bc

สุดที่รักของดาวเหนือ

book_age18+
7
FOLLOW
1K
READ
family
HE
heir/heiress
sweet
gxg
kicking
childhood crush
love at the first sight
like
intro-logo
Blurb

้เมื่อความรักในวัยเยาว์ถูกพรากด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันและความทรงจำกลายเป็นเพียงช่องว่างระหว่างคนทั้งสอง ดาวเหนือจะต้องเลือกทางใดทางหนึ่งระหว่างปล่อยให้อดีตกลายเป็นเพียงภาพจำที่เริ่มจะเลือนรางหรือจะเดินหน้าต่อเพื่อทวงคืนรักแท้และรักเดียวของเธอคืนมา ความรัก ความลับ และความจริงซ้อนทับกันในหัวใจ ดาวเหนือจะสามารถเอาชนะความเจ็บปวดเพื่อทวงคืนหัวใจน่านฟ้าได้หรือไม่ โปรดติดตามใน สุดที่รักของดาวเหนือ

chap-preview
Free preview
PROLOGUE
สนามบินสุวรรณภูมิ ท่ามกลางเสียงประกาศเที่ยวบินดังสลับกับเสียงบทสนทนาในหลากหลายสำเนียงของนักเดินทางจากทั่วสารทิศ คลอเคล้าด้วยเสียงเสียดสีของล้อกระเป๋าที่ครูดผ่านพื้นหินอ่อนเป็นระยะราวกับเสียงบกล่อมของการเดินทางที่ไม่ไม่รู้จบ แสงไฟจากเพดานสูงทอดทอลงมาแตะผิวหินและผู้คนที่เดินผ่าน ก่อนจะหยุดนิ่งที่ร่างระหงของหญิงสาวผู้หนึ่ง น่านฟ้า ณัฐวรินทร์ หญิงสาวนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเจ้าของความสูงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร ผู้หยัดยืนอยู่ท่ามกลางสายธารผู้คนที่หลั่งไหลไปมาราวกับสายน้ำ เจ้าของใบหน้าสวยราวภาพวาดกวาดสายตามองไปรอบด้านราวกับกำลังอ่านบทกวีบทเก่าในหน้ากระดาษที่พลิกกลับมาจากกาลเวลา ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจากเดิมจนเหมือนเกิดขึ้นใหม่ แล้วในขณะที่เศษเสี้ยวความทรงจำในอดีตที่เคยถูกทิ้งไว้กำลังวนไหลกลับเข้ามาในห้วงภวังค์ความคิด เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นฉุดดึงให้กลับออกมา ด้วยคำว่า... "น่านฟ้า ทางนี้" เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มไม่ได้หันตามเสียงเรียกโดยทันที ทว่ายืนนิ่งคิ้วย่นเข้าหากันขณะที่สมองก็เร่งประมวลเสียงเรียกนั้น หัวใจเต้นแรงขึ้นดังโครมครามไม่เป็นจังหวะราวกับถูกกระตุ้นให้กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับมามองทางต้นเสียงแล้วทันทีที่สายตาประสานกับใบหน้าที่คุ้นเคย... “พี่ทิชา!” รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปากโดยไม่ทันรู้ตัว ความดีใจตีตื้นขึ้นมาเต็มอกจนเอ่อล้นออกมาทางแววตา แต่เพราะด้วยความดีใจกับความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน ทำให้เธอไม่ทันระวัง... ปึก! ว้ายย! เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อร่างกายได้ชนเข้ากับบางสิ่งอย่างรุนแรงจนทำให้เสียการควบคุมเซถลาไปอีกทาง "น่าน!!" ทิชาเบิกตากว้างพร้อมอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่จะรีบสาวเท้าฝ่าฝูงชนที่แน่นขนัดตรงเข้าไปหาหญิงสาวเจ้าของชื่อด้วยความเป็นห่วง แต่ด้วย ณ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผู้โดยสารจากเที่ยวบินต่างๆ กำลังทยอยเดินออกมาจากอาคารผู้โดยสาร ทำให้มีผู้คนพลุกพล่านมากเป็นพิเศษ จึงเป็นเหตุให้ทิชานั้นคลาดสายตาจากน่านฟ้าไปโดยไม่ทันตั้งตัว หมับ! ในความโชคร้ายก็ยังพอมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง เพราะในจังหวะที่หญิงสาวร่างบางเสียการทรงตัวกำลังจะล้มกระแทกพื้นหินเย็น อ้อมแขนแข็งแรงของใครบางคนก็โอบรับไว้ได้ทันราวกับรอจังหวะนั้นอยู่ "เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ?" เสียงหวานนุ่มเอ่ยถามแผ่วเบา คล้ายสายลมอุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิไหลผ่านผิวแก้มที่ยังเปื้อนไปด้วยความตกใจ ไออุ่นจากวงแขนและลมหายใจที่ใกล้ชิดทำให้หญิงสาวที่หลับตาปี๋ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ...หน้าคุ้นจัง ทันทีที่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบกับนัยน์ตาสวยคู่นั้น เศษเสี้ยวความทรงจำบางอย่างก็พลันแล่นวาบเข้ามาในห้วงความคิดรวดเร็วราวกระแสน้ำจากลำธารที่ไหลย้อนขึ้นจากก้นบึ้งของความเงียบงันอย่างไม่ทันตั้งตัวรับ กอปรกับความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา เธอรู้สึกราวกับว่าครั้งหนึ่งเคยได้พบสบตากับผู้หญิงตรงหน้ามาแล้วยังไงยังงั้น ครั้นยิ่งมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาคู่นั้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงอุ่นไอจากใครบางคน...ที่ได้หายจากชีวิตของเธอไปตั้งนานแล้ว "คุณคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?"เจ้าของเสียงหวานเอ่ยถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าหญิงสาวในอ้อมแขนของตัวเองนั้นนิ่งไปราวตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง กอปรกับสายตาของเธอที่ค่อยๆ ลดระดับลงมองไปยังข้อเท้าของเจ้าตัวที่ตอนนี้เกิดเป็นรอยแดงจางๆ คาดว่าน่าจะเกิดตอนที่อีกคนนั้นเสียหลักเมื่อครู่นี้ "ม- ไม่เป็นไรค่ะ"เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มโกหกออกไปคำโต ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่ๆ พยายามเรียกสติกลับมาในขณะที่ความรู้สึกได้หวนกลับไปในช่วงเวลาของวันวาน “คุณไม่เจ็บตรงไหนแน่นะคะ?” เสียงที่เปล่งออกมายังคงอ่อนโยน ทว่าแฝงไว้ด้วยความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด “ช- ใช่ค่ะ” “แล้วที่ข้อเท้าคุณล่ะ?” “อ- เอ่อคือ” ประโยคเมื่อครู่แขวนค้างอยู่กลางอากาศ วินาทีนั้นหัวใจเต้นระรัวด้วยประหม่าเมื่อถูกจับได้ว่าได้พูดคำโกหกออกไป ก็ใครจะกล้าแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนแปลกหน้ากัน ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บจริงๆ แต่นั่นก็ยังเป็นความเจ็บที่เธอสามารถทนมันได้ ...แค่นี้ไกลหัวใจ “เจ็บก็บอกว่าเจ็บสิคะ มาค่ะฉันดูให้” พูดจบเธอก็ค่อยๆ ย่อตัวลงก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมไปแตะบริเวณข้อเท้าอย่างแผ่วเบา “เจ็บมากไหมคะ?” น้ำเสียงนุ่มละมุนเอ่ยถามอีกครั้งขณะที่ปลายนิ้วเย็นกำลังลูบวนเบาๆ บริเวณรอยแดง หากแต่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพียงแต่พยักหน้าน้อยๆ แทนคำตอบแค่เท่านั้น “คราวหลังคุณต้องระวังให้มากกว่านี้นะคะ... เข้าใจไหม" "ข- เข้าใจค่ะ” “ดีมากค่ะ” “เอ่อ..น่านต้องขอบคุณ..” "น่าน!" เสียงนั้นทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลง คำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาในคราแรกได้ถูกกลืนหายลงไปในลำคอจนหมดสิ้น "น่านเป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนไหม?" "ป- เปล่าค่ะ น่านไม่เป็นไรค่ะพี่ทิชา พอดีว่าพี่คนนี้เขาช่วยน่านเอาไว้"ตอบยิ้มๆ ก่อนจะเอียงหน้าพลางผายมือไปทางด้านหลังของตัวเอง ที่เมื่อสักครู่นี้มีผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่ "คนนี้? คนไหนคะ? พี่ไม่เห็นว่ามีใครสักคนเลยนะ"เธอมองตามก่อนจะเอ่ยถามอย่างนึกประหลาดใจเพราะตรงที่อีกคนชี้นิ้วไป กลับไม่มีใครยืนอยู่เลยสักคนเดียว "ก็นี่ไงคะ อ- อ้าว หายไปไหนแล้วล่ะ"เมื่อหันมาก็ต้องแปลกใจไม่ต่างกัน เพราะเขาคนนั้นได้หายไปแล้วจริงๆ ทั้งที่เมื่อกี้ยังคุยกับเธอ ยังนวดข้อเท้าให้เธอตรงนี้อยู่เลย ...ทำไมเร็วอย่างนี้นะ "น่านอำพี่เล่นใช่ไหมคะ เพราะตอนที่พี่เดินมาพี่ก็เห็นแค่น่านคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้" "น่านพูดจริงๆ นะคะพี่ทิชา เมื่อกี้น่านยังคุยกับพี่เขาอยู่เลย"หันกลับมาสบตากับทิชาก่อนจะยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ถ้างั้นพี่ว่าเธอคงจะไปแล้วล่ะค่ะ" "เสียดายจัง น่านยังไม่ทันได้ขอบคุณพี่เขาเลย"ริมฝีปากขยับเบาๆ ดวงตาคู่สวยทอประกายอ้อยอิ่ง อวลด้วยความเสียดายที่ชัดเจนในแววตา "ไม่ทำหน้าบูดแบบนั้นสิคะ ไว้ขอบคุณเธอโอกาสหน้าก็ได้ กรุงเทพฯมันกลมจะตาย เชื่อพี่สิ" สิ้นคำพูดของคนตรงหน้ารอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากของณัฐวรินทร์โดยไม่รู้ตัว เธอไม่รู้ว่าโลกจะกลมอย่างที่อีกคนบอกจริงๆ หรือไม่ แต่หากใช่ ...มันก็คงจะดีสำหรับเธอไม่น้อยเลยทีเดียว “ไปค่ะ กลับบ้านกัน” ทิชาพูดจบก็เอื้อมมือไปจับกับมือของณัฐวรินทร์เอาไว้ก่อนจะหมุนตัวเตรียมที่จะก้าวเดินออกไป ทว่าจังหวะที่เธอออกแรงดึงเบาๆ กลับพบว่าคนข้างหลังยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ แรงดึงน้อยๆ นั้นไม่ได้ทำให้อีกคนนั้นก้าวตามมานั่นจึงทำให้เธอหันหน้ากลับไปมอง ด้วยสีหน้าฉายแววความประหลาดใจ “...” “น่าน เป็นอะไรหรือเปล่า?” ทิชาเอียงหน้ามองก่อนจะย้ายมือมาจับแขนของอีกคนเบาๆ และออกแรงเขย่า “...” “น่านฟ้า!” “ค- คะ” “เป็นหรือเปล่าเห็นจู่ๆ ก็เงียบไป” ทิชาพูดเสียงนุ่ม แต่ดวงตาที่มองยังคงแฝงไปด้วยความกังวล “เปล่าคะ น่านไม่ได้เป็นอะไร” "ถ้างั้นเรากลับบ้านกันดีกว่าค่ะ คุณท่านรออยู่ ตามพี่มา" ทิชาพูดจบก็ส่งยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะหมุนตัวเดินนำออกไป ส่วนด้านคนอายุน้อยกว่าอย่างณัฐวรินทร์ก็ไม่รอช้ายืดตัวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียกสติของตัวเองกลับคืนมาก่อนจะเดินตามหลังคนพี่ออกไปอย่างไม่รีรอ ***** ครืด! ครืด! “ค่ะคุณแม่” [เหนือเป็นอะไรหรือเปล่าลูก แม่โทรหาเหนือตั้งหลายสายแล้วเหนือไม่รับ แม่เป็นห่วง] “พอดีว่าเมื่อกี้เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ แต่คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เหนือไม่ได้แป็นอะไร” [ถ้างั้นก็ดีแล้ว แล้วนี่เหนือถึงนานแล้วเหรอลูก ให้แม่ส่งคนไปรับไหม?] “ไม่ต้องค่ะคุณแม่ เดี๋ยวเหนือกลับกับเบลค่ะ” [หนูเบลไปรับเหนืองั้นเหรอ?] “ใช่ค่ะคุณแม่” [ถ้างั้นก็ดีเลย เดี๋ยวแม่ทำของโปรดของหนูเบลไว้ให้ด้วยก็แล้วกันนะ มากันเหนื่อยๆ จะได้ทานของอร่อยๆ] "ค่ะคุณแม่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นแค่นี้ก่อนนะคะ ไว้เจอกันที่บ้านค่ะ" ไม่รอให้ผู้เป็นแม่ตอบกลับ นิ้วเรียวรีบกดวางสาย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ฝ่ามือเรียวยกขึ้นแนบอกข้างซ้าย รับรู้ได้ถึงจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่ใต้ผิวเนื้อบาง แล้วจู่ๆ ภาพของผู้หญิงนั้นก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ชัดเจนเสียจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของเธออีกครั้ง ใบหน้าหวานละมุน ดวงตากลมโตแฝงประกายบางอย่างที่ยากจะละสายตา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลึกคล้ายสีของโกโก้ละมุนยามต้องแสงแดดยามเช้า ผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นลอนนุ่มล้อมกรอบหน้าอย่างพอดิบพอดี ผิวขาวเนียนละเอียดอมชมพูดูเปราะบางราวกลีบดอกไม้แรกแย้ม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นดั่งนางแบบที่หลุดออกมาจากภาพฝัน เมื่อดูรวมๆ แล้วจัดว่าเป็นผู้หญิงที่ใช้คำว่า สวย ได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ แต่จะว่าไป...ทำไมความรู้สึกบางอย่างในส่วนลึกของหัวใจถึงได้สั่นไหวอย่างน่าประหลาด เมื่อต้องสบตากับผู้หญิงคนนั้น ทั้งโครงหน้า แววตา และน้ำเสียงอ่อนโยนที่ไม่เคยรู้จัก ...แต่กลับคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกคล้ายกับเคยพบเจอกันมาก่อน ทว่าเมื่อคิดให้ดี โลกใบนี้ก็มีคนหน้าตาคล้ายกันอยู่ถมไป เธออาจจะเคยเจอใครที่ดูละม้ายคลึงกับเธอคนนี้บ้างก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก และในขณะที่เธอกำลังล่องลอยไปกับความคิดในหัวที่ติดกับภาพของผู้หญิงคนนั้น เสียงเรียกที่คุ้นเคยก็ได้ดึงเธอออกมาจากภวังค์ แม้จะนึกเสียดายแต่ก็แสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้กลับไปเป็นปกติตามเดิม “ไงเหนือ รอนานไหม?” เสียงของ แพทย์หญิงชยานันท์ ภมรนิวัฒน์ หรือ หมอเบล ที่เพิ่งมาถึงเอ่ยทักทายนีรดาเพื่อนสาวคนสนิทอย่างเป็นกันเอง นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้เจอเพื่อนคนนี้อีกครั้งหลังจากที่ห่างหายกันไปนาน เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อนของเธอไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ ส่วนตัวเธอก็ต้องบริหารดูแลโรงพยาบาลต่อจากผู้เป็นพ่อ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้การพูดคุยกันระหว่างเธอกับเพื่อนนั้นลดน้อยตามลงไป แต่ทว่าระยะทางและเวลาก็ไม่อาจทำให้ความสนิทและมิตรภาพที่ดีนั้นลดน้อยลงไปเลย แล้วเมื่อได้รู้ว่าผู้เป็นเพื่อนเดินทางกลับมาประเทศไทย เธอจึงรู้สึกดีใจและไม่พลาดโอกาสที่จะมารับอีกคนด้วยตัวของเธอเอง “ไม่นาน ฉันเองก็เพิ่งลงจากเครื่องเมื่อไม่นานนี้เอง” “อ้าวเหรอ? แล้วนี่แกกินอะไรมาหรือยัง ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันก่อนไหม?” “...” “เหนือ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ถามขึ้น พลางเหลือบมองเพื่อนที่ยืนเงียบผิดปกติ “...” “เหนือ” “...” “ไอ้เหนือ!” “อ- อะไรเบล ตะโกนทำไม?” เธอสะดุ้ง หันกลับไปมองเพื่อนด้วยสีหน้างุนงง “ฉันควรถามแกมากกว่าไหมว่าเป็นอะไร ฉันเรียกตั้งหลายรอบ พูดด้วยก็ไม่พูด แล้วนี่มองใครอยู่อ่ะ” ยกแขนกอดอก ยกคิ้ว หรี่ตามองอย่างจับผิดเต็มที่ “เปล่านี่ มองอะไร ไม่ได้มอง” “แกมอง” “ฉันเปล่า” “ก็ฉันเห็นอยู่ว่าแกมอง ปากบอกไม่ แต่ใจอ่ะไปอยู่ที่เขาแล้วมั้ง”น้ำเสียงเย้าแหย่ชัดเจนจนคนโดนแซวเริ่มหน้าแดง “เลอะเทอะน่าเบล ฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่สิ” “ฉันไม่เชื่อ!” “ก็แล้วแต่แก” เธอเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะหันหลัง เตรียมจะเดินออกไป เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าถึงเถียงไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ทว่า... “เดี๋ยวสิ!” เสียงเรียกจากด้านหลังดังขึ้นทันควัน “อะไรอีก!”เธอชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนข้างหลังแต่ยังไม่หันได้กลับไปโดยทันที “พูดแค่นี้ทำไมต้องอารมณ์เสียด้วย รึว่าแก..” “อะไร”หมุนตัวกลับมาสวนกลับทันควัน ทว่าน้ำเสียงยังคงติดหงุดหงิด แต่ในแววตาก็มีแววอยากรู้ว่าสิ่งที่เพื่อนจะพูดต่อคืออะไร “แกชอบน้องเหรอ?” น้องเขาที่ชยานันท์พูดถึงก็คือผู้หญิงร่างเล็ก หน้าตาน่ารักที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปเมื่อครู่นี้ “บะ บ้า ชอบเชิบอะไร ไม่ได้ชอบ” เสียงตอบสูงจนฟังออกว่าพยายามกลบเกลื่อน แถมยังรีบเบือนหน้าหนี “จริง?” ชยานันท์เลิกคิ้วสูงจ้องคนตรงหน้าด้วยแววตารู้ทัน “จะ จริง” “ฮั่นแน่ มีพิรุธ” “พิรุธอะไร ไร้สาระ” ว่าแล้วก็หมุนตัวก่อนเร่งฝีเท้าเดินหนีอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงเงาหลังที่แดงระเรื่อด้วยความขวยเขินแค่เท่านั้น “เอ้า เขินละเดินหนี รอฉันด้วสิ” ชยานันท์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะรีบเดินตามหลังเพื่อนสนิทไปรู้ก็รู้อยู่เต็มอกว่านิสัยปากแข็ง ปากไม่ตรงกับใจแบบนี้ ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ปี มันก็ไม่มีทางเปลี่ยนเลยจริงๆ

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

เป็นแฟนผมนี่มันไม่ดียังไงครับเฮีย

read
3.2K
bc

งูบ้านนี้สายพันธุ์เหมียว (Luna V.)

read
1K
bc

เป็นได้แค่เพื่อน(รัก)

read
7.8K
bc

Heroine (ที่นี่ไม่มี นางเอก)

read
14.7K
bc

คุณอาของหนู...น่ารักกว่าใคร

read
7.9K
bc

เมื่อปีศาจมาสิงสู่ [omegaverse]

read
1K
bc

Friendship จุดจบสายเถื่อน

read
1K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook