CHAPTER 1
‘คิก...คิก’
‘ป๊า...ปะป๊า’
เสียงหัวเราะของเด็กที่ดังแว่วๆ ให้ได้ยินทำให้ปอต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะขยับเท้าก้าวเดินตามเสียงนั้นไปช้าๆ
เด็กที่ไหนมาอยู่ในห้องเขา?
ปอได้แต่เก็บความสงสัยทั้งหมดไว้ในใจและก้าวเดินตามเสียงนั้นต่อไปเงียบๆ แต่ยิ่งเขาขยับเดินตามเสียงนั้นก็ยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ด้วยความร้อนใจและกลัวว่าเสียงนั้นจะเงียบหายไป ปอเลยออกวิ่งสุดแรงเกิดเพื่อหวังจะตามเสียงนั้นให้ทัน ก่อนจะต้องหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหันและยกฝ่ามือขึ้นมาบังหน้า เพราะมีแสงสีขาวสว่างจ้ากำลังสาดกระทบเข้าใส่เต็มๆ
ในความพร่าเลือนที่ปอพยายามเพ่งมองนั้น เขามองเห็นร่างเล็กๆ ของเด็กที่สะท้อนเป็นเงาดำพาดผ่านอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ร่างของเด็กคนนั้นจะวิ่งหนีไปจากบริเวณนั้นอย่างความเร็ว ทำเอาปอที่มองอยู่ถึงกับผวาตามโดยไม่ได้ตั้งใจและรู้สึกเป็นห่วงร่างเล็กๆ นั้นจะหกล้มจนได้บาดเจ็บ
‘คิกๆ ป๊า...ปะป๊า’
ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!
เสียงนาฬิกาปลุกแผดเสียงร้องดังลั่นไปทั่วห้องนอนกว้าง ทำให้ร่างหนาที่นอนหลับสบายบนเตียงนอนหลังใหญ่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับที่ฝ่ามือกวาดไปทั่วหัวเตียงเพื่อกดปิดนาฬิกาที่ยังคงส่งเสียงไม่หยุด
ปอลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยสภาวะที่ยังง่วงงุนเนื่องจากนอนไม่พอ ร่างหนายังคงนอนนิ่งๆ อยู่แบบนั้นไม่ได้ขยับกายไปไหนคิ้วเข้มสองข้างขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองในขณะที่อยู่ในห้วงนิทรา
เขาฝันอีกแล้ว...
ความฝันที่ฝันติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาร่วมเดือนและไม่รู้ว่าทำถึงฝันเห็นมัน ครั้งแรกที่ฝันเขาจำได้ว่ามีเพียงแค่หมอกควันจางๆ ที่ปรากฏตรงหน้า กับเสียงของเด็กน้อยที่หัวเราะสดใสแผ่วเบาห่างไกลราวเสียงกระซิบ
แต่ทุกครั้งหลังจากที่จบความฝันนั้นและลืมตาตื่น จนถึงเวลาที่ต้องฝังตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราในค่ำคืนใหม่ เขาจะเริ่มฝันถึงหมอกควันและเสียงเล็กๆ เสียงนั้นอีกครั้ง พร้อมกับภาพความฝันที่แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ และเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกัน ราวกับเป็นภาพต่อของจิ๊กซอว์ที่ตัวเขาต้องไล่ตามหาและประกอบมันขึ้นมา และในทุกๆ ครั้งที่เขาใกล้จะได้จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายเพื่อไขปริศนา เสียงนั้นจะห่างออกไปพร้อมกับเขาที่ลืมตาตื่นจากฝัน
“เด็ก” ปอพึมพำเบาๆ ให้กับความฝันของตัวเอง
วันนี้เป็นอีกวันของความฝันที่เขาพยายามจะไล่ตามและยังจับตัวไม่ได้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่พิเศษไปมากกว่าทุกวันก็คือ...เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเงาของร่างนั้น
ปอตัดสินใจพยุงตัวเองลุกขึ้นหลังจากที่นอนจมอยู่กับความคิดมานาน ยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองจนยุ่งพร้อมกับสะบัดศีรษะไปมาเพื่อไล่ความง่วง ก่อนจะก้าวขาลงจากเตียงและเดินไปในเข้าห้องน้ำ เพื่อจัดการล้างหน้าล้างตาให้ตัวเองสดชื่นขึ้น
ปอเงยหน้ามองเข้าไปในกระจกแล้วจ้องเงาสะท้อนของตัวเองอยู่แบบนั้น ก่อนจะพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาให้กับความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะใช้ความพยายามมากมายแค่ไหนก็ตาม ทุกครั้งที่ฝันถึงเขาจะต้องคิดตามเรื่องราวในฝันทุกครั้งไป
เขาเกลียดเด็ก...เป็นสิ่งที่คนรอบตัวรู้กันดี
สัตว์ประหลาดตัวแดงที่วันๆ ได้แต่ลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อแผดเสียงร้องดังลั่น ใบหน้าเยาว์วัยที่ยับย่นยู่ยี่พร้อมกับน้ำลายที่ไหลเยิ้ม กลิ่นคาวจากน้ำนมที่คละคลุ้งไปทั่ว ไหนจะสัญชาตญาณที่ไวยิ่งกว่าสัตว์ต่อสิ่งที่เป็นอันตรายนั่นอีก ทุกๆ อย่างที่เกี่ยวกับเด็กทารกคือสิ่งที่เขาไม่ชอบและรำคาญ แต่ทำไมคนที่ไม่ถูกกับเด็กและเด็กเองก็ไม่น่าจะชอบอย่างเขาถึงได้ฝันแบบนั้น ฝันเห็นเด็ก
...เด็กที่เรียกเขาว่าปะป๊า…
“โมกอย่ากวนสิก็เทอาหารให้แล้วไง” เสียงหวานใสที่ดังลอดเข้ามาในห้อง ทำให้ปอหยุดความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับความฝันไร้สาระของตัวเองลง และก้าวขาเดินออกไปหาเจ้าของเสียงที่ได้ยินจากทางด้านนอกแทน
ฟอดดดดดด
“อ่ะ” เลิฟสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่ๆ ก็มีแรงกอดรัดที่ช่วงเอวพร้อมกับความอุ่นร้อนที่ทาบลงมาบนแก้ม ก่อนจะหันกลับไปมองและส่งยิ้มหวานให้พร้อมหอมแก้มอีกฝ่ายกลับไปบ้าง แล้วจึงหันกลับมาสนใจกับอาหารที่กำลังทำค้างอยู่ในกระทะตรงหน้าต่อ
“ทำอะไรกิน” ปอวางคางบนไหล่มนและมองลงไปยังกระทะ ใน ขณะที่เลิฟกำลังจัดการปรุงรสอย่างคล่องแคล่ว
“สเต๊กปลาแซลมอน เลิฟอ่านเจอในเน็ตเมื่อคืนเลยลองทำดู”
“ตู้เย็นไม่มีปลาแซลมอน” ปอทำเสียงดุใส่ทันทีที่ได้ยินคำว่าปลา แซลมอน
“เลิฟเดินไปซื้อที่ซูเปอร์ใกล้ๆ นี่เอง” เลิฟตอบเสียงอ่อยกลัวว่าจะโดนดุไปมากกว่านี้ เพราะปอเคยห้ามไม่ให้เขาไปไหนมาไหนคนเดียว
“อืม” ปอผละออกจากเลิฟแล้วเดินไปนั่งรอที่โต๊ะแทนไม่ได้พูดหรือดุอะไรมากกว่านี้ ซึ่งนั่นมันทำให้เลิฟแอบพ่นลมหายใจออกมาด้วยความ โล่งอก
“เสร็จแล้ว” เลิฟส่งเสียงเจื้อยแจ้วแล้วเดินถือจานอาหารที่ตกแต่งอย่างสวยงามมาวางตรงหน้าปอ ก่อนจะมองปอที่กำลังจะตักอาการเข้าปากด้วยความลุ้นระทึก
“จ้องอะไร” ปอว่าและเหลือบตามองเลิฟที่จ้องเขม็งด้วยความแปลกใจ
“กินสิเร็วๆ” เลิฟเอ่ยเร่งพร้อมกับนัยน์ตาที่พราวระยับไปด้วยความตื่นเต้น ยืนลุ้นจนตัวโก่งว่าคนรักกินเข้าไปแล้วรสชาติจะเป็นยังไง จะถูกปากอีกฝ่ายหรือเปล่า
“อร่อยป้ะ” เลิฟถามด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าปอตักอาหารเข้าปาก
เขาเพิ่งหัดทำเมนูนี้เป็นครั้งแรกและไม่ถนัดอาหารฝรั่งสักเท่าไร แต่ก็พยายามที่จะทำเพราะใครบางคนแถวนี้ไม่ชอบกินข้าวต้ม
“อร่อย” คำตอบสั้นๆ ของปอเรียกรอยยิ้มกว้างจากเลิฟในทันที จนปอถึงกับเผลอกระตุกยิ้มตามบ้างอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วมึงไม่กิน” ปอถามพร้อมกับหั่นสเต๊กเข้าปากเรื่อยๆ
เขาไม่ได้แกล้งชมให้เลิฟดีใจแต่อีกฝ่ายทำอาหารอร่อยจริงๆ ทำอร่อยทุกอย่าง หลักฐานคือน้องสาวและพี่ชายของเขาที่หิ้วท้องมากินกับข้าวฝีมือคนตัวเล็กได้แทบทุกวัน
“กินแล้ว” เลิฟตอบพร้อมกับถอดผ้ากันเปื้อนออกจากตัว
“มานี่ดิ๊” ปอเรียกและตบลงบนขาของตัวเองเบาๆ ส่วนเลิฟก็เดินไปนั่งลงบนตักอย่างว่าง่าย
“เรียนเช้าหรือไง” ปอถามและตักปลาในจานใส่ปากให้เลิฟ
“อือ...แต่ปอเรียนบ่ายนี่ทำไมรีบตื่นล่ะ” เลิฟเคี้ยวตุ้ยๆ และถามอย่างนึกขึ้นได้เพราะเมื่อคืนไม่รู้ว่าปอกลับห้องกี่โมง แต่ที่แน่ๆ หลังเที่ยงคืนแทบทุกวันเพราะต้องทำงานช่วยที่บ้าน
“นาฬิกา” ปอว่าและตักอาหารเข้าปากเลิฟไม่หยุดสลับกับตักเข้าปากตัวเอง
“เลิฟไม่ได้ปิดให้เหรอ” เลิฟทำตาโตทันทีเพราะปกติจะปิดเสียงนาฬิกาปลุกให้ปอทุกครั้ง แต่เมื่อเช้าเพราะตื่นสายผิดปกติเลยทำให้ตัวเองรีบจนลืมแน่ๆ
“ช่างเถอะ” ปอบอกปัดอย่างไม่สนใจแล้วคว้าเอาแก้วกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ มาดื่ม ก่อนจะชักแก้วออกจากปากแทบไม่ทันเมื่อได้สัมผัสรสชาติ
“โอวัลติน” ปอว่าและมองน้ำสีเข้มในแก้วพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น
“ก็กินแต่กาแฟมันไม่ดีต่อสุขภาพ” เลิฟอ้อมแอ้มตอบปอไม่เต็มเสียงพร้อมกับส่งยิ้มแหยๆ ให้
“มึงนี่นะ...เดี๋ยวกูไปส่ง” ปอได้แต่ถอนหายใจและออกปากดุเลิฟอย่างไม่จริงจังให้กับความช่างคิดของอีกฝ่าย แล้วยกคนตัวเล็กลงจากตักให้ไปยืนรอที่พื้นแทน
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเลิฟไปพร้อมปรางก็ได้” และไม่ทันขาดคำเสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้นทันที พร้อมกับเลิฟที่รีบวิ่งไปเปิดประตู
“ปะเลิฟ เดี๋ยวสาย” ปรางส่งเสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยชวนทันทีที่เห็นหน้าเลิฟ
“ดูมันด้วยล่ะ” ปอที่เดินตามมาทีหลังยื่นกระเป๋าใบให้เลิฟพร้อมกับกำชับปรางเสียงเรียบ
“ปอ... น้องเป็นผู้หญิงนะ ปอต้องบอกเลิฟดูแลน้องสิ” ปรางว่าพี่ชายเสียงกระเง้ากระงอดพร้อมกับส่งสายตามองค้อนจนตาแทบคว่ำ
“งั้นลองตบกันดูใครจะชนะ” ปอว่าด้วยท่าทางเรียบเฉยพร้อมกับปรายตามองทั้งคู่สลับไปมา
ที่พูดออกไปไม่ได้จะกวนประสาทอะไรใครทั้งนั้น แต่เลิฟกับปรางส่วนสูงเท่ากันตัวก็บางพอๆ กัน เลิฟอาจจะตัวหนากว่านิดหน่อยเพราะเป็นผู้ชาย และที่มากกว่านั้นคือปรางเก่งศิลปะการต่อสู้หลายชนิด ถ้าทะเลาะกันตัวเท่าเลิฟปรางคว่ำได้แค่กระดิกนิ้วด้วยซ้ำ
“ปอ!!!!” ทั้งสองเสียงตะโกนใส่ปอพร้อมกันด้วยความไม่พอใจ
หนึ่งคนขัดใจที่พยายามจะทำตัวบอบบางแต่ไม่เคยจะเป็นอย่างนั้นในสายตาของพี่ชาย ส่วนอีกคนก็ขัดใจที่พยายามจะทำตัวมาดแมนสมชายยังไงก็แมนไม่ขึ้นสักที
“ไปเรียนได้แล้วไป” ปอตัดสินใจเอ่ยปากพร้อมกับโบกมือไล่ด้วยความรำคาญ ที่โดนทั้งสองคนถลึงตาใส่ไม่หยุด ผลที่ได้คือโดนน้องสาวตัวแสบอย่างปรางแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ก่อนที่เจ้าตัวจะจัดการลากเลิฟเดินหนีไปทันที โดยไม่คิดจะปล่อยให้เลิฟได้ร่ำลาอะไรก่อนไปเรียน จนปอถึงกับต้องส่ายหัวหน่ายๆ ให้กับความพาลพาโลของน้องสาวอย่างเหนื่อยใจ