพ์พัชรรู้สึกกดดันขึ้นไปอีก
“ผมยินดีครับคุณป้า” จิรภักดิ์ยิ้มกว้างแล้วมองมาที่พิมพ์พัชรอีกครั้ง “คุณลุงออกไปทำงานพอดีน่ะ พี่แวะเอาผลไม้จากนิวซีแลนด์ไปฝากคุณป้าพอดีก็เลยอยู่ในเหตุการณ์ ไม่ต้องคิดมากหรอก”
อธิบายให้เธอฟังเพิ่มเติมพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวเธอเบาๆ ทันที แม้พิมพ์พัชรจะอยากปัดมือของเขาออก แต่บรรยากาศรอบกายก็ทำให้เธอได้แต่ยืนนิ่ง
“แม่ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ต้องห่วง เราน่ะ รีบไปทำงานเถอะ”
คนเป็นแม่เห็นลูกสาวยืนทำหน้าตากล้ำกลืนรีบบอก พร้อมกับตบฝ่ามือลงบนหลังมือเล็กที่ยังจับเอาไว้
“น้องพิมพ์ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะดูแลทางนี้เอง ช่วงเย็นค่อยแวะมาก็แล้วกัน”
“พิมพ์...”
“ไปเถอะลูก ให้เฮียเขารอนานๆ เขาจะพลอยเสียงานเสียการไปด้วยอีกคน”
พิมพ์พัชรหันไปมองเพียงคุณแล้วก็ได้แต่รู้สึกเกรงใจ
“งั้นพิมพ์ไปทำงานก่อนนะคะ ตอนเย็นจะรีบมาค่ะ”
ยกมือไหว้ทุกคนก่อนจะเดินตามเพียงคุณออกมาเงียบๆ โดยมีจิรภักดิ์เดินตามออกมาส่ง ในใจของเธอรู้สึกอึดอัดแต่ไม่รู้ต้องระบายออกอย่างไร
“ขับรถดีๆ ครับคุณเพียงคุณ”
“ครับ”
“เฮียรอพิมพ์แป๊บหนึ่งได้ไหมคะ พิมพ์ขอคุยกับพี่ภักดิ์ก่อน”
พิมพ์พัชรตัดสินใจที่จะลองคุยกับจิรภักดิ์อีกครั้งเพราะเธอรู้สึกทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เอาไว้เราค่อยคุยกันเย็นนี้ก็ได้ครับพิมพ์ เกรงใจคุณเพียงคุณเขานะ”
“ตามสบาย เฮียรอหน้าลิฟต์แล้วกัน” เพียงคุณพูดแทรกยิ้มๆ แล้วเดินนำออกไปก่อน ขนาดเขาที่เป็นคนนอกยังรู้สึกได้ถึงความกดดัน จึงไม่ได้แปลกใจที่เธอจะอึดอัดจนทนไม่ไหว
“น้องพิมพ์ยังโกรธพี่เรื่องคืนนั้นไม่หายเหรอ”
“เรื่องนั้นพิมพ์ลืมไปแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“พิมพ์อยากขอบคุณพี่ภักดิ์ที่ช่วยพาคุณแม่ส่งโรงพยาบาลน่ะค่ะ” พิมพ์พัชรยกมือไหว้เขาด้วยสีหน้าไม่ยิ้มแย้ม แต่พยายามฝืน “หลังจากนี้พิมพ์จะดูแลคุณพ่อกับคุณให้มากขึ้น คงไม่รบกวนพี่ภักดิ์บ่อยๆ แล้วค่ะ”
“พิมพ์”
“พิมพ์ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ เกรงใจเฮียคุณเขา”
ตัดบทสั้นๆ ก่อนจะเดินออกมาทันที เพราะเจตนาของเธอก็เพียงแค่ต้องการให้จิรภักดิ์เลิกวุ่นวายกับพ่อแม่ของเธอสักทีเท่านั้น
ทั้งหมดที่เขากำลังทำ มันควรเป็นหน้าที่เธอ และที่ผ่านมาเธอก็พยายามทำอย่างสุดความสามารถเท่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้มาตลอด เพิ่งจะมามีช่วงหลังที่งานของเธอยุ่ง แต่ถึงแม้จะไม่ค่อยได้กลับไปกินข้าวที่บ้าน เธอก็ยังโทรกลับไปถามไถ่เสมอ ไม่คิดว่าเขาจะพยายามใช้เรื่องนี้มากดดันเธอ ทำให้ทั้งเธอและพ่อแม่ของเธอลำบากใจ
“โอเคไหม” เพียงคุณรีบถามเมื่อเธอเดินมาถึงเขาที่ยืนรออยู่ เธอเบะปากแล้วส่ายหัวไปมา ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้
เขาเหลือบมองกลับไปที่ด้านหลัง เห็นจิรภักดิ์ยังคงมองมาจึงได้แค่ส่งยิ้มกลับไป ก่อนจะกดเรียกลิฟต์ รอจนเขากับเธอเดินเข้าไปพร้อมกัน ประตูลิฟต์ปิดลงเธอถึงได้ถอนหายใจจนไหล่ห่อ
“พิมพ์รู้สึกแย่จังเลยค่ะ”
“ไม่ใช่ความผิดเราสักหน่อย อุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ควบคุมไม่ได้ แม่เราไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เย็นนี้เลิกงานแล้วเราแวะซื้อของบำรุงมาให้ท่านทานเยอะๆ ก็แล้วกัน” เพียงคุณให้กำลังใจ เห็นเธอยิ้มเล็กน้อยแต่สายตายังดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก เดินเงียบมาตลอดทางกระทั่งถึงรถ
ตื๊ด~
“สวัสดีค่ะพี่เอก”
[วันนี้ลาเหรอน้องพิมพ์]
“กำลังไปค่ะ ตื่นสายไปหน่อย มีประชุมเหรอคะ”
[เปล่าๆ พี่แค่เดินผ่านแล้วยังไม่เห็นน้องพิมพ์มาน่ะ ป้ามะยมเหล่แล้ว รีบมานะ แกถามหาเอกสารอะไรก็ไม่รู้แต่เช้า พี่กลัวว่าหวยจะออกที่เรา]
“ซวยแล้ว”
[เราจริงเหรอ]
“จริงๆ ก็ไม่ใช่งานพิมพ์สักหน่อย ของพี่ชมพู่ต่างหาก แต่สักพักพิมพ์จะถึงแล้วค่ะ พี่เอกพาป้าแกสวดมนตร์ให้ใจเย็นๆ ทีนะคะ เดี๋ยวเที่ยงพิมพ์พาไปเลี้ยงหนมจีน”
[คุ้มไหมนั่น โอเคๆ เดี๋ยวเจอกันน้องพิมพ์] เอกทัศน์วางสายไปทั้งเสียงหัวเราะ ส่วนพิมพ์พัชรได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
“มีอะไรหรือเปล่า”
“พี่ที่ทำงานที่นั่งใกล้ๆ กันแค่โทรมาถามเพราะคิดว่าพิมพ์ลาน่ะค่ะ” พิมพ์พัชรอธิบายยิ้มๆ ทว่าเสียงถอนหายใจของเธอก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่วางใจนัก
“ถ้าแม่พิมพ์ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แสดงว่าเสาร์นี้ก็ต้องเลื่อนออกไปก่อนใช่ไหม”
“ค่ะ พิมพ์คงต้องโทรบอกคุณเปรมดิ์เขาอีกที”
“เราจะบอกเขาว่าอะไร”
พิมพ์พัชรหันไปมองนิดหน่อยเพราะรู้สึกได้ว่าเสียงของเพียงคุณเปลี่ยนระดับ พอเขามองกลับมาเธอก็ได้แต่ยิ้มเพราะถึงบริษัทพอดี
“ขอคิดก่อนแล้วกันค่ะ ตอนนี้สายแล้ว พิมพ์ไปก่อนดีกว่า”
“เดี๋ยว” ข้อมือของเธอถูกรั้งเอาไว้เบาๆ พอเธอหันกลับมอง เขาก็ยิ้มให้เธอแปลกๆ
“อะไรคะ”
“บอกเขาไปว่าเรามีแฟนแล้ว”
“มะ มีแฟน?” พิมพ์พัชเบิกตาโพลง มือไม้เหมือนจะอ่อนแรงลงในฉับพลัน
“เป็นแฟนเฮียนะ”
ทั้งน้ำเสียง สายตา ไหนจะยังรอยยิ้มอ่อนโยนที่มุมปากของเขาในเวลานี้ ยิ่งจ้องเธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปใกล้
“ตกลงจูบหนึ่ง ไม่ตกลง...จูบจนกว่าจะตกลง”
อยากจะเก๊กอยู่เหมือนกัน แต่เหมือนริมฝีปากจะยิ้มไปแล้ว
“ยังไงดีนะเรา” ใบหน้าหล่อตี๋ที่มองกี่ทีก็มีแต่จะยิ่งทำให้เธอยิ้มกว้างเคลื่อนเข้ามาใกล้ เธอหวั่นใจเหลือเกิน ไม่เคยถูกเขารุกใส่อย่างนี้มาก่อน
“ตะ ตกลง...อื้อออ”
สองมือที่ยกขึ้นผลักอกของเขาออกไปโดยอัตโนมัติถูกเขาจับรวบเอาไว้ทันที ริมฝีปากที่ทาบลงมาแนบสนิทกับริมปากของเธออ่อนนุ่มจนใจสั่นไหว บดเคล้าอย่างเนิบช้า ทว่ากลับสูบเอาเรี่ยวแรงของเธอให้หายไปจนหมด
เพียงคุณถอนริมปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ยิ้มกริ่มเมื่อสีหน้าของพิมพ์พัชรแดงซ่านด้วยความเขินอาย เขายกมือขึ้นวางบนหัวเธอ ทำทีเป็นลูบหัวจัดทรงผมให้เธอนิดหน่อยเพราะรู้ว่าเธอประหม่าอยู่มาก
“อย่าลืมโทรบอกเขาด้วยล่ะว่าเรามีเจ้าของแล้ว”
ย้ำด้วยเสียงกระซิบก่อนจะหยิกแก้มเธอทิ้งท้ายอีกที
“เจ้าของขี้หวงมากเสียด้วย”
“ค่ะ” พิมพ์พัชรรับปากทั้งที่ยังงงๆ เม้มริมฝีปากอยู่อย่างนั้นกระทั่งเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ
“ขับรถดีๆ นะคะ”
“ครับ เย็นนี้แวะมารับ”
หัวใจพองโตจนคับอก ต้องรีบก้าวลงจากรถด้วยความอัดอั้นเพราะอยากกรี๊ด
“พิมพ์”
“คะเฮีย” กำลังจะรีบวิ่งเข้าบริษัทแต่เขาลดกระจกลงแล้วตะโกนเรียกไว้
“เที่ยงนี้เฮียโทรหานะ”
“อ้อ ค่ะ” เธอยังคงรับปากงงๆ อีกตามเคย รอจนเห็นเขาโบกมือไล่ให้รีบไปทำงานจึงได้สติ กลับหลังหันแล้วพาตัวเองไปกรี๊ดในห้องน้ำบริษัท
“เป็นแฟนเฮียนะ”
“ตกลงจูบหนึ่ง ไม่ตกลง...จูบจนกว่าจะตกลง”
“อย่างลืมโทรบอกเขาด้วยล่ะว่าเรามีเจ้าของแล้ว”
“เจ้าของขี้หวงมากเสียด้วย”
“ฮือ ไอ้เฮียบ้า เขินโว้ยยย!”