“เลขาเอม จันทร์เจ้าหล่ะ”
“น้องลงไปแล้วนะคะ ลงไปได้สักพักแล้ว”
“น้องยังไม่กลับเข้าแผนกเลยค่ะ”
“เห็นถามหาห้องน้ำอยู่นะคะ”
ริสาเริ่มเดิมตามหาด้วยความกังวล เพราะไม่รู้ว่าจันทร์เจ้านั้นโดนท่านประธานถามอะไรไปบ้าง กลัวว่าอาจจะโดนตำหนิอะไรไปแล้วหายไปเสียดื้อๆ เธอเดินตามหาอยู่นานจนเห็นจันทร์เจ้ายืนอยู่หน้าห้องน้ำ
“จันทร์เจ้า ไปไหนมา”
“เจ้าเข้าห้องน้ำมาครับพี่ริสา”
“หายไปนานพี่ตกใจ”
“ฮ่าๆ ปวดท้องเองครับ”
“ท่านประธานเขาว่าอะไรจันทร์เจ้าไหม”
“ไม่เลย แค่ถามนิดหน่อย”
ริสาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจก่อนจะประคองร่างเล็กเดินไปยังแผนก ทันทีที่ถึงก็เริ่มมีพี่ๆเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย กลัวว่าจันทร์เจ้าจะโดนตำหนิ
“ขอบคุณพี่ๆมากนะครับ เจ้าไม่เป็นอะไร มีกำลังใจทำงานขึ้นเยอะเลย” จันทร์เจ้าพยายามประดิษฐ์คำพูดให้ตัวเองดูเป็นปกติก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ
จันทร์เจ้าก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างอดทนเพื่อรอเวลาที่จะได้กลับบ้าน สายตาคอยจ้องมองนาฬิกาบนหน้าจอคอมอยู่ตลอดเวลา พยายามพูดคุยกลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดถึงเรื่องที่พึ่งเจอไปเมื่อกลางวัน
“โอ๊ย! ถึงเวลาเลิกงานสักทีนะทุกคน” ริสาโอญครางออกมาด้วยความเมื่อยล้า
เมื่อเห็นว่าถึงเวลาเลิกงานทุกคนก็รีบเก็บกระเป๋ารวมไปถึงจันทร์เจ้าที่รีบกว่าใครๆ เท้าเรียวก้าวเดินออกจากบริษัทไปอย่างไม่รีรอ พร้อมเอื้อมแขนโบกแท็กซี่ ในใจคิดแค่ว่าอยากจะถึงบ้านให้เร็วที่สุดต่อให้การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้จะเสียเงินมากกว่าปกติก็ตาม
“ตะวันครับ แม่กลับมาแล้วนะ ขอโทษทีนะที่แม่กลับค่ำ งานเยอะไปหน่อย” จันทร์เจ้าเอ่ยปากคุยกับรูปถ่ายของลูกชายที่ติดอยู่กับผนังบ้าน มือเรียวเอื้อมลูบไปที่รูปถ่ายก่อนจะเดินหายเข้าไปในครัวและเดินกลับมายืนจ้องมองรูปของลูกชาย
“วันนี้แม่…ฮึก แม่เจอพ่อของตะวันด้วย” เสียงของจันทร์เจ้าขาดห้วงไปชั่วขณะ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาต่อหน้ารูปถ่ายของลูกชายที่กำลังยิ้มอยู่บนผนัง
“จะทำยังไงดี ไม่ไหวแล้ว ฮึก ฮือๆ ตะวันแม่ไม่ไหวแล้ว”จันทร์เจ้าร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจตาย ณ ตรงนั้น ร่างเล็กทรุดลงนอนกับพื้นพร้อมกับกอดภาพครอบครัวที่เคยถ่ายด้วยกันกับลูกและสามีเอาไว้แน่น
จันทร์เจ้าร้องไห้อยู่แบบนั้นนานนับชั่วโมงก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า รอบดวงตาบวมแดง ใบหน้าขาวนวลนั้นซีดเผือด สภาพของจันทร์เจ้าตอนนี้ไม่ต่างจากวันที่เสียลูกไป
‘กริ่ง’ จันทร์ตกใจตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินแสงกดกริ่งหน้าประตูบ้านของเขา สายตาจ้องมองนาฬิกาบนฝาผนังก่อนจะรีบเดินไปเปิดประตู
“มาหาใครครับ”
“คุณจันทร์เจ้าใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“พอดีผมเป็นทนายของท่านประธานแทนคุณ รบกวนคุณจันทร์เจ้าสัก 10 นาทีได้ไหมครับ”
“ได้ครับ”
จันทร์เจ้าเปิดประตูรับชายแปลกหน้าที่อ้างตัวว่าเป็นทนายของแทนคุณเข้าบ้านด้วยความกังวลใจ ตัวเล็กย่อลงนั่งบนโซฟาตรงข้ามกับทนายก่อนจะวางแก้วน้ำให้กับทนาย
“เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ”
“ครับ”
“คือว่าบ้านหลังนี้ ท่านประธานแกเป็นคนซื้อไว้นานแล้วใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“ตอนนี้แก้ต้องการจะรีโนเวทใหม่ และจะใช้เป็นเรือนหอ แกเลยให้ผมมาแจ้งให้คุณจันทร์เจ้าย้ายออกภายในอาทิตย์นี้ครับ”
จันทร์เจ้าจ้องมองหน้าทนายด้วยความสับสน เพราะตัวเองนั้นก็มีแค่บ้านหลังนี้หลังสุดท้ายที่เป็นทุกอย่าง ถ้าต้องออกไปจะต้องมีเวลาหาหอใหม่มากกว่า 1 อาทิตย์ และต้องใช้เงินมัดจำนวนมากซึ่งตัวจันทร์เจ้าเองพึ่งจะทำงานได้แค่ 2 อาทิตย์
“ขอเป็นสิ้นเดือนได้ไหมครับ”
“เกรงว่าจะไม่ได้ เพราะทางเราได้ติดต่อกับช่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ”
“ผมต้องออกก่อนวันที่เท่าไหร่เหรอครับ”
“ออกก่อนวันอาทิตย์ครับ”
พูดจบทนายก็ลุกไปโดยไม่รอฟังคำตอบของจันทร์เจ้า ร่างเล็กได้แค่ยืนนิ่งอยู่ภายในบ้านก่อนจะกวาดตามองไปทั่วบริเวณ มือเรียวรีบเอื้อมปลดรูปลูกชายมาวางรวมกันและกอบกุมมันขึ้นห้องไป
*******
“เจ้าทำไมถึงมาหาป้าเวลานี้ เจ้ามีอะไรหรือเปล่า” ป้าพัสวีหรือแม่ของริสาเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเปิดประตูพบกับจันทร์เจ้าที่ยืนกอดรูปลูกชายไว้ในมือ ดวงตาแดงก่ำของจันทร์เจ้าทำให้ป้าวีรีบลากจันทร์เจ้าเข้าไปคุยในบ้าน
“เจ้าขอโทษนะครับที่มารบกวนกลางดึก”
“ไม่เป็นไรลูก มีอะไรก็ว่ามาเลย”
ป้าวีลูบหลังของจันทร์เจ้าด้วยความเอ็นดูก่อนที่ริสาจะเดินลงมาจากบ้านเมื่อได้ยินเสียงของแม่กำลังพูดคุยกับใครบางคนอยู่ ริสาจ้องมองจันทร์เจ้าที่ยังอยู่ในชุดทำงานด้วยความแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นแม่”
“แกนั่งลงก่อน น้องกำลังจะเล่า”
ป้าวีกวักมือเรียกลูกสาวมานั่งลงข้างๆ สายตาของเธอยังคงจ้องมองรูปลูกชายของจันทร์เจ้าสลับกับแหวนบนนิ้วที่หายไป ทั้งๆที่เมื่อช่วงเช้ายังเห็นว่าจันทร์เจ้านั้นใส่อยู่
“เจ้ายืมเงินได้ไหมครับ”
“จะเอาไปทำอะไรลูก”
“ไปเช่าหอครับป้า”
พัสวีและริสามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันกลับมาที่จันทร์เจ้าอีกครั้ง ใบหน้าเรียวสวยดูเหนื่อยล้า ดวงตาคู่งามแดงก่ำเพราะพึ่งผ่านการร้องไห้มา
“แล้วบ้านหล่ะลูก”
“เจ้าของเขาจะมาอยู่แล้วครับ”
“อ้าว! แล้วบ้านนี้ไม่ใช่ของเจ้าหรอกหรือ”
“เป็นของพ่อตะวันครับ ตอนนี้เขากำลังจะแต่งงานใหม่แล้วจะมาอยู่ เจ้าเลยต้องไปหาหออยู่ เพราะเขาพึ่งส่งทนายมาบอกว่าต้องออกก่อนวันอาทิตย์นี้”
สิ้นคำอธิบายของจันทร์เจ้าป้าพัสวีก็น้ำตาคลอขึ้นมา ก่อนจะรีบไปเปิดตู้แล้วหยิบเงินจำนวนหนึ่งมาให้กับจันทร์เจ้าที่นั่งกอดรูปลูกชายไว้ไม่ห่างกาย
“เจ้าเอ๋ย ทำไมชีวิตถึงได้เป็นขนาดนี้กันนะลูก”
“เจ้า…เจ้าไม่รู้ ฮึก เจ้าไม่ได้ตั้งใจนะป้า เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าลูกตัวเอง”
เมื่อเสียงที่อ่อนโยนของป้าพัสวีเอ่ยออกมาทำให้จันทร์เจ้านั้นสติหลุด ตัวเล็กกอดรูปลูกชายร้องไห้ฟุมฟายออกมาไม่หยุด จนริสาต้องรีบโทรหาเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์เข้ามาดูอาการของจันทร์เจ้า
“ฉันจำได้ว่าเด็กคนนี้ ป้าวีเป็นคนพาไปหาหมอเมื่อ 2 ปีก่อน”
“ใช่แม่ฉันพาไป ฉันถึงได้โทรหาแกไง”
“ก่อนหน้านี้อาการดีขึ้น จนหายเป็นปกติแล้วนะ ไปเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจมาหรือเปล่า ถึงได้สติหลุดขนาดนี้”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฉันให้ยานอนหลับไปแล้วนี้ยากินนะ”
เพื่อนของริสายื่นยาให้กับริสาก่อนจะเดินออกจากบ้านไป ป้าพัสวีนั่งเฝ้าจันทร์เจ้าที่นอนหลับเพราะฤทธิ์ของยาอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ไม่ห่างตา พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างกังวล
“สาแกมีที่อยู่ในน้องไหม”
“สาเคยมีเพื่อนที่เปิดอพาร์ตเมนต์อยู่แม่ พรุ่งนี้สาจะลองติดต่อดู”
“ช่วยน้องไปเถอะนะลูกนะ เด็กอายุแค่นี้เอง ถ้าไม่มีที่พึ่งกลัวจะคิดสั้น”
“แม่น้องอายุเท่าไหร่”
“ตอนท้องตะวัน เจ้ามันอายุแค่ 19 เอง ถ้านับดู ตอนนี้น่าจะ 27-28 นี้แหละ”
ริสาย่อตัวลงนั่งข้างๆจันทร์เจ้า มือเรียวยกขึ้นปัดปรอยผมของเด็กน้อยพร้อมกับร้องไห้ออกมาด้วยความสงสาร ตอนที่เธอเห็นว่าจันทร์เจ้านั้นสติหลุดเมื่อครู่เธอแทบจะร้องไห้ตาม
“คืนนี้ให้นอนที่นี่ก่อนไหมแม่ แล้วพรุ่งนี้หนูจะตื่นแต่เช้าโทรหาเพื่อนให้”
“ตามนี้แหละ”
“แม่…แม่เคยเห็นผัวเจ้ามันไหม”
“เคยซิ อยู่ด้วยกันมาเป็น 6-7 ปี เข้าๆออกๆ”
“หน้าตาเป็นไง”
“หล่อยังกับเทพบุตรเลย ตอนที่ลูกยังไม่เสีย ดูแลลูกเมียหญิงกว่าเจ้าหญิงอีก ไอ่เจ้ามันแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย”
“อยากเห็นจัง”
“ถ้าเจอตอนนี้ฉันคงจำไม่ได้แล้วหล่ะ นานเกิน”
ป้าพัสวีส่ายหัวก่อนจะเดินไปหอบหมอนกับผ้าห่มมาให้กับจันทร์เจ้า เธอไม่ได้เคลื่อนย้ายตัวเองไปไหน ยังคงนั่งดูเด็กน้อยที่เคยร่าเริง ยิ้มง่าย สดใดอยู่แบบนั้นทั้งคืน