EP 03
ญาติคนเดียว
Ar-tid part :
ก๊อกๆ ๆ
ลามินเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาหลังจากที่ผมเพิ่งจะโทรไปสั่งให้เขาเข้ามาพบ เขาเป็นผู้ช่วยของผมเอง เราทำงานด้วยกันมานานซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าผมสี่ปี แต่เขาก็ให้ความเคารพผมเสมอ เป็นคนหนึ่งที่ผมรู้สึกไว้ใจ
“เอกสารทั้งหมดที่คุณอาทิตย์ต้องการครับ”
รายงานพร้อมกับยื่นเอกสารมาให้
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนก็แล้วกันครับ แต่ถ้าคุณอาทิตย์ต้องการอะไรเพิ่มเติมก็แจ้งผมได้ทันที”
“ฉันอยากให้นายช่วยเตรียมกระเช้าผลไม้ให้หน่อยน่ะ เดี๋ยวช่วงบ่ายฉันจะไปโรงพยาบาล”
“ได้ครับ” ลามินรับคำสั่งโดยไม่มีคำถามสอดรู้ตามมา
“เดี๋ยวลามิน”
“ครับ”
“เมื่อคืนนี้นายได้คุยอะไรกับเลโก้รึเปล่า” ผมถามเสียงเรียบออกไปโดยที่สายตายังคงจับต้องไปที่เอกสารปึกแรกอย่างไม่วางตา
“ผมให้คำแนะคุณเลโก้ไปว่าถ้ามอบตัวและยอมรับผิด อาจได้รับการลดหย่อนโทษน่ะครับ” ลามินพูดพลางกลั้นยิ้ม ผมรู้เพราะผมเงยหน้าขึ้นมามองเขาพอดี แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ ก็แค่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วโบกมือไล่เขากลับออกไปทำงานเหมือนเดิม คล้อยหลังเขาผมก็วางเอกสารชุดแรกในมือลงแล้วหยิบเอกสารชุดต่อไปขึ้นมาอ่าน
จะว่าเอกสารพวกนี้ทำให้ผมเสียเวลาในการทำงานมันก็ใช่ แต่ถ้าผมไม่จัดการให้จบ มันก็คงค้างคาใจจนทำงานต่อไม่ได้เหมือนกัน เพราะมันเป็นเรื่องของไอ้เด็กเจ้าปัญหาที่ชื่อเลโก้นั่นไงล่ะ
เลโก้เป็นลูกชายของเพื่อนแม่ของผมเอง เธอเอาเลโก้มาฝากแม่ของผมเลี้ยงเพราะตอนนั้นเธอแยกทางกับสามี แต่นี่ก็ผ่านไปห้าปีแล้ว ผมก็ไม่ยักเห็นว่าเธอจะมารับเลโก้กลับไปสักที ไม่เคยจะติดต่อกลับมาเลยด้วยซ้ำไป ค่าเลี้ยงดูที่พ่อกับแม่ผมเลี้ยงดูเด็กนั่นมาตั้งแต่ช่วงหนึ่งปีแรก (แต่ส่วนใหญ่เลโก้ก็อยู่กับผมอีกนั่นแหละ) รวมถึงตัวผมเองที่รับหน้าที่ดูแลและเป็นผู้ปกครองต่อมาจากพ่อกับแม่ในช่วงสี่ปีหลังก็ไม่เคยได้สักบาท แถมเจ้าตัวยังก่อเรื่องให้ผมตามแก้ไม่เว้นแต่ละวัน
ผมรู้ว่าเลโก้เป็นเด็กใจร้อน วู่วาม อาจเพราะเขาขาดบางอย่างที่ผมก็คงทดแทนให้ไม่ได้ ก็เลยทำได้แค่คอยเตือนและพยายามสอน ซึ่งก็ยังนับว่าผมพอจะมีแต้มบุญอยู่บ้างที่เขามีท่าทีเกรงๆ ผมอยู่บ้าง บางเหตุการณ์ก็ยังถือว่ายั้งคิด แต่ก็นั่นแหละ เขายังอยู่ในช่วงวัยคึกคะนอง ดังนั้นผมที่เป็นพี่ชาย (ไปโดยปริยาย) ก็หวังแค่ประคับประคองไปจนกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่และคิดได้ในสักวัน
หลังจากที่เมื่อวานเลโก้เดินเข้ามาหาผมที่ห้องทำงาน ซึ่งไม่ทันต้องอ้าปากผมก็รู้ว่าเขาคงจะต้องก่อเรื่องมาอีกแน่ๆ ซึ่งก็จริง นับเป็นครั้งที่สี่ในรอบสองเทอมติดๆ กัน แต่บอกตคามตรงว่าเหตุของเรื่องในครั้งนี้มันทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะก็มันดันไม่ใช่การทะเลาะวิวาทกับคนอื่นเหมือนทุกครั้ง (แม้มันจะมีหางเลขห้อยมาในตอนท้ายก็ตาม) ดังนั้นเช้านี้ผมจึงสั่งให้ลามินหาข้อมูลที่คิดว่าน่าสงสัยมาให้ผมทั้งหมด
ไม่ใช่ผมจะเข้าข้างเลโก้หรอกนะ เพราะผมไม่เคยเข้าข้างเขามาแต่ไหนแต่ไร และเลือกจัดการแบบเด็ดขาดเสมอถ้าเขานั่นทำผิด แต่ตอนที่ได้ยินเขาบอกว่าเขาสอบตก ผมนี่แทบสำลักน้ำลาย ถึงเลโก้จะไม่ค่อยฉลาด แต่เขาไม่ได้โง่ถึงขั้นเอาตัวไม่รอด หนำซ้ำยิ่งได้ฟังเลโก้บอกเล่าถึงตอนท้ายที่มีการทำร้ายอาจารย์คนนั้นเพราะอาจารย์เสนอถุงยางให้เพื่อแลกกับคะแนนผมก็ยิ่งคิดว่ามันต้องไม่ปกติ
แล้วก็จริงอย่างที่ผมคิด…
จากประวัติของอาจารย์ที่ปรึกษาของเลโก้คนนั้นระบุว่าเขาอายุสามสิบสอง สถานะภาพโสด เป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่มหา’ ลัยมาห้าปี แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่าข้อมูลพื้นฐานพวกนั้นก็คือข้อมูลเชิงลึกที่ผมให้ลามินไปสืบเพิ่มมา พบว่าในทุกคืนวันศุกร์ อาจารย์คนนี้มักชอบไป...บาร์โฮส
อืม...นี่คงเห็นเลโก้เป็นเด็กที่คิดว่าจะเคี้ยวได้ง่ายๆ สินะ หารู้ไม่ว่านั่นน่ะกระดูกชิ้นโตทีเดียว เพราะถึงผมจะรู้ว่าเลโก้อาจยอมทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความผิด ที่หมอนั่นคิดว่าอาจทำให้ผมยุ่งยากใจ แต่เปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้ที่คิดจะได้เห็นไอ้เด็กนั่นว่านอนสอนง่ายล่ะก็...มันผิดถนัด
ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้สงสัยหรอกว่าทำไมคนอย่างอาจารย์ที่ปรึกษาถึงคิดจะสอยเด็กในปกครองของตัวเองทั้งที่ถ้าดูจากประวัติ เลโก้นี่ก็อันธพาลระดับแถวหน้าของมหา’ ลัยดีๆ นี่เอง ซึ่งหากมองให้ลึกกว่านั้น ตามสัญชาตญาณของอาจารย์ที่คงเป็นผู้ล่ามาตลอด ผมคิดว่าเขาดูออก เพราะผมก็ดูออกว่าเลโก้ไม่ได้แข็งกระด้างแบบที่คนอื่นเห็น ออกจะหัวอ่อนในบางเวลาด้วยซ้ำ เพียงแค่อาจารย์คนนั้นประมาทไปหน่อยก็เท่านั้นเอง
เลโก้ไม่ใช่เหยื่อธรรมดาที่เห็นแก่เงินหรือของล่อตาล่อใจเพียงเล็กน้อยอย่างนั้น และที่สำคัญ เลโก้ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อง่ายๆ หรอก
ผมถอนหายใจแล้วพยายามกวาดสายตามองไปที่เอกสารในมืออีกครั้ง ตั้งใจพลิกไปที่สองสามแผ่นสุดท้าย มันคือผลการสอบของเลโก้ที่ผมให้ลามินติดต่อขอกับทางมหา’ ลัยมาโดยตรง ผมไม่รู้หรอกว่าลามินอ้างเหตุผลอะไร เขาอาจอ้างว่าผมต้องการรู้ข้อบกพร่องของเลโก้ก็ได้ ซึ่งเท่าที่ดูจากข้อสอบและการตอบคำถาม ไอ้เด็กนั่นโคตรบกพร่องเลย
เฮ้อ~โง่บรม
หลังจากที่ผมอ่านข้อมูลทั้งหมดแล้ว เลโก้สอบตกจริงๆ และเขาพยายามสอบซ่อมมาตลอด ซึ่งเลโก้สอบซ่อมมาแล้วสามครั้ง และผลก็ดีขึ้นทุกครั้ง ความจริงที่ผมพยายามทบทวนแล้วก็คือเลโก้สอบผ่านแล้วตั้งแต่สอบซ่อมครั้งที่แรกเลยด้วยซ้ำนั่น แปลว่า...อาจารย์คนนั้นคิดจะตุกติกกับ ‘เด็กของผม’
อ้อ บอกก็ได้ว่าเลโก้สอบผ่านมาแบบเฉียดฉิวเลยหละ เพราะข้อสอบชุดที่ทำคะแนนช่วยให้เลยโก้ผ่านคือการกาเครื่องหมายถูกผิด จากข้อสอบห้าสิบข้อ เลโก้ทำได้ยี่สิบหกข้อพอดี
“ฉันจะไปโรงพยาบาล” ผมกดโทรศัพท์ภายในเพื่อบอกลามินก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก
วันนี้อาจารย์คนนั้นยังไม่ได้ไปสอนตามที่เลโก้คาดคะเนเอาไว้เพราะเขาเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ผมยังไม่แน่ใจถึงสาเหตุที่แท้จริงที่เขาอยู่ที่โรงพยาบาลหรอกว่าเป็นเพราะถูกเลโก้บังคับให้กินถุงยางอนามัยเข้าไป หรือเพราะถูกซ้อม อย่างรายล่าสุดที่เลโก้เก็บแต้มมาได้ก็รู้สึกจะนอนโรงพยาบาลอยู่เดือนกว่า ผมล่ะจนปัญญาจะบ่น โชคดีที่พ่อแม่ของอีกฝ่ายก็เข้าใจว่าลูกของพวกเขาก็ไม่ใช่ย่อยและเป็นฝ่ายเริ่มหาเรื่องเลโก้ก่อน เลยจบๆ กันมาได้
“มีแขกมาขอพบครับคุณอาทิตย์”
เสียงลามินดังออกมาจากโทรศัพท์ ทำเอาผมที่กำลังสวมเสื้อสูททับด้านนอกต้องขมวดคิ้ว เพราะปกติแล้วลามินจะรู้ดีว่าถ้าผมบอกจะไปข้างนอก คือไม่รับแขก ไม่ว่าใคร
“เขาบอกว่าเป็น...ญาติของคุณเลโก้ครับ”
ญาติเลโก้งั้นเหรอ?
เลโก้เนี่ยนะมีญาติ เท่าที่แม่เคยบอกผม เพื่อนของแม่ที่เป็นแม่ของเลโก้แต่งงานใหม่กับเศรษฐีชาวอเมริกันแล้วก็ย้ายไปอยู่อเมริกาหลังจากที่เธอเอาเลโก้มาฝากไว้กับแม่ของผมได้เพียงแค่สามเดือนเท่านั้น
และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือผมยังจำได้ดีว่าแม่ของผมยื่นคำขาดออกไปว่าถ้าเธอตัดสินใจแต่งงานใหม่และจะย้ายไปอเมริกา เธอจะต้องเอาเลโก้ไปด้วย แต่เธอปฏิเสธ สาเหตุเพราะเธอยังไม่พร้อมจะบอกสามีใหม่ของเธอว่าเธอเคยมีลูกแล้ว เนื่องจากเธอกลัวว่าสามีจะไม่ยอมรับ เธอเอ่ยปากขอเวลากับแม่ของผม บอกว่าจะหาทางบอกสามีใหม่ของเธอก่อน ซึ่งแม่ของผมปฏิเสธ และบอกกับเธอไปว่าถ้าเธอคิดจะทิ้งเลโก้ไว้จริงๆ ก็อย่ากลับมาหาเขาอีก
ผมไม่คิดหรอกว่าแม่ของผมจะพูดจริงๆ แต่ที่น่าตกใจก็คือแม่ของเลโก้เองก็ทิ้งเขาไปกับสามีใหม่จริงๆ เหมือนกัน และอย่างที่บอกว่าไม่เคยได้รับการติดต่อกลับมาตลอดห้าปี
“ญาติของเลโก้ที่เมืองไทยมีแค่ฉันคนเดียว เจอกันข้างล่าง” ผมตัดสินใจแบบนั้น ก่อนจะคว้าเอกสารที่นั่งอ่านอยู่เมื่อครู่ติดมือมาแล้วเดินตรงไปที่ทางออกลับทางด้านหลังห้องทำงาน
ผมไม่รู้หรอกว่าคนที่อ้างตัวเป็นญาติของเลโก้จะเป็นใคร แล้วจะใช่ญาติของเลโก้จริงรึเปล่า แต่จะจริงหรือไม่จริงผมก็ไม่สน ถ้าไม่จริงก็ถือเสียว่าเป็นบททดสอบลามินไปก็แล้วกัน เพราะเขามีหน้าที่คัดกรองคนก่อนจะเข้าพบผม หรือถ้าบังเอิญใช่ ก็มาผิดเวลาไปหน่อย ผ่านมาตั้งห้าปีแล้วเพิ่งคิดได้เหรอว่าไอ้เด็กนั่นเป็นลูก
ผมไม่ได้อยากใจร้ายหรอกนะ (แต่เลโก้มักคิดแบบนั้น) แต่ผมคิดเสมอว่าคำพูดของคนเป็นเรื่องสำคัญ ผมถือว่าการรักษาสัจจะคือที่สุดของความเป็นคน ไม่งั้นเราจะต่างจากสัตว์ได้อย่างไร
เดินลงบันไดมาเรื่อยๆ เพราะลามินคงใช้เวลาสักพักในการจัดการเรื่องข้างบน เขาเป็นผู้ช่วยผมแทบจะทุกเรื่องนั่นแหละรวมถึงเรื่องขับรถด้วย ทุกวันลามินจะขับรถไปไว้ที่คอนโดผม แล้วขับรถผมให้ผมนั่งมาทำงาน หรือบางวันผมก็มารถลามิน แต่หน้าที่ของเราก็ยังเหมือนเดิม
“เชิญครับคุณอาทิตย์”
แล้วระหว่างที่ผมกำลังยืนอ่านเอกสารในมือรอไปพลางๆ ลามินก็เดินอ้อมมาจากทางด้านหน้าตึก ถือว่าทำเวลาได้เร็วกว่าที่ผมคิดเอาไว้อีกครั้ง
“เขาฝากนามบัตรมาให้คุณอาทิตย์ครับ”
“ฉันฝากนายเอาไปทิ้งด้วยก็แล้วกัน สั่งกระเช้าผลไม้เรียบร้อยแล้วรึยัง”
“เรียบร้อยครับ เดี๋ยวแวะรับที่ร้านได้เลย ว่าแต่ลูกความท่านไหนไม่สบายเหรอครับ ผมทำงานพลาดรึเปล่า” ลามินรีบถามและผมรู้ว่าเขาไม่ได้แกล้งถามเพื่อสอดรู้ แต่อย่างที่ลามินบอก โดยปกติถ้าผมจะไปเยี่ยมใครหรือมีนัดกับใคร คนที่รู้ก่อนจะเป็นเขาและเขานั่นแหละที่มีหน้าที่บอกผม ซึ่งคงยกเว้นกรณีนี้
“อาจารย์ที่ปรึกษาของเลโก้นั่นน่ะ”
“คราวนี้อาจารย์ที่ปรึกษาเลยเหรอครับ”
“อืม”
“ผมว่าคุณเลโก้คงมีเหตุผล”
“จะเหตุผลอะไรก็ไม่ควร เพราะนายถือหางเจ้านั่นแบบนี้ไงมันถึงไม่กลัวฉัน ก่อเรื่องได้ไม่เว้นแต่ล่ะวัน” ผมรีบว่า
“ขอโทษครับ แต่ผมว่าแค่นี้คุณเลโก้ก็กลัวคุณอาทิตย์มากแล้วนะครับ”
“นายลองมาเป็นฉันดูสักวันสิ แล้วจะรู้ว่าเวลาที่ต้องไปแก้ตัวแทนเจ้านั่นที่โรงเรียนเอย มหา’ ลัยเอย เดินเข้าโรงพยาบาลบ้างขึ้นโรงพักบ้างมันรู้สึกยังไง” ผมร่ายยาว ซึ่งนานๆ ครั้งผมถึงจะบ่น และคนที่ได้ฟังก็มักเป็นผู้โชคดีอย่างลามินนั่นแหละ
“ยิ้มอะไรลามิน”
“ผมก็แค่กำลังคิดว่าคุณเลโก้เองน่าสงสารน่ะครับ นี่ก็ดูโตขึ้นบ้างแล้ว ที่สำคัญคุณเลโก้เองก็คงไม่อยากทำให้คุณอาทิตย์เดือดร้อนหรอกครับ แต่เพราะคุณเลโก้เองก็ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากคุณอาทิตย์” ลามินพูดพลางมองผมผ่านกระจกมองหลังยิ้มๆ ผมเองก็ได้แต่จนปัญญาจะเถียงก็เลยต้องหันหน้าออกมาอีกทาง
“ฉันว่านายเริ่มทำตัวเหมือนพ่อฉันเข้าไปทุกวันแล้วนะลามิน” ผมว่าเสียงเข้ม
ลามินยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะจอดรถที่หน้าร้านขายดอกไม้ร้านประจำที่ลามินมักสั่งดอกไม้หรือพวกกระเช้าผลไม้ กระเช้าของฝากจากร้านนี้ให้ผมใช้เยี่ยมลูกความเสมอ
ผมนั่งรอลามินเดินเข้าไปเอาของไม่นาน เขาก็กลับมาพร้อมกับกระเช้าผลไม้ตะกร้าใหญ่ ที่มองและคิดๆ ดูแล้วผมก็แอบเสียดายเงินอยู่เหมือนกัน แต่เอาเถอะ จะคิดเสียว่าทำบุญ
“จริงสิลามิน ฉันฝากนายดูๆ บริษัทที่น่าไว้ใจได้ให้เลโก้เผื่อไว้สักสองสามที่สิ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าเทอมหน้าไอ้เด็กนั่นต้องฝึกงานแล้ว” ผมไหว้วานลามินอีกเรื่องจนได้ เคยแอบสงสัยเหมือนกันนะว่าถ้าลามินทนผมไม่ไหวแล้วลาออก ผมจะทำอย่างไร คงไม่รู้ว่าจะไปหาใครมาแทนที่เขาได้อีกแล้ว
“ได้ครับ แล้วจะให้ผมเอารายชื่อมาให้คุณอาทิตย์ก่อน หรือให้คุณเลโก้เลือกเลยครับ”
“แค่ให้นายดูเผื่อไว้ก่อนน่ะ แต่คิดว่ายังไงทางมหา’ ลัยก็คงมีตัวเลือกให้เด็กก่อนอยู่แล้ว”
“ได้ครับ” ลามินรับคำสั้นๆ ก่อนจะเลี้ยวรถเข้ามาส่งผมที่หน้าโรงพยาบาล
ผมก้าวลงจากรถแล้วตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์พร้อมกับกระเช้าผลไม้ในมือ ส่วนลามินคงขับรถเพื่อวนไปหาที่จอดรถ แล้วรอผมอยู่ที่รถหรือไม่ก็หากาแฟดื่มอยู่แถวนี้นั่นแหละ โดยปกติแล้วถ้าเป็นลูกค้าหรือลูกความคนสำคัญ ลามินจะมากับผมแต่ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัว
ผมเดินไปสอบถามห้องพักของอาจารย์คนนั้นโดยแจ้งชื่อและนามสกุลของเขาที่ผมทราบจากประวัติกับพยาบาลหน้าสวยที่ยืนต้อนรับอยู่ที่เคาน์เตอร์ สายตาที่มองมาที่ผมสื่อความหมายบางอย่างที่ผมเห็นจนชินตา แต่หลังจากที่เธอแจ้งหมายเลขห้องพักของคนที่ผมต้องการมาแล้ว ผมก็แค่ยิ้มขอบคุณเธอ แล้วเดินตรงต่อไปยังห้องพักทันที
Rrrr~~~
“มีอะไรเลโก้” ผมกดรับสายตามปกติ สองเท้ายังคงเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น สาเหตุที่ผมตัดสินใจไม่รอลิฟต์ก็เพราะผมไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาที่สาวๆ มักมองผมเหมือนเห็นเหยื่อ นี่ถ้าลามินเดินมากับผมก็คงไม่แคล้วยิ้มเยาะผมตลอดทาง เขามักพูดเสมอว่าบางที่ความหน้าตาดีก็เป็นเวรกรรม
[ผมจะโทรมาบอกพี่ว่าวันนี้พี่ไม่ต้องมาก็ได้นะครับ อาจารย์แดนสรวงไม่ได้มาสอน] เลโก้รายงานมาตามสาย
“ฉันกำลังมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล”
[อ้าว แล้วพี่รู้ได้ไงว่าเขาอยู่โรงพยาบาล]
“เอาเป็นว่าฉันจัดการเองก็แล้วกัน นายมีหน้าที่เรียนก็เรียนไปเถอะ”
[ครับ อ้อ ผมยังอีกเรื่องนึงจะบอก]
“ว่ามาสิ”
[วันนี้อาจารย์แจ้งว่าเทอมหน้าผมต้องฝึกงาน]
ไอ้เด็กนี่มันช้ากว่าผมตลอดนั่นแหละ
“แล้วไง”
[พี่ว่าผมควรจะ...]
“อยากฝึกที่ไหนก็ตามใจเถอะ ไม่ก็เอารายชื่อบริษัทที่มหา’ ลัยรับรองมาปรึกษาลามินดู” ผมตัดบทสั้นๆ
[ครับ...ไอ้เลโก้ มึงแอบคุยกับใคร น้องลีย่าใช่มั้ย ไหนมึงบอกจะยกให้กู! ...ลีย่าพ่อง!]
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แค่นี้นะ ตั้งใจเรียนล่ะ”
[ครับๆ แต่พี่...]
แล้วผมก็ตัดสินใจตัดสายทิ้งทั้งที่รู้ว่าปลายสายยังพูดไม่จบนั่นแหละ แต่คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะผมมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ต้องจัดการ