“...”
ความเหนื่อยล้าทำให้เปลือกตาของฉันแทบลืมไม่ขึ้น รู้สึกได้ถึงขอบตาบวมฉึ่งและยังความปวดเมื่อยทั่วทั้งตัว ฉันค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความมืด สูดปากเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บแสบบริเวณท่อนแขน พอก้มมองก็พบกับปลาสเตอร์ยาปิดแผลแปะเต็มสองแขนไปหมด ลักษณะการแปะดูลวก ๆ เหมือนไม่ค่อยใส่ใจจะทำให้สักเท่าไหร่
ฉันละความสนใจจากแขนตัวเองไปมองรอบห้องแทน ตอนนี้ฉันนอนอยู่บนเตียงในห้องไม่คุ้นตา ความทรงจำก่อนหน้าที่จะหมดสติไปแล่นวาบเข้ามา ฉันรีบคลานลงจากเตียงแล้วตรงไปทางประตูทันที ถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันไม่ได้ล็อก ฉันค่อย ๆ เปิดประตูอย่างช้า ๆ สองตาสอดส่ายออกไปนอกห้อง
ภายนอกเป็นห้องโถงคล้ายห้องประชุมขนาดเล็ก ฉันไล่สายตามองโซฟาหลายตัวที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบ ๆ ห้อง และยังมีตู้เกม ทีวีโฮมเธียเตอร์ โต๊ะสนุ๊ก บาร์เหล้า รวมไปถึงเคาน์เตอร์ครัว
ว่าแต่ว่า... ที่นี่มันคือที่ไหนกัน?
“ตื่นแล้วเหรอ?”
กึง!
“อ๊ะ!” ฉันเผลอทำแก้วน้ำหลุดมือขณะรินน้ำเตรียมจะดื่มดับกระหายเสียหน่อย โชคดีที่มือหนาเอื้อมรับมันเอาไว้ได้ทันท่วงที ร่างสูงยืนซ้อนหลังฉันอยู่โดยที่ในมือยังกำแก้วน้ำแน่น ไอร้อนจากด้านหลังสร้างความตื่นกลัวให้ฉันในทันที
“ซุ่มซ่าม” เสียงกดต่ำดังข้างหูจนฉันต้องถอยตัวห่างออกมา และพบว่าเขาคือคูเปอร์ ผู้ชายที่ทุบกระจกรถแล้วแบกฉันขึ้นบ่าคนนั้นไง ฉันรีบถอยตัวหนีทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ทะ ที่นี่ที่ไหน... ละ แล้วจับตัวฉันมาทำไม?”
“จับตัว?” คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนแววตาราบเรียบทอประกายวิบวับ เขาขยับยิ้มบางขณะย่างสามขุมเข้าหาฉัน ฉันถอยหลังหนีจนขาชิดกับโซฟา คูเปอร์หลุบตามองด้านหลังฉันก่อนจะ... ผลักไหล่กันเบา ๆ จนร่างฉันล้มลงนั่งบนนั้น
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ! ฉะ ฉันขอร้อง!” ฉันยกแขนขึ้นกอดตัวเองด้วยความหวาดกลัว ขอบตาร้อนผ่านขึ้นมาอีกระลอก
ฉันกลัว... กลัวมากจริง ๆ ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย! พี่ไรม์... พี่ไรม์ช่วยฟองด้วย!!
“รู้อะไรไหม? สัญชาตญาณของสัตว์นักล่า ยิ่งเห็นเหยื่อสั่นกลัว มันจะยิ่งลำพองใจนะ” ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด “และเธอก็ช่างเป็น ‘เหยื่อ’ ที่โคตรจะน่าล่าเลยว่ะ”
“...” ฉันกัดริมฝีปากล่างแน่นอย่างพยายามระงับความหวาดกลัว สายตาจ้องมองคนสูงกว่าด้วยแววตาสั่น ๆ คูเปอร์ขยับยิ้มร้าย แววตานักล่าระยิบระยับยามเอื้อมมือหมายจะแตะแก้มฉัน
ปัง
ทว่าเสียงปิดประตูดังลั่นช่วยหยุดชะงักมือหนาเอาไว้ ฉันมองไม่เห็นว่าใครเป็นเจ้าของการกระทำนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงของเขา หัวใจที่เกือบจะหยุดเต้นเพราะความหวาดกลัว พลันเต้นแรงขึ้นมาด้วยความดีใจ
“คิดจะทำอะไร?”
คูเปอร์ขยับยิ้มเย็นพลางหรี่ตามองฉันเล็กน้อยก่อนจะถอยตัวออกไป เผยให้เห็นร่างสูงคุ้นตากำลังยืนมองพวกเราด้วยสายตาเฉยชาอยู่หน้าประตูห้อง ฉันเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แม้พี่ไรม์จะชอบใจร้ายและเย็นชาใส่ฉัน แต่ฉันกลับรู้สึกปลอดภัยทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ก็ไม่ได้ทำไร แค่กำลังไล่ต้อนกระต่ายตัวน้อยอยู่” คูเปอร์ตอบเสียงไม่ทุกข์ร้อน แต่สายตากลับไม่ยอมละไปจากใบหน้าฉันสักนิด
“อย่ายุ่งกับเธอ ออกไปซะ” น้ำเสียงพี่ไรม์เย็นเหยียบไม่แพ้แววตา เขาไม่ได้มองมาทางฉันเลย สายตามองตรงไปทางคูเปอร์อย่างกดดัน
“พี่ไรม์...”
“หืม...” คูเปอร์ทำเสียงในลำคอพลางมองฉันสลับกับพี่ไรม์ ฉันถึงรู้ตัวว่าหลุดเรียกชื่อพี่ไรม์ออกมา คูเปอร์ก้มลงมาคร่อมแขนทั้งสองข้างลงกับที่พักแขนโซฟาโดยกักกันร่างฉันไว้ตรงกลาง แววตาสัตว์ป่าจ้องลึกพลางกระซิบเสียงเบา “เธอเป็นอะไรกับไอ้ไรม์กันแน่น้า...”
เอ๊ะ... หมายความว่ายังไงกัน?
“ชักอยากรู้แล้วสิ”
หมับ
พรึ่บ
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ ตอนที่มองใบหน้าเจ้าเล่ห์ของคูเปอร์ผละห่างออกไปด้วยฝีมือของพี่ไรม์ เขาตรงมากระชากคอเสื้อด้านหลังของคูเปอร์แล้วเหวี่ยงให้ถอยห่างฉัน คูเปอร์ยกมือสองข้างขึ้นคล้ายบอกกลาย ๆ ว่ายอมแพ้ แต่สายตาและริมฝีปากกลับเหยียดยิ้มราวกับเจอเรื่องสนุกเข้าแล้ว
“โอเค ๆ ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง ทำเป็นหวงไปได้นะ ฮึ!”
“กูไม่ได้หวง แต่มึงมันไว้ใจไม่ได้” พี่ไรม์ยืนหันหลังให้ฉัน มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าหยิบซองบุหรี่ออกมา ก่อนชี้นิ้วไปทางคูเปอร์ที่ตอนนี้ถอยไปยืนตรงบาร์แล้ว “เรื่องรถกูยังไม่เคลียร์กับมึงเลยนะ อย่าหาเรื่องเพิ่ม”
พูดตรง ๆ ว่าตอนนี้ฉันงงไปหมดแล้ว สรุปคือพี่ไรม์กับคูเปอร์รู้จักกันอย่างนั้นเหรอ ไม่สิ ฟังจากบทสนทนาและท่าทางของทั้งสองคนแล้ว น่าจะเป็นมิตรกันมากกว่าศัตรู
“แหม ๆ ก็แค่กระจกแตกนิดหน่อยทำเป็นเกรี้ยวกราด แหย่เล่นนิดเล่นหน่อยไม่ได้เลยดิ” คูเปอร์เดาะลิ้นขณะเลิกคิ้วมองมาทางฉันที่นั่งทำหน้างุนงง เขาหรี่ตาเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ว่าแต่จะไม่แนะนำให้กูรู้จักหน่อยหรือไง ยัยกระต่ายน้อยนั่นเป็นใครกันแน่?”
กระต่ายน้อย? หมายถึงฉันเหรอ?
“แต่มึงพาผู้หญิงมาด้วยก็ว่าแปลกแล้ว แต่ไอ้รังสีฆ่าฟันเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนนั่นน่าแปลกกว่า ยังไงครับยังไง? สรุปเธอเป็นอะไรกับมึงครับ?”
พี่ไรม์ชะงักมือที่กำลังคีบบุหรี่ออกจากซอง เขาเหลือบมองมาทางฉันเพียงเล็กน้อย ก่อนจะละสายตากลับไปสนใจบุหรี่ในมือต่อ เขาเดินไปทางระเบียงเพื่อสูบบุหรี่โดยไม่พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้ความเงียบกลืนกินไปทั่วห้อง คูเปอร์เองก็ไม่ได้ซักไซ้เอาคำตอบต่อ เขาทำเพียงนั่งเท้าคางมองฉันเฉย ๆ แต่ริมฝีปากขยับยิ้มบางอย่างนึกสนุก กระทั่งพี่ไรม์เดินกลับเข้ามาแล้วมองฉันด้วยสายตาติดรำคาญ
“กลับบ้าน”