หลังจากคืนนั้น… ฉันหมายถึงคืนที่ฉันทำอาหารรอพี่ไรม์จนเผลอหลับไปและตื่นขึ้นมาอีกทีตอนเขากลับมาแล้วนั่นแหละ คืนที่เขาทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้กับฉัน มันก็ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่สิ… มันห่างเหินยิ่งกว่าเดิมซะอีก
ฉันไม่พยายามเข้าใกล้เขาอีก เราแทบไม่ได้พูดคุยกัน หรือแม้แต่พบหน้ากันก็แค่ไม่กี่นาที เราใช้ชีวิตท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันแบบนี้จนกระทั่ง…
“ฮันนีมูนเหรอคะ?”
“ใช่จ้ะ แม่จองตั๋วเครื่องบินกับโรงแรมไว้แล้ว เป็นแพคเก็จฮันนีมูนแบบสุดโรแมนติคเลยจ้ะ” แม่รินยื่นตั๋วเครื่องบินและแพคเก็จให้ฉัน ฉันเหลือบมองพี่ไรม์ที่นั่งข้างกันเล็กน้อย สีหน้าเขาเรียบตึงอย่างเห็นได้ชัด แต่พอแม่รินมองไปทางเขา ใบหน้าเย็นชานั่นก็คลายสีหน้าลงเป็นปกติ แถมยังขยับยิ้มเย็นมุมปาก มันทำให้ฉันรู้สึกขนลุกแปลก ๆ “วันเดินทางมะรืนนี้ เตรียมจัดกระเป๋าเลยนะจ้ะ ส่วนลูกก็ดูแลน้องด้วยนะไรม์”
“เอ่อ แม่รินคะ ฟองไม่อยาก…”
“ไม่ต้องห่วงฮะ ผมจะดูแลน้องอย่างดี แม่สบายใจได้” ฉันที่กำลังจะปฏิเสธทริปฮันนีมูนเพราะไม่อยากทำให้พี่ไรม์รำคาญใจกลับถูกเขาขัดไว้ด้วยเสียงที่ดังกว่า วงแขนแกร่งพาดกอดไหล่ฉันเบา ๆ แรงบีบจากฝ่ามือหนาสร้างความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยเรียกสายตาฉันหันมองคนข้างกายทันที “จริงสิ ไปมะรืนนี้ใช่ไหม งั้นผมขอตัวพาน้องไปจัดกระเป๋าก่อน แม่จะกลับเลยหรือเปล่าฮะ?”
ฉันรู้ว่าพี่ไรม์กำลังเล่นละครตบตาแม่ริน และเขากำลังบังคับให้ฉันเล่นไปตามบทเช่นกัน แม่รินมองหน้าพี่ไรม์สลับกับฉันอย่างจับผิด ท่านกำลังสงสัยในความสัมพันธ์ของเรางั้นสินะ
“ฟองเป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมสีหน้าไม่ดีเลย” นั่นไงล่ะ ท่านจับผิดสีหน้าฉันได้จริง ๆ ด้วย “หรือว่าตาไรม์รังแกอะไรหนู บอกแม่มาเลยนะ แม่จะจัดการให้”
แรงบีบตรงหัวไหล่เรียกสติฉันกลับมา ฉันรีบเงยหน้าขึ้นมองแม่รินแล้วขยับยิ้มบางให้ท่านคลายความกังวลลง
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ฟองแค่พักผ่อนน้อยน่ะค่ะ ขอบคุณแม่รินมากนะคะสำหรับทริปฮันนีมูนนี้ ฟองตื่นเต้นมากเลยค่ะ” ฉันเบี่ยงความสนใจกลับมาที่ทริปฮันนีมูน แม่รินหรี่ตาเล็กน้อยแต่ก็ยอมคลายสีหน้าจับผิดลง นั่นทำให้ฉันลอบถอนหายใจเบา ๆ
“หนูชอบก็ดีแล้ว แม่อยากเห็นหนูมีความสุขนะลูก หนูเป็นลูกสาวสุดที่รักของแม่ ถ้าตาไรม์รังแกหนู รีบบอกแม่เลยนะ” แม่รินกำชับเสียงเข้ม ท่านปรายตามองลูกชายตัวเองอย่างกดดัน แรงบีบตรงหัวไหล่ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองพี่ไรม์ ริมฝีปากหนาเหยียดตึงก่อนกระตุกยิ้มเย็นชายามมองตอบฉัน
“ไม่ต้องห่วงหรอกฮะ ผมไม่รังแกน้องหรอก พวกเราออกจะ ‘เข้ากันได้ดี’ จริงไหม?” เขากำลังกดดันฉันด้วยรอยยิ้มน่าขนลุกนั่น ฉันหลุบตามองมือตัวเองเล็กน้อยก่อนตอบเสียงเบา
“ใช่ค่ะ แม่รินไม่ต้องห่วงนะคะ”
“โอเคจ้ะ ถ้างั้นแม่ไม่รบกวนแล้ว ไรม์ก็พาน้องไปจัดกระเป๋าเถอะ แม่จะกลับเลยไม่ต้องออกไปส่งหรอก” พวกเราลุกยืนตามแม่ริน ท่านโบกมือลาโดยไม่ลืมพูดแกมสั่งพี่ไรม์ด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ “แล้วอย่าลืมเรื่องที่เคยรับปากแม่ไว้ล่ะตาไรม์”
ท่านออกจากบ้านไปแล้ว เราสองคนยืนค้างอยู่ที่เดิมจนกระทั่งเสียงรถยนต์ขับพ้นประตูบ้าน คนข้างกายก็เริ่มมีปฏิกิริยาขึ้น
“ฮึ รับปากงั้นเหรอ… น่าขำ”
“เอ๊ะ… เรื่องอะไรเหรอคะ” ฉันพลั้งปากถามอย่างลืมตัว พอถูกสายตาคม ๆ ตวัดมองก็รีบละสายตาหนี ได้ยินเสียงถอนหายใจหนัก ๆ จากร่างสูง ก่อนจะตามมาด้วยคำพูดเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความกดดัน
“ไปเก็บกระเป๋าซะ เอาแค่จำเป็น ไม่ต้องขนไปเยอะ เพราะฉันจะไม่แบกไปให้เธอ”
“เอ่อ… หมายความว่าเราจะไปทริปฮันนีมูนกันใช่ไหมคะ?” ฉันแทบคุมน้ำเสียงดีใจไว้ไม่อยู่ พอคิดว่าจะได้ไปเที่ยวกับพี่ไรม์สองต่อสองฉันก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ตั้งแต่ฉันกลับมาเมืองไทยฉันยังไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย อย่าว่าแต่ไปเที่ยวเลย แค่จะออกจากบ้านฉันยังไม่เคยเลยด้วยซ้ำ นอกจากไปซูเปอร์มาร์เก็ตหน้าหมู่บ้านเท่านั้น
“แล้วคิดว่าฉันปฏิเสธได้ไหมล่ะ” พี่ไรม์ล้วงกระเป๋าเดินผ่านหน้าฉันไปก่อนเขาจะนึกอะไรได้แล้วเอี้ยวตัวกลับมามองฉันด้วยสายตาติดรำคาญ “เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉัน ห้ามบอกใครเด็ดขาด แม้แต่ไอ้แรมพ์เพื่อนรักของเธอ”
เขาหมายถึงความสัมพันธ์แบบไร้ตัวตนต่อกันของพวกเรางั้นสินะ
“เย็นนี้มันจะมาไม่ใช่? อย่าหลุดให้มันจับผิดได้ล่ะ ถ้าเรื่องนี้ถึงหูแม่ฉันเมื่อไหร่ ฉันจัดการเธอแน่”
ฉันมองตามหลังพี่ไรม์ที่เดินออกจากบ้านไปแล้ว มันเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเรา เขาไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน มักจะออกไปข้างนอกตั้งแต่หัววันและกลับมาตอนดึก ๆ ไม่ก็เกือบสว่าง ส่วนฉันก็อยู่แต่ในบ้าน รดน้ำทำสวน ปลูกดอกไม้ บางครั้งก็แวะไปนั่งเล่นกับหวาน หรือบางคราวเธอก็มานั่งเล่นบ้านฉัน และส่วนมากในทุก ๆ วันคนที่พูดคุยเป็นเพื่อนฉันบ่อยที่สุดก็คือพี่โช เพื่อนบ้านที่แสนใจดีของฉันนั่นเอง
ส่วนหนึ่งที่ฉันรู้สึกสบายใจเวลาพูดคุยกับพี่โช อาจเป็นเพราะว่าเขาคล้ายกับใครบางคนในวัยเด็กของฉันมากก็ได้…
พี่ชายที่แสนใจดีของฉันคนนั้น