PROLOGUE
สนามบินสุวรรณภูมิ
ท่ามกลางเสียงประกาศเที่ยวบินดังสลับกับเสียงบทสนทนาในหลากหลายสำเนียงของนักเดินทางจากทั่วสารทิศ คลอเคล้าด้วยเสียงเสียดสีของล้อกระเป๋าที่ครูดผ่านพื้นหินอ่อนเป็นระยะราวกับเสียงบกล่อมของการเดินทางที่ไม่ไม่รู้จบ
แสงไฟจากเพดานสูงทอดทอลงมาแตะผิวหินและผู้คนที่เดินผ่าน ก่อนจะหยุดนิ่งที่ร่างระหงของหญิงสาวผู้หนึ่ง น่านฟ้า ณัฐวรินทร์ หญิงสาวนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเจ้าของความสูงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร ผู้หยัดยืนอยู่ท่ามกลางสายธารผู้คนที่หลั่งไหลไปมาราวกับสายน้ำ
เจ้าของใบหน้าสวยราวภาพวาดกวาดสายตามองไปรอบด้านราวกับกำลังอ่านบทกวีบทเก่าในหน้ากระดาษที่พลิกกลับมาจากกาลเวลา
ทุกอย่างดูเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจากเดิมจนเหมือนเกิดขึ้นใหม่
แล้วในขณะที่เศษเสี้ยวความทรงจำในอดีตที่เคยถูกทิ้งไว้กำลังวนไหลกลับเข้ามาในห้วงภวังค์ความคิด เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นฉุดดึงให้กลับออกมา
ด้วยคำว่า...
"น่านฟ้า ทางนี้"
เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มไม่ได้หันตามเสียงเรียกโดยทันที ทว่ายืนนิ่งคิ้วย่นเข้าหากันขณะที่สมองก็เร่งประมวลเสียงเรียกนั้น
หัวใจเต้นแรงขึ้นดังโครมครามไม่เป็นจังหวะราวกับถูกกระตุ้นให้กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับมามองทางต้นเสียงแล้วทันทีที่สายตาประสานกับใบหน้าที่คุ้นเคย...
“พี่ทิชา!”
รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่ริมฝีปากโดยไม่ทันรู้ตัว ความดีใจตีตื้นขึ้นมาเต็มอกจนเอ่อล้นออกมาทางแววตา แต่เพราะด้วยความดีใจกับความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน ทำให้เธอไม่ทันระวัง...
ปึก!
ว้ายย!
เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อร่างกายได้ชนเข้ากับบางสิ่งอย่างรุนแรงจนทำให้เสียการควบคุมเซถลาไปอีกทาง
"น่าน!!" ทิชาเบิกตากว้างพร้อมอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่จะรีบสาวเท้าฝ่าฝูงชนที่แน่นขนัดตรงเข้าไปหาหญิงสาวเจ้าของชื่อด้วยความเป็นห่วง
แต่ด้วย ณ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผู้โดยสารจากเที่ยวบินต่างๆ กำลังทยอยเดินออกมาจากอาคารผู้โดยสาร ทำให้มีผู้คนพลุกพล่านมากเป็นพิเศษ จึงเป็นเหตุให้ทิชานั้นคลาดสายตาจากน่านฟ้าไปโดยไม่ทันตั้งตัว
หมับ!
ในความโชคร้ายก็ยังพอมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง เพราะในจังหวะที่หญิงสาวร่างบางเสียการทรงตัวกำลังจะล้มกระแทกพื้นหินเย็น อ้อมแขนแข็งแรงของใครบางคนก็โอบรับไว้ได้ทันราวกับรอจังหวะนั้นอยู่
"เจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ?"
เสียงหวานนุ่มเอ่ยถามแผ่วเบา คล้ายสายลมอุ่นในต้นฤดูใบไม้ผลิไหลผ่านผิวแก้มที่ยังเปื้อนไปด้วยความตกใจ ไออุ่นจากวงแขนและลมหายใจที่ใกล้ชิดทำให้หญิงสาวที่หลับตาปี๋ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
...หน้าคุ้นจัง
ทันทีที่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบกับนัยน์ตาสวยคู่นั้น เศษเสี้ยวความทรงจำบางอย่างก็พลันแล่นวาบเข้ามาในห้วงความคิดรวดเร็วราวกระแสน้ำจากลำธารที่ไหลย้อนขึ้นจากก้นบึ้งของความเงียบงันอย่างไม่ทันตั้งตัวรับ
กอปรกับความคิดแรกที่ผุดขึ้นมา เธอรู้สึกราวกับว่าครั้งหนึ่งเคยได้พบสบตากับผู้หญิงตรงหน้ามาแล้วยังไงยังงั้น ครั้นยิ่งมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาคู่นั้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงอุ่นไอจากใครบางคน...ที่ได้หายจากชีวิตของเธอไปตั้งนานแล้ว
"คุณคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?"เจ้าของเสียงหวานเอ่ยถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าหญิงสาวในอ้อมแขนของตัวเองนั้นนิ่งไปราวตกอยู่ในภวังค์บางอย่าง กอปรกับสายตาของเธอที่ค่อยๆ ลดระดับลงมองไปยังข้อเท้าของเจ้าตัวที่ตอนนี้เกิดเป็นรอยแดงจางๆ คาดว่าน่าจะเกิดตอนที่อีกคนนั้นเสียหลักเมื่อครู่นี้
"ม- ไม่เป็นไรค่ะ"เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มโกหกออกไปคำโต ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่ๆ พยายามเรียกสติกลับมาในขณะที่ความรู้สึกได้หวนกลับไปในช่วงเวลาของวันวาน
“คุณไม่เจ็บตรงไหนแน่นะคะ?” เสียงที่เปล่งออกมายังคงอ่อนโยน ทว่าแฝงไว้ด้วยความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด
“ช- ใช่ค่ะ”
“แล้วที่ข้อเท้าคุณล่ะ?”
“อ- เอ่อคือ” ประโยคเมื่อครู่แขวนค้างอยู่กลางอากาศ วินาทีนั้นหัวใจเต้นระรัวด้วยประหม่าเมื่อถูกจับได้ว่าได้พูดคำโกหกออกไป ก็ใครจะกล้าแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนแปลกหน้ากัน ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บจริงๆ แต่นั่นก็ยังเป็นความเจ็บที่เธอสามารถทนมันได้
...แค่นี้ไกลหัวใจ
“เจ็บก็บอกว่าเจ็บสิคะ มาค่ะฉันดูให้” พูดจบเธอก็ค่อยๆ ย่อตัวลงก่อนที่มือเรียวจะเอื้อมไปแตะบริเวณข้อเท้าอย่างแผ่วเบา
“เจ็บมากไหมคะ?” น้ำเสียงนุ่มละมุนเอ่ยถามอีกครั้งขณะที่ปลายนิ้วเย็นกำลังลูบวนเบาๆ บริเวณรอยแดง หากแต่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพียงแต่พยักหน้าน้อยๆ แทนคำตอบแค่เท่านั้น
“คราวหลังคุณต้องระวังให้มากกว่านี้นะคะ... เข้าใจไหม"
"ข- เข้าใจค่ะ”
“ดีมากค่ะ”
“เอ่อ..น่านต้องขอบคุณ..”
"น่าน!"
เสียงนั้นทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลง คำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาในคราแรกได้ถูกกลืนหายลงไปในลำคอจนหมดสิ้น
"น่านเป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนไหม?"
"ป- เปล่าค่ะ น่านไม่เป็นไรค่ะพี่ทิชา พอดีว่าพี่คนนี้เขาช่วยน่านเอาไว้"ตอบยิ้มๆ ก่อนจะเอียงหน้าพลางผายมือไปทางด้านหลังของตัวเอง ที่เมื่อสักครู่นี้มีผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่
"คนนี้? คนไหนคะ? พี่ไม่เห็นว่ามีใครสักคนเลยนะ"เธอมองตามก่อนจะเอ่ยถามอย่างนึกประหลาดใจเพราะตรงที่อีกคนชี้นิ้วไป กลับไม่มีใครยืนอยู่เลยสักคนเดียว
"ก็นี่ไงคะ อ- อ้าว หายไปไหนแล้วล่ะ"เมื่อหันมาก็ต้องแปลกใจไม่ต่างกัน เพราะเขาคนนั้นได้หายไปแล้วจริงๆ ทั้งที่เมื่อกี้ยังคุยกับเธอ ยังนวดข้อเท้าให้เธอตรงนี้อยู่เลย
...ทำไมเร็วอย่างนี้นะ
"น่านอำพี่เล่นใช่ไหมคะ เพราะตอนที่พี่เดินมาพี่ก็เห็นแค่น่านคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้"
"น่านพูดจริงๆ นะคะพี่ทิชา เมื่อกี้น่านยังคุยกับพี่เขาอยู่เลย"หันกลับมาสบตากับทิชาก่อนจะยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ถ้างั้นพี่ว่าเธอคงจะไปแล้วล่ะค่ะ"
"เสียดายจัง น่านยังไม่ทันได้ขอบคุณพี่เขาเลย"ริมฝีปากขยับเบาๆ ดวงตาคู่สวยทอประกายอ้อยอิ่ง อวลด้วยความเสียดายที่ชัดเจนในแววตา
"ไม่ทำหน้าบูดแบบนั้นสิคะ ไว้ขอบคุณเธอโอกาสหน้าก็ได้ กรุงเทพฯมันกลมจะตาย เชื่อพี่สิ"
สิ้นคำพูดของคนตรงหน้ารอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากของณัฐวรินทร์โดยไม่รู้ตัว เธอไม่รู้ว่าโลกจะกลมอย่างที่อีกคนบอกจริงๆ หรือไม่ แต่หากใช่
...มันก็คงจะดีสำหรับเธอไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไปค่ะ กลับบ้านกัน”
ทิชาพูดจบก็เอื้อมมือไปจับกับมือของณัฐวรินทร์เอาไว้ก่อนจะหมุนตัวเตรียมที่จะก้าวเดินออกไป ทว่าจังหวะที่เธอออกแรงดึงเบาๆ กลับพบว่าคนข้างหลังยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ แรงดึงน้อยๆ นั้นไม่ได้ทำให้อีกคนนั้นก้าวตามมานั่นจึงทำให้เธอหันหน้ากลับไปมอง ด้วยสีหน้าฉายแววความประหลาดใจ
“...”
“น่าน เป็นอะไรหรือเปล่า?” ทิชาเอียงหน้ามองก่อนจะย้ายมือมาจับแขนของอีกคนเบาๆ และออกแรงเขย่า
“...”
“น่านฟ้า!”
“ค- คะ”
“เป็นหรือเปล่าเห็นจู่ๆ ก็เงียบไป” ทิชาพูดเสียงนุ่ม แต่ดวงตาที่มองยังคงแฝงไปด้วยความกังวล
“เปล่าคะ น่านไม่ได้เป็นอะไร”
"ถ้างั้นเรากลับบ้านกันดีกว่าค่ะ คุณท่านรออยู่ ตามพี่มา"
ทิชาพูดจบก็ส่งยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะหมุนตัวเดินนำออกไป ส่วนด้านคนอายุน้อยกว่าอย่างณัฐวรินทร์ก็ไม่รอช้ายืดตัวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียกสติของตัวเองกลับคืนมาก่อนจะเดินตามหลังคนพี่ออกไปอย่างไม่รีรอ
*****
ครืด! ครืด!
“ค่ะคุณแม่”
[เหนือเป็นอะไรหรือเปล่าลูก แม่โทรหาเหนือตั้งหลายสายแล้วเหนือไม่รับ แม่เป็นห่วง]
“พอดีว่าเมื่อกี้เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ แต่คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เหนือไม่ได้แป็นอะไร”
[ถ้างั้นก็ดีแล้ว แล้วนี่เหนือถึงนานแล้วเหรอลูก ให้แม่ส่งคนไปรับไหม?]
“ไม่ต้องค่ะคุณแม่ เดี๋ยวเหนือกลับกับเบลค่ะ”
[หนูเบลไปรับเหนืองั้นเหรอ?]
“ใช่ค่ะคุณแม่”
[ถ้างั้นก็ดีเลย เดี๋ยวแม่ทำของโปรดของหนูเบลไว้ให้ด้วยก็แล้วกันนะ มากันเหนื่อยๆ จะได้ทานของอร่อยๆ]
"ค่ะคุณแม่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นแค่นี้ก่อนนะคะ ไว้เจอกันที่บ้านค่ะ" ไม่รอให้ผู้เป็นแม่ตอบกลับ นิ้วเรียวรีบกดวางสาย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ฝ่ามือเรียวยกขึ้นแนบอกข้างซ้าย รับรู้ได้ถึงจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่ใต้ผิวเนื้อบาง
แล้วจู่ๆ ภาพของผู้หญิงนั้นก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ชัดเจนเสียจนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจของเธออีกครั้ง
ใบหน้าหวานละมุน ดวงตากลมโตแฝงประกายบางอย่างที่ยากจะละสายตา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลึกคล้ายสีของโกโก้ละมุนยามต้องแสงแดดยามเช้า
ผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นลอนนุ่มล้อมกรอบหน้าอย่างพอดิบพอดี ผิวขาวเนียนละเอียดอมชมพูดูเปราะบางราวกลีบดอกไม้แรกแย้ม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นดั่งนางแบบที่หลุดออกมาจากภาพฝัน
เมื่อดูรวมๆ แล้วจัดว่าเป็นผู้หญิงที่ใช้คำว่า สวย ได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ
แต่จะว่าไป...ทำไมความรู้สึกบางอย่างในส่วนลึกของหัวใจถึงได้สั่นไหวอย่างน่าประหลาด เมื่อต้องสบตากับผู้หญิงคนนั้น ทั้งโครงหน้า แววตา และน้ำเสียงอ่อนโยนที่ไม่เคยรู้จัก
...แต่กลับคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
มันเป็นความรู้สึกคล้ายกับเคยพบเจอกันมาก่อน ทว่าเมื่อคิดให้ดี โลกใบนี้ก็มีคนหน้าตาคล้ายกันอยู่ถมไป เธออาจจะเคยเจอใครที่ดูละม้ายคลึงกับเธอคนนี้บ้างก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
และในขณะที่เธอกำลังล่องลอยไปกับความคิดในหัวที่ติดกับภาพของผู้หญิงคนนั้น เสียงเรียกที่คุ้นเคยก็ได้ดึงเธอออกมาจากภวังค์ แม้จะนึกเสียดายแต่ก็แสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้กลับไปเป็นปกติตามเดิม
“ไงเหนือ รอนานไหม?”
เสียงของ แพทย์หญิงชยานันท์ ภมรนิวัฒน์ หรือ หมอเบล ที่เพิ่งมาถึงเอ่ยทักทายนีรดาเพื่อนสาวคนสนิทอย่างเป็นกันเอง นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้เจอเพื่อนคนนี้อีกครั้งหลังจากที่ห่างหายกันไปนาน เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อนของเธอไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ ส่วนตัวเธอก็ต้องบริหารดูแลโรงพยาบาลต่อจากผู้เป็นพ่อ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้การพูดคุยกันระหว่างเธอกับเพื่อนนั้นลดน้อยตามลงไป แต่ทว่าระยะทางและเวลาก็ไม่อาจทำให้ความสนิทและมิตรภาพที่ดีนั้นลดน้อยลงไปเลย
แล้วเมื่อได้รู้ว่าผู้เป็นเพื่อนเดินทางกลับมาประเทศไทย เธอจึงรู้สึกดีใจและไม่พลาดโอกาสที่จะมารับอีกคนด้วยตัวของเธอเอง
“ไม่นาน ฉันเองก็เพิ่งลงจากเครื่องเมื่อไม่นานนี้เอง”
“อ้าวเหรอ? แล้วนี่แกกินอะไรมาหรือยัง ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันก่อนไหม?”
“...”
“เหนือ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ถามขึ้น พลางเหลือบมองเพื่อนที่ยืนเงียบผิดปกติ
“...”
“เหนือ”
“...”
“ไอ้เหนือ!”
“อ- อะไรเบล ตะโกนทำไม?” เธอสะดุ้ง หันกลับไปมองเพื่อนด้วยสีหน้างุนงง
“ฉันควรถามแกมากกว่าไหมว่าเป็นอะไร ฉันเรียกตั้งหลายรอบ พูดด้วยก็ไม่พูด แล้วนี่มองใครอยู่อ่ะ” ยกแขนกอดอก ยกคิ้ว หรี่ตามองอย่างจับผิดเต็มที่
“เปล่านี่ มองอะไร ไม่ได้มอง”
“แกมอง”
“ฉันเปล่า”
“ก็ฉันเห็นอยู่ว่าแกมอง ปากบอกไม่ แต่ใจอ่ะไปอยู่ที่เขาแล้วมั้ง”น้ำเสียงเย้าแหย่ชัดเจนจนคนโดนแซวเริ่มหน้าแดง
“เลอะเทอะน่าเบล ฉันบอกว่าไม่ก็คือไม่สิ”
“ฉันไม่เชื่อ!”
“ก็แล้วแต่แก” เธอเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะหันหลัง เตรียมจะเดินออกไป เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าถึงเถียงไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
ทว่า...
“เดี๋ยวสิ!”
เสียงเรียกจากด้านหลังดังขึ้นทันควัน
“อะไรอีก!”เธอชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนข้างหลังแต่ยังไม่หันได้กลับไปโดยทันที
“พูดแค่นี้ทำไมต้องอารมณ์เสียด้วย รึว่าแก..”
“อะไร”หมุนตัวกลับมาสวนกลับทันควัน ทว่าน้ำเสียงยังคงติดหงุดหงิด แต่ในแววตาก็มีแววอยากรู้ว่าสิ่งที่เพื่อนจะพูดต่อคืออะไร
“แกชอบน้องเหรอ?” น้องเขาที่ชยานันท์พูดถึงก็คือผู้หญิงร่างเล็ก หน้าตาน่ารักที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปเมื่อครู่นี้
“บะ บ้า ชอบเชิบอะไร ไม่ได้ชอบ” เสียงตอบสูงจนฟังออกว่าพยายามกลบเกลื่อน แถมยังรีบเบือนหน้าหนี
“จริง?” ชยานันท์เลิกคิ้วสูงจ้องคนตรงหน้าด้วยแววตารู้ทัน
“จะ จริง”
“ฮั่นแน่ มีพิรุธ”
“พิรุธอะไร ไร้สาระ” ว่าแล้วก็หมุนตัวก่อนเร่งฝีเท้าเดินหนีอย่างรวดเร็วทิ้งไว้เพียงเงาหลังที่แดงระเรื่อด้วยความขวยเขินแค่เท่านั้น
“เอ้า เขินละเดินหนี รอฉันด้วสิ”
ชยานันท์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะรีบเดินตามหลังเพื่อนสนิทไปรู้ก็รู้อยู่เต็มอกว่านิสัยปากแข็ง ปากไม่ตรงกับใจแบบนี้ ต่อให้ผ่านไปอีกกี่ปี มันก็ไม่มีทางเปลี่ยนเลยจริงๆ