แต่หนนี้แม่เขารู้จนได้เมื่อตอนค่ำๆ ยายอุ่นบอกจะรบกวนให้น้าเชิดพาบุญรักษาไปหาหมอ ปริญก็รีบมาดูด้วยว่าเธอเป็นอะไร อีกฝ่ายปาดน้ำตาปอยๆ มองไปที่แขนข้างนั้นก็เห็นว่ามันบวมช้ำจนน่าตกใจ
“ตายจริง ไปโดนอะไรมาลูก บุญษา”
“บุญษา ฮึก...ล้ม” แม้จะเจ็บแต่ก็ยังมีสติโกหกผู้ใหญ่ มันยิ่งทำให้เด็กชายรู้สึกผิดในใจ เขาเลยบอกความจริงผู้เป็นแม่
“แม่ บุญษาตกต้นชมพู่”
“อะไรนะ นี่โปรดพาน้องเล่นอะไรเนี่ย แกล้งน้องหรือเปล่า”
“ไม่ได้แกล้ง ตอนจะลงโปรดให้บุญษาขี่หลัง แต่ไม่รู้ยังไงบุญษาหล่นลงมา”
“แต่บังคับน้องปีนต้นไม้ใช่ไหม โอย โปรด น้องตัวเล็กแค่นี้เอง”
“เอ่อ คุณโปรดคงไม่ได้ตั้งใจค่ะคุณรุ้ง เด็กๆ ยังไม่รู้หรอกว่าอันไหนอันตราย ไม่อันตราย” ยายอุ่นเห็นว่าเด็กชายดูหงอยๆ กว่าทุกครั้งที่โดนแม่ดุเลยรีบเบรก รุ้งรดาถอนหายใจไม่อยากบ่นลูกชายต่อ เพราะอีกฝ่ายก็หน้าซีดหมดแล้ว...คนที่ปกติไม่เคยยอมรับผิดง่ายๆ คงเห็นว่าคราวนี้น้องเจ็บจริงๆ เลยรู้สึกผิด
“ผมไปโรงพยาบาลด้วยได้ไหมครับ” พอคนขับรถเอารถมาจอดเทียบเขาก็ขอผู้เป็นแม่
“เรารออยู่นี่แหละ ค่ำแล้ว แต่เดี๋ยวแม่จะไปกับน้องนะ โปรดอยู่กับป้าแล้วกัน ถ้าดึกก็เข้านอนเลย”
ซึ่งมันก็ดึกจริงๆ รอแล้วรอเล่าทุกคนยังไม่กลับบ้าน แล้วเด็กชายก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ตอนที่ได้ยินเสียงรถเข้ามาในบ้านตอนเกือบๆ เที่ยงคืนก็รีบลงจากเตียงแล้วเปิดประตูห้อง วิ่งจากชั้นสามลงมาชั้นล่างทันที
“อ้าว โปรด ยังไม่นอนเหรอ”
“เอ่อ นอนแล้วแต่ตื่นครับ” ตอบแม่แต่สายตามองเด็กหญิงที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าซีดเซียว ซ้ำแขนข้างนั้นยังเข้าเฝือกอีก
“เอ่อ แขนหักเลยเหรอครับ” เขาด้วยด้วยความรู้สึกกลัวลึกๆ ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้
“กระดูกร้าวค่ะคุณโปรด หมอให้เข้าเฝือก สองสัปดาห์ก็น่าจะดีขึ้นแล้ว” ยายอุ่นแม้ใจจะห่วงหลานสาวแค่ไหนแต่ก็พยายามให้คำตอบที่เด็กชายจะไม่รู้สึกวิตกมากนัก ปริญไม่รู้หรอกว่ามันหนักเบาแค่ไหน แต่คิดว่าคงไม่เลวร้ายเท่าแขนหัก...แต่ใจเขาก็ยังเต้นตุบๆ อยู่ คิดว่าอีกฝ่ายคงเจ็บมากทีเดียว
“ต่อไปโปรดต้องระวังแล้วนะ อย่าพาน้องเล่นอะไรแบบนี้อีก น้องยังเด็กกว่าโปรดมาก ไม่ได้แข็งแรงเท่าโปรด ให้ไปปีนต้นไม้แบบนั้นมันไม่ได้ ขนาดโปรดเองแม่ยังกลัวพลาดเลย ทางที่ดีไม่ควรปีนทั้งสองคน” เธอไม่ได้อยากให้ลูกชายไปเล่นอะไรเสี่ยงๆ แบบนั้นหรอก แต่ห้ามได้ที่ไหน ก็ได้แต่บอกแต่สอนแล้วให้ผู้ใหญ่ช่วยๆ กันดู...ไม่รู้เหตุการณ์ครั้งนี้ปริญจะคิดได้แค่ไหนเหมือนกัน
“เราแยกย้ายกันเถอะ ให้บุญษาได้นอนพัก เดี๋ยวไม่กี่วันก็หายแล้วนะ” รุ้งรดาเอามือวางบนศีรษะเด็กหญิงอย่างปลอบโยน ก่อนจะจูงมือลูกชายขึ้นชั้นบน ไปส่งถึงหน้าห้องนอน
“โปรดก็นอนได้แล้ว อย่าแอบเล่นมือถือล่ะ”
“ครับ” ปกติเขาก็ไม่เล่นอยู่แล้ว
“ฝันดีครับ”
“ครับแม่”
เขาปิดประตูแล้วไปเปิดไฟกลางห้อง เดินไปยังเตียงนอนที่อยู่ลึกเข้าไปอีกเปิดไฟหัวเตียงแล้วค่อยกลับมาปิดไฟด้านนอกอีกที ตอนลงไปรีบจนลืมเปิดไฟ เด็กชายทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ภาพแขนที่ใส่เฝือกและดวงตาช้ำๆ จากการร้องไห้ของบุญรักษายังติดอยู่ในความรู้สึก...เขารู้สึกผิดมากๆ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกผิดกับอะไรมาก่อนในชีวิตนี้
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเขาก็ไม่ค่อยได้เจอบุญรักษา แม่ก็กำชับว่าอย่าเพิ่งพาน้องเล่นอะไรแผลงๆ อีก เห็นกันแว่บๆ ก็เห็นว่าแขนยังเข้าเฝือกอยู่เลยยังไม่รู้ว่าควรจะต้องเข้าไปคุยอะไร ทั้งยังรู้สึกผิดลึกๆ เลยไม่กล้าไปเจออีกฝ่าย
แต่เข้าวันที่ห้าแล้วก็รู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว เลยลองเข้าไปถามยายอุ่นดู เพราะไม่เห็นเธอในที่ที่เจ้าตัวควรจะอยู่
“ยายอุ่น บุญษาไปไหนล่ะครับ”
“คงนอนอยู่ในห้องมั้งคะ ยายไม่ให้ไปเล่นที่ไหน”
“ออ” ถึงว่าเขาถึงไม่ค่อยเห็นเธอ อยู่แต่ในห้องนี่เอง
“งั้นผมขอไปดูบุญษาหน่อยได้ไหมครับ”
“ค่ะ ยังไงยายฝากดูบุญษาด้วยนะคะ” ยายอุ่นยิ้มใจดี ฝากฝังให้เจ้านายน้อยดูแลหลานสาวเพื่อให้เจ้าตัวไม่ประหม่า ตอนนี้พอดูออกว่าปริญรู้สึกผิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“ครับ เอ่อ มีขนมอะไรให้ผมกินไหมครับ” อยากหาขนมไปฝากคนป่วยมากกว่า ยายอุ่นก็รู้ใจจัดคุกกี้ของโปรดหลานสาวใส่จานให้เขา
“ถือไปได้ไหมคะ ให้ยายอุ่นถือช่วยไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ถือได้” สองมือของเด็กชายวัยแปดขวบประคองจานคุกกี้อย่างตั้งใจ ก่อนจะเดินไปที่ห้องของบุญรักษากับยายอุ่นซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งเหมือนคนงานคนอื่นๆ ซึ่งต่อเติมออกมาให้เป็นโซนของพวกเขาโดยเฉพาะ แต่ห้องของยายอุ่นกับบุญรักษาจะเป็นห้องแม่บ้านเดิมที่มีตามแบบบ้าน บ้านหลังนี้มีขนาดสามชั้นครึ่ง ชั้นล่างก็เป็นห้องโถง ห้องครัวใหญ่ ห้องทีวี ห้องรับแขกและห้องนอนอีกสองห้อง เป็นห้องแม่บ้านกับห้องพักที่เตรียมไว้เวลามีแขกมาพักที่บ้าน และมีชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนทั้งหมด ห้องของลุงกับป้าเขาจะเป็นห้องใหญ่สุด ส่วนชั้นสามก็เป็นห้องของแม่กับปริญ ซึ่งเป็นโซนที่แม่เขาใช้เป็นออฟฟิศขนาดย่อมๆ เหมือนบ้านเล็กๆ ขนาดชั้นครึ่งอีกหนึ่งหลัง ปริญแยกห้องนอนกับแม่ตั้งแต่สองขวบ แต่เมื่อก่อนก็นอนที่ห้องนอนเล็กติดกับห้องแม่ เพิ่งมาอยู่ห้องที่อยู่อีกโซนตอนเจ็ดขวบ ที่เขาก็เริ่มอยากมีความส่วนตัว และแม่ก็เห็นว่าเขาดูแลตัวเองได้
เด็กชายเคาะประตูและลองหมุนลูกบิดเปิดเข้าไป อีกฝ่ายนอนหันหลังให้เขาบนเตียง และเธอกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งแปลกใจทั้งตกใจ รีบเดินไปที่เตียง ปีนขึ้นไปนั่งบนเตียงเพราะอีกฝ่ายนอนชิดผนัง
“บุญษา” เขาเขย่าไหล่เธอเบาๆ อีกฝ่ายจึงพลิกตัวนอนหงายมองเขา น้ำตาไหลอาบแก้ม ตาบวมช้ำหมด
“คุณโปรด ฮึก” จะคุยกับเขาก็ยังสะอึกสะอื้น
“เป็นอะไร เจ็บแขนเหรอ ไปหาหมอไหม” เขารีบถามอย่างลนลาน อีกฝ่ายส่ายหน้าพรืด
“ไม่ บุญษา เจ็บ...ฮึก” เด็กหญิงยกกำปั้นน้อยๆ มาทุบที่อกตัวเอง ปริญก็งุนงง
“หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก” และก็เดาไปเรื่อย ยิ่งตกใจกว่าเดิมว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไร แต่เจ้าตัวก็ส่ายหน้า เอ่ยกระท่อนกระแท่น ตามที่เด็กหญิงวัยห้าขวบจะสามารถพูดได้
“ไม่ บุญษาเจ็บ ตรงนี้...พ่อโกหกบุญษาอีกแล้ว วันนี้ก็ไม่มา นี่บุญษาเจ็บแขน แต่พ่อก็โกหก” แม้เขาจะชอบพูดจาร้ายๆ ทำเธอเจ็บตัวบ่อยๆ แต่ลึกๆ เด็กหญิงก็รู้สึกว่าเธอฟ้องเขาได้ เด็กชายปริญพยายามคิดตาม แล้วหัวใจเขาก็เจ็บตามเธอ บุญรักษาคงกำลังบอกเขาว่าขนาดเธอเจ็บตัวแบบนี้ แต่พ่อของเธอก็ยังโกหกว่าจะมาหาแล้วก็ไม่มา
สงสารอีกฝ่ายจับใจแต่ก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร นั่งมองเจ้าตัวร้องไห้อยู่ครู่ใหญ่ๆ จึงยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มให้
“ฉันบอกเธอแล้วไงว่าอย่าร้องไห้ให้เขา”
คนที่เริ่มจะร้องไห้เบาลงแล้วมองเขาตาปริบๆ รู้สึกอุ่นๆ ในใจกับนิ้วที่ปาดเช็ดน้ำตาให้ในตอนนี้ ในใจรู้สึกเชื่อถือ
“ไม่ต้องไปสนพ่อเธอหรอก เขาอยากมาตอนไหนหรือไม่มาตอนไหนก็ปล่อยเขาไป” มันอาจฟังดูใจร้ายกับคำพูดที่เด็กชายวัยแปดขวบจะพอคิดได้ แต่หัวใจคนฟังไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากมาย มันสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะซ้ำเติมเธอ...สัมผัสได้ว่าเขาบอกเพราะหวังดีจริงๆ เด็กหญิงเอามือเช็ดน้ำตาตัวเอง
“ค่ะ บุญษาจะไม่ร้องไห้อีก” บอกอย่างแน่วแน่ และมันทำให้เด็กชายยิ้มออกที่เจ้าตัวว่าง่ายเชื่อคำที่เขาบอก
“อืม นี่ยายอุ่นฝากคุกกี้มาให้กินไหม”
“โอ บุญษากำลังหิวขนมพอดี รอพ่อซื้อขนมมาฝาก แต่พ่อไม่มาแล้ว” ก็เลยไม่ยอมกินขนมอย่างอื่น ปริญพอจะเดาออก ถ้าวันไหนพ่อเธอบอกจะซื้อขนมมาฝากบุญรักษาจะไม่กินขนมของคนอื่น เธอจะดีใจมากถ้าได้รับ และเอาขนมนั้นไปแบ่งปันคนอื่นด้วยความสุข
“อือ กินเถอะ เธอจะไม่โตสักทีนะบุญษา เดี๋ยวไม่ได้เข้าโรงเรียน” บุญรักษาตัวเล็กมากๆ ในสายตาของเขา เด็กหญิงตาโตขึ้นเหมือนตกใจ
“บุญษาจะได้เข้าโรงเรียนเหรอคะ”
“อืม เปิดเทอมนี้ก็ได้ไปแล้วละ” เขาเดาๆ เองว่าเธอน่าจะเข้าโรงเรียนได้แล้ว และพอบอกเด็กหญิงแล้วเจ้าตัวมีความหวังก็คิดว่าตัวเองต้องรักษาคำพูด...เขาจะไปเจรจากับแม่
“แล้วนี่เธอยังเจ็บแขนอยู่ไหม”
“เอ่อ ไม่เจ็บแล้วคะ”
“แน่ใจ”
“เจ็บนิดเดียว แต่บุญษาไม่ร้องไห้แล้ว” คนฟังก็เบาใจ แปลความหมายของคำพูดนั้นออกว่ามันไม่เจ็บเหมือนวันที่เธอเจ็บจนร้องไห้อย่างวันแรกที่ต้องไปหาหมอ และเข้าเฝือกมา
“เอ่อ แล้วคุณโปรดโดนคุณรุ้งดุไหมคะ” ยังอุตส่าห์มาเป็นห่วงเขาอีก
“ไม่อะ” เด็กชายไหวไหล่เหมือนไม่แคร์ ทั้งๆ ที่ก็โดนสั่งสอนไปเยอะอยู่ ปกติเขาต้องมาบ่นเธอต่อแล้ว แต่นี่เห็นว่าเจ็บตัวเฉยๆ หรอก