EP 07
พื้นที่ทับซ้อน
Ar-tid part :
เสียงกุกกักที่ดังมาจากประตูห้องของเลโก้ทำให้ผมที่กำลังจะเดินกลับเข้าห้องของตัวเองต้องเดินถอยหลังกลับไปมอง
ผมลุกออกมาหากาแฟดื่มน่ะ วันนี้วันเสาร์ผมไม่ได้จะรีบออกไปไหน จะว่าไปแล้วผมยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่ที่เดินออกมาจากห้องของเขาเมื่อคืน และคิดว่าอีกคนก็คงไม่ได้นอนเหมือนกัน
หลังจากที่พูดกับเลโก้ ผมก็เลือกจะเดินออกมาเพราะคิดว่าเลโก้คงต้องการเวลาที่จะอยู่กับตัวเอง ภาพสุดท้ายที่ผมหันไปเห็นคือเลโก้ยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ด้านนอกระเบียง มันเหมือนจะชินตาเพราะทุกครั้งเราทะเลาะกันหรือเวลาที่เลโก้มีเรื่องที่ไม่สบายใจ เขาจะนั่งอยู่ตรงนั้นเสมอ แต่ครั้งนี้ผมรู้ดีว่ามันต่างออกไป
สำหรับเรื่องบุหรี่ ผมคิดว่าเลโก้เข้าใจในสิ่งที่ผมสอน เพราะพื้นฐานของเลโก้ไม่ใช่เด็กหัวรั้น เพียงแต่ต้องใช้เหตุผลอธิบายมากสักหน่อย ส่วนอีกเรื่อง ผมว่าเลโก้อาจยังไม่เข้าใจในตอนนี้ ผมคิดว่าเขากำลังต้องการเวลาที่จะทบทวนความรู้สึกของตัวเอง สายตาของเลโก้มันฟ้องว่าเขากำลังสับสน
ผมรู้จักเลโก้ดี แต่ที่ยิ่งไปกว่าที่ผมรู้จักเลโก้ นั่นคือผมรู้จักตัวเอง...
ผมรู้ว่าผมนี่แหละที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เลโก้สับสนอย่างนั้น มันอาจดูใจร้ายไปหน่อยที่ผมตัดสินใจพูดและทำแบบนั้นออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าเลโก้คิดยังไง แต่สำหรับผมแล้วเลโก้ยังเด็ก เขาควรใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้มกว่านี้ ได้เรียนรู้ชีวิตของตัวเองมากกว่าจะเอาชีวิตของตัวเองมาผูกติดกับผมแบบที่ผ่านมา ผมแค่อยากให้เลโก้เลือกทางเดินชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ ไม่ใช่เลือกเป็นหรือเลือกเดินในแบบที่ผมต้องการหรือออกคำสั่ง
“จะออกไปไหนแต่เช้า”
หลังจากยืนมองท่าทางลังเลของเลโก้อยู่สักพัก ผมก็ตัดสินใจส่งเสียงทักทายเขาด้วยคำถาม เด็กผู้ชายที่ผมอยู่กับเขามาห้าปีกำลังเปิดตู้รองเท้าเพื่อจะหยิบรองเท้าผ้าใบคู่โปรดออกมาจากตู้ แต่คงยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะใส่คู่ไหน และถ้าดูจากการแต่งตัวแล้วเขาก็คงไปเรียนนั่นแหละ แต่ผมจำตารางเรียนของเลโก้ได้ วันเสาร์หมอนี่มีเรียนตอนบ่ายแล้วเลิกเรียนสี่โมงครึ่ง
“ไปเรียนครับ พอดีนัดเพื่อนไว้เช้า”
“แล้วไม่เอาเงินไปด้วยรึไง”
“ไม่เป็นไรครับ ของอาทิตย์ก่อนยังเหลืออยู่”
“ปกติก็เหลือ ฉันก็เห็นนายหยิบไปไม่ใช่เหรอ”
“อาทิตย์ก่อนเหลือเยอะครับ ยังพอใช้ ถ้าไม่พอผมค่อยมาหยิบครับ” เลโก้บอกแบบนั้น ซึ่งผมก็ได้แต่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูห้องแล้วมองหน้าเด็กผู้ชายคนนั้นนิ่งๆ ไม่อยากเซ้าซี้หรอก เพียงแต่พอมองกลับไปที่เงินที่ผมวางไว้ให้ผมกลับเจออีกอย่างที่เลโก้คงเพิ่งจะวางมันไว้เมื่อกี้นี้
“ไม่ยักรู้ว่าเงินนายเหลือเยอะขนาดต้องคืนบัตรเครดิตไว้ให้ฉันด้วย” ผมพูดเสียงเข้มเมื่อเริ่มรู้สึกหงุดหงิด การกระทำของเลโก้กำลังแสดงออกว่าอวดดีและกำลังต่อต้านผม
“พกไว้ผมก็ไม่เคยใช้หรอกครับ พี่ก็น่าจะรู้”
“แล้วนายไม่เข้าใจคำว่าฉุกเฉินเหรอเลโก้”
“เอาเป็นว่าถ้าผมต้องการความช่วยเหลือแบบฉุกเฉิน ผมจะโทรหาคุณลามินก็แล้วกันครับ”
ยิ่งนับวันเขาก็ชักจะเอาใหญ่ พอเห็นผมใจดีด้วยแล้วก็เป็นแบบนี้ไง ผมอุตส่าห์คิดว่าเราจะตกลงกันได้แล้วเสียซะอีก
ผมได้แต่ถอนหายใจและยังคงยืนมองเลโก้ก้มใส่รองเท้าเพราะพยายามหลบหน้าผม วันนี้เลโก้เลือกใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวยี่ห้อโปรด ที่ตั้งแต่ซื้อมา ผมเห็นเขาใส่แทบจะนับครั้งได้ทำเหมือนว่าวันนี้มีนัดสำคัญ
ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าเวลาผ่านมาแค่ห้าปีตอนนี้เลโก้สูงจนเกือบจะเท่าผมแล้ว เท้าก็โตขึ้นกว่าแต่ก่อนจนตอนนี้ผมต้องโทรถามก่อนเสมอว่าใส่รองเท้าเบอร์อะไรแล้ว ไม่ใช่เพราะจำไม่ได้ แค่กลัวเขาจะโตเร็วกว่าที่ผมเคยจำได้ก็เท่านั้น อ้อ นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพแล้ว ผมยอมรับว่าพฤติกรรมก็เริ่มเปลี่ยนไปบ้าง อย่างเช่นตอนนี้เถียงเก่งกว่าตอนเด็กๆ เยอะเลย
“เลโก้”
“ครับ” ถึงจะขานรับ แต่ก็ยังไม่หันมามองผมอยู่ดี
“วันนี้อย่ากลับดึกล่ะ ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับนาย”
แล้วผมก็ตัดสินใจพูดออกไปอีกหนึ่งเรื่อง สำหรับเรื่องนี้ผมนั่งคิดมาดีแล้ว และก็โทรไปสั่งให้ลามินจัดการหาข้อมูลของคนที่อ้างตัวว่าเป็นญาติของเลโก้ให้ผมแล้วตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เดาว่าเช้านี้ลามินคงไปค้นหานามบัตรจากถังขยะที่ลานจอดรถของออฟฟิศ แล้วช่วงสายผมคงได้ข้อมูลที่ต้องการ
“เรื่องอะไรเหรอครับ พูดตอนนี้เลยก็ได้ ความจริงผมก็ไม่ได้รีบเท่าไหร่”
“ถ้าจะพูดตอนนี้ฉันจะบอกให้นายรีบกลับทำไม”
“ก็แปลว่าสำคัญ แต่ไม่เร่งด่วน งั้นไว้ค่อยพูดวันหลังก็แล้วกันครับ คืนนี้ผมอาจจะกลับดึก หรือบางทีอาจจะค้างที่ห้องของไอ้ยอร์ชเลย” เลโก้หันมาบอกกับผมเป็นเชิงขออนุญาตแต่ไม่ได้ต้องการคำอนุญาต แถมยังส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มที่ผมมองปราดเดียวผมก็รู้ว่าทำเพราะต้องการกลบเกลื่อนบางอย่าง
ใครกันบอกจะเป็นน้องชายที่ดี เถียงฉอดๆ นี่ดีแล้วงั้นเหรอ
“ฉันจะพูดเรื่องแม่นาย”
เป็นอีกครั้งที่ผมจำเป็นต้องพูด แล้วก็ทำให้คนตรงหน้ายอมหยุดและนิ่งลง แต่แววตาคู่นั้นกลับไม่มีประกายของความดีใจเผยออกมาให้ผมได้เห็นสักนิด
“แม่จะมารับผมเหรอครับ”
คำถามของเลโก้ฟังดูสวนทางกับความรู้สึก แต่ผมไม่แน่ใจนักว่าคนถามรู้สึกยังไงถึงได้ถามแบบนั้นออกมา
“ไม่ใช่หรอก แค่…”
“งั้นก็ช่างมันเถอะครับ เขาอาจลืมผมไปแล้ว และผมเองก็ควรจะลืมเขาได้แล้วเหมือนกัน”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
แล้วก็กลายเป็นผมรู้สึกผิด พูดเรื่องนี้กับเลโก้ทีไร ผมต้องรู้สึกแบบนี้ทุกทีสิน่า
“ผมเข้าใจครับว่าพี่คิดยังไง ถ้าพี่อยากให้ผมทำยังไงก็แค่บอกมา” เลโก้ตัดบทสั้นๆ แววตาที่ดูเจ็บปวดทุกครั้งที่เราพูดกันถึงเรื่องนี้ทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้และหยุดพูดไปเอง
“อ้อ ผมลืมบอกพี่ไปเรื่องหนึ่งครับ พอดีผมต้องฝึกงานเทอมหน้า ไอ้บุ๊กมันชวนผมไปฝึกงานที่บริษัทในเครือของลุงมันที่ญี่ปุ่น…”
“ไม่อนุญาต” ผมพูดตัดบทออกไปในทันที เลโก้ที่ยังพูดไม่จบก็เลยต้องหยุดพูดไปโดยปริยาย
“ผมก็คิดไว้แล้วว่าพี่คงไม่ให้ไป”
“ไม่ใช่ฉันไม่ไว้ใจนายหรือเพื่อนนายนะเลโก้ แต่แค่ฝึกงาน ไม่จำเป็นต้องไปไกลขนาดนั้นหรอก ถ้าเกิดติดขัดหรือมีปัญหาอะไรขึ้นมา นายจะทำยังไง" ผมพยายามให้เหตุผลเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าหงอลง
“ครับ เดี๋ยวผมจะลองหาใกล้ๆ ดู ตอนนี้ที่ใกล้สุดเท่าที่เห็นก็ภูเก็ต” แบบนั้นผมไม่เรียกใกล้นะ
“ฉันจะลองให้ลามินช่วยเช็กดู”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะลองช่วยตัวเองดูก่อน แต่ถ้าสมมติว่าไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะเลือกที่ใกล้ที่สุดเท่าที่ทำได้”
“ทำไม ฉันสั่งลามินแค่คำเดียว นายก็ได้ที่ฝึกงานแล้ว หรือกลัวมีปัญหากับอาจารย์” ผมรีบถาม
วันนี้ดูเหมือนเลโก้ตั้งใจจะขัดคำสั่งผมเป็นพิเศษ ทุกคำพูดและเหตุผลที่อธิบายออกมาดูจะขัดแย้งกับคำพูดของผมอย่างจงใจจนเกินไป
“เปล่าครับ ผมแค่อยากทำตัวปกติแบบคนอื่นเขา ไม่อยากถูกมองว่ามีอิทธิพล อีกอย่างฝึกไว้จะได้เป็น วันนึงถ้าผมไม่มี...คุณลามินช่วย ผมจะได้รู้จักช่วยตัวเอง” เลโก้อธิบายให้ผมฟังแบบนั้น
...แต่ทำไมผมถึงคิดว่าคนแรกที่เลโก้คิดว่าวันนึงเขาจะไม่มี...คือผม
Rrrr~~~
เสียงโทรศัพท์ของเลโก้ที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ผมต้องเก็บคำพูดทุกคำเอาไว้ก่อน กลายเป็นว่าวันนี้เหตุผลของเลโก้ทำให้ผมอึ้งไปเหมือนกัน ไหนจะเรื่องเงิน เรื่องบัตรเครดิต เรื่องที่บอกว่าจะไปค้างที่ห้องเพื่อนที่ทั้งที่ปกติจะกลับดึกหรือเกือบเช้าผมก็ไม่เคยว่า แล้วนี่ยังจะมาเรื่องที่ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผม แม้จะช่วยในนามลามินก็ตามอีก
“มึงก็แบบนี้ทุกที แค่นี้นะ กูไปเองได้” ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีแฮะ เสียงแข็งเชียว
“ผมไปก่อนนะครับ ทีแรกคิดว่าพอมีเวลา แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
“เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไปเองสะดวกกว่า”
“ก็บอกว่าเดี๋ยวไปส่งไง นายไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่ ฉันไม่รีบตายวันนี้พรุ่งนี้หรอก นายยังมีเวลาหัดช่วยเหลือตัวเองอีกนาน” ผมรีบย้ำ เพราะแค่เลโก้อ้าปาก ผมก็เห็นไปถึงลิ้นไก่แล้ว
ผมถอนหายใจเซ็งๆ แล้วเดินกลับมาหยิบกุญแจรถในห้อง ก่อนจะเดินออกจากห้องมาพร้อมเลโก้นั่นแหละ
ใจหนึ่งก็อยากจะพูดด้วยดีๆ อยู่หรอกนะ เพราะผมเองก็ไม่ได้สบายใจนักกับเรื่องเมื่อคืน แต่ดูเหมือนเลโก้จะตั้งใจหลบหน้าหลบตาผมแล้วเอาแต่คุยโทรศัพท์
“ครับพี่วิน นี่ผมเองนะ” เลโก้แนะนำตัวกับปลายสายอย่างนั้น
ผมรู้สึกได้ว่าเลโก้ตั้งใจเดินช้าลงเหมือนจะไม่อยากให้ผมได้ยิน แต่เพราะโถงทางเดินมันกว้างแค่นี้ แล้วอีกสักพักก็ต้องเข้าลิฟต์เพื่อลงไปที่ชั้นล่างด้วยกัน ยังไงผมก็ยังต้องได้ยินอยู่ดีนั่นแหละ
“ก็เรื่องที่พี่โทรหาผมเมื่อคืนนั่นแหละครับ ตกลงว่าพี่จะให้ผมเข้าไปหาพี่กี่โมงดี” เลโก้ยังคงคุยโทรศัพท์ต่อไปเรื่อยๆ แถมยังไปยืนห่างผมเสียไกลคนละมุมลิฟต์
“ได้ครับพี่ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวยังไงผมจะโทรหาพี่อีกที”
ติ๊ง!
เสียงสัญญาณลิฟต์ดังขึ้นจนผมที่กำลังฟังเลโก้คุยโทรศัพท์ตกใจ แต่ก็ต้องทำเป็นนิ่งแล้วเดินนำออกมา
“ครับพี่ ผมจะรอ ขอบคุณครับ”
“ใคร?” ผมถามทันทีที่เลโก้กดวางสาย ดวงตาที่เคยสงบนิ่งเมื่อมองผม ตอนนี้กลับฉายแววขุ่นเคืองเหมือนจะไม่พอใจออกมา
“พี่แอบฟังผมคุยโทรศัพท์เหรอ”
“ทำไมฉันต้องแอบฟัง หรือว่านายมีความลับกับฉัน” ผมพูดพลางตีหน้าขรึมใส่ ก่อนจะเดินไปที่รถแล้วเปิดประตูเข้ามาประจำที่คนขับ ซึ่งเลโก้ก็ตามเข้ามานั่งที่เบาะข้างๆ เงียบๆ
“เขาชื่อพี่วินเนอร์ครับ เป็นรุ่นพี่ปีสี่ที่มหา’ ลัย เขาเรียนนิเทศเอกภาพยนตร์ โทรมาชวนผมไปเล่นหนังสั้น พอดีพี่เขากับเพื่อนกำลังทำโปรเจคหนังสั้นกันอยู่ เห็นว่าจะส่งไปประกวดกับค่ายหนังที่ไหนสักที่นี่แหละครับ ผมจำชื่อไม่ได้”
แล้วรายละเอียดก็หลุดออกมาจากปากของเลโก้ตามที่ผมคิดไว้ แม้หน้าตาจะบอกชัดว่าไม่เต็มใจบอกผมก็ตาม
“คิดยังไงถึงได้ไปรับปากเขา ตกลงนายเรียนมนุษยศาสตร์หรือนิเทศเอกการแสดง”
ให้ตายสิ ทำไมวันนี้คำพูดของเลโก้ทำผมหงุดหงิดทุกประโยคเลย
“ผมก็ยังไม่ได้รับปากเขาสักหน่อย แค่บอกว่าจะลองเข้าไปคุยรายละเอียดก่อน”
“แล้วรู้รึยังว่าเป็นหนังเกี่ยวกับอะไร”
แล้วผมก็ต้องตะล่อมถามต่อ ซึ่งปกติผมจะไม่ใช่คนใจเย็นหรือเซ้าซี้แบบนี้นักหรอก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีท่าทีสนใจเป็นพิเศษจนผมต้องสนใจตาม
“ว่าไง หนังเกี่ยวกับอะไร ประเภทไหน” เอาเป็นว่าผมปรับเสียงให้เบาลงก็ได้อ่ะ
“ก็หนังรักวัยรุ่นนั่นแหละครับ” เลโก้ตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก แล้วก็ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่กล้าถามต่อทั้งที่อยากรู้ว่าเป็นความรักแบบไหน
หนังรักวัยรุ่นงั้นเหรอ? รักรูปแบบไหนล่ะ แล้วถ้าเป็นความรักแบบชายหญิงธรรมดา เลโก้จะตกลงรึเปล่า หรือถ้าเป็นความรักแบบที่เลโก้เป็น ผมจะยอมให้เลโก้ตกลงรึเปล่า
“แล้วจะคุยกันสักกี่ชั่วโมง ถึงขนาดบอกฉันว่าจะกลับดึก หรือนานจนต้องไปค้างที่ห้องคนอื่น”
แล้วผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนคำถามเพื่อดึงตัวเองออกมาจากสิ่งที่ตัวเองกำลังคิด บางทีผมก็กลัวว่าคำถามของผมจะเป็นการชี้นำคำตอบให้เลโก้มากจนเกินไป เพราะยังไงเลโก้ก็ควรจะมีสิทธิ์ในการตัดสินใจที่จะร่วมทำกิจกรรมเหมือนคนอื่น แบบที่เขาเพิ่งจะพูดกับผม
“คุยไม่นานหรอกครับ แต่พี่เขาชวนผมไปดูหนังรอบดึกต่อ ภาคที่แล้วผมไปดูกับพี่เขามา แล้วอาทิตย์นี้หนังก็เข้าพอดี พี่เขาเลยชวน” เหตุผลมันน่าจะตะบันหน้าซะจริง
“ถ้าแค่ดูหนัง ฉันว่าหนังน่าจะเลิกเร็วกว่าที่นายไปกินเหล้าอีกนะเลโก้”
“ครับ แต่ผมแค่พูดไปเผื่อ”
“เผื่ออะไร”
“เผื่อพี่อยากใช้เวลาอยู่กับพี่เอส”
คำตอบของเลโก้ทำให้ผมอึ้งไปสักพัก แล้วก็นึกย้อนไปถึงสาเหตุที่ทำให้เลโก้คิดแบบนั้น มันอาจเป็นเพราะเมื่อคืนตอนเลโก้กลับมาแล้วเจอเอสก็ได้ ความจริงผมเองอยากจะไล่เอสกลับตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้วล่ะ แต่ไม่รู้จะไล่ยังไงไม่ให้เสียมารยาท
“เอสเป็น...”
“เดี๋ยวพี่แวะเซเว่นให้ผมหน่อยนะครับ ผมจะลงไปซื้อของ ไม่นานหรอก” เลโก้พูดแทรกพร้อมกับชี้นิ้วสั่งให้ผมจอดรถที่หน้าเซเว่นที่ผมกำลังจะขับรถผ่าน
ผมไม่รู้หรอกว่าเลโก้เจตนาจะพูดแทรกเพื่อไม่ให้ผมพูดถึงเอส หรือเพราะกลัวผมจะขับเลยเซเว่น ซึ่งทันทีที่ผมจอดรถ เลโก้ก็ลงจากรถไปเลย
เป็นอีกครั้งที่ผมได้แต่มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่กำลังโตขึ้นทุกวันๆ เขาไม่ได้เชื่อคำพูดของผมไปหมดทุกเรื่องเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดูได้จากการพยายามหาเหตุผลมางัดกับผม มันทำให้ผมต้องถามตัวเองอีกครั้งว่าผมอยากให้เด็กคนนี้โตขึ้นจริงหรือเปล่า หรืออยากให้เขาเป็นเด็กที่เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทของผมต่อไปแบบเมื่อก่อน