ผมลงลิฟต์มารอคุณโอยามะที่ชั้นล่างตามที่ได้รับคำสั่ง แต่ก่อนอื่นเลยผมคงต้องบอกคนที่ยังคงนั่งรอผมอยู่ในรถซะก่อนว่าวันนี้ผมคงไม่สามารถขับรถไปส่งเธอกลับบ้านได้แล้ว
ฟึ่บ!
เริ่มจากการเปิดประตูรถทันทีที่เดินมาถึง
การที่อยู่ๆ ผมเปิดประตูรถออกโดยไม่ได้ส่งสัญญาณบอกคนด้านในก่อน ทำให้ริโกะหันมามองผมด้วยสองตาที่เบิกโพลงขึ้นเพราะความตกใจ
“ถ้าฉันเป็นคนร้าย เธอคงตายไปแล้ว ทำไมไม่ล็อกประตูรถ” ผมถามเสียงขุ่นเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเตือนเรื่องนี้กับเธอ ไม่อย่างนั้นผมจะตั้งใจเดินมากระชากประตูรถทำไม
“เอ่อ ริโกะขอโทษที่ประมาทค่ะ”
“เวลาโดนยิง คำขอโทษมันไม่ได้ทำให้เธอหายเจ็บหรอกริโกะ” ผมดุใส่ ซึ่งเธอก็ทำหน้าหงอใส่ผมเหมือนทุกที แต่ไม่เคยจำเลยสักครั้งเดียว
“ลงมา”
“คะ?”
“บอกให้ลงมา เดี๋ยวฉันต้องไปทำงานต่อ โยชิจะเป็นคนไปส่งเธอแทนฉัน” ผมถือโอกาสบอกริโกะไปในตัว ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะยังงงๆ อยู่กับคำสั่งปุบปับของผม แต่เธอก็รีบก้าวเท้าลงจากรถพร้อมกับกระเป๋าเป้นักเรียนที่เธอมักจะวางมันเอาไว้บนตักของตัวเองเสมอ
“ช่วงนี้โยชิจะทำหน้าที่ไปรับไปส่งคุณฮานะกับเธอแทนฉันชั่วคราว”
“ทำไมเหรอคะ มีเรื่องอะไรรึเปล่า ริโกะทำอะไรผิดรึเปล่าคะ” ริโกะรีบถาม สายตาของเธอฉายแววกังวลขึ้นมาอย่างชัดเจน นั่นทำให้ผมต้องรีบส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่หรอก ฉันต้องไปทำงานน่ะ” ผมตอบสั้นๆ ซึ่งผมดูออกว่าริโกะน่าจะยังมีคำถามที่เธออยากจะถามต่อ แต่เธอคงไม่กล้าพอจะถามออกมา เธอถึงได้เลือกที่จะเม้มริมฝีปากเบาๆ แล้วเปลี่ยนเป็นส่งยิ้มให้ผมแทน
“ริโกะเข้าใจค่ะ”
“เป็นเด็กดีด้วยล่ะ” ผมทิ้งท้ายเบาๆ ก่อนจะปิดประตูรถลงเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นเงาของโยชิสะท้อนออกมาจากกระจกรถทางด้านหลังของริโกะ
ผมหันไปมองหน้าโยชินิ่งๆ ซึ่งทันทีที่เขาเดินมาถึงจุดที่ผมกับริโกะยืนอยู่ เขาก้มหัวให้ผมนิดหน่อยก่อนจะมองเลยไปยังริโกะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“รถฉันจอดอยู่ข้างหลังน่ะ”
“ค่ะคุณโยชิ” ริโกะตอบรับพร้อมกับยิ้มเจื่อน เธอหันมาทำความเคารพผมก่อนจะเดินนำออกไปตามทางที่โยชิบอก ส่วนผมก็คงต้องรอคุณโอยามะอยู่ตรงนี้
“ผมจะดูแลคุณฮานะกับริโกะอย่างดี คุณคิราวะวางใจเถอะครับ” โยชิบอกผมอย่างนั้นก่อนจะเดินตามริโกะออกไป ซึ่งผมรู้ดีว่าเขาต้องทำได้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นคุณโอยามะคงไม่เลือกให้เขาทำหน้าที่สำคัญแบบนั้น
“คุณคิราวะคะ”
แล้วอยู่ๆ เมื่อผมกำลังจะละสายตาออกจากเส้นทางการเดินออกไปของทั้งริโกะและโยชิ เสียงของริโกะก็ทำให้ผมต้องหันกลับไปสบตากับเธออีกครั้ง
“ริโกะรอได้ค่ะ” ริโกะยกมือขึ้นมาป้องปากแล้วพูดโดยไม่เปล่งเสียงออกมา แต่ผมอ่านปากของเธอออก เพราะจำได้ว่ามันเป็นประโยคเดียวกับที่เธอเพิ่งจะพูดกับผมไปเมื่อตอนก่อนที่ผมจะขึ้นไปข้างบน มีเพียงโยชิเท่านั้นที่คงไม่เห็นว่าเธอพูดอะไร
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะสะบัดมือไล่ให้เธอรีบเดินออกไปเท่านั้น
ผมไม่อยากให้โยชิสงสัยอะไรมากมาย ไม่ชอบให้เขามองผมหรือเธอด้วยสายตาที่เหมือนจะลอบสังเกตตลอดเวลาแบบนั้น รวมถึงไม่อยากให้คุณโอยามะเดินลงมาเห็นริโกะในท่าทีแบบนั้นด้วย เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมทำให้เธอตกที่นั่งลำบากที่ต้องตอบคำถามคุณโอยามะ
แล้วนี่ตกลงแล้วสาเหตุที่เธอพูดแล้วยิ้มได้แบบนั้นเป็นเพราะเธออยากให้ผมสบายใจ หรือเป็นเพราะตัวเธอเองรู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องตอบคำถามของผมแล้วกันแน่
ยัยเด็กแสบ รู้มากขึ้นทุกวันจริงๆ
เฮ้อ~
ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะสะบัดหัวเบาๆ เพื่อไล่ความคิดที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ออกไป พอดีกับจังหวะที่คุณโอยามะเดินมาถึงตัวรถพอดี และหน้าที่ของผมก็คือการเปิดประตูรถให้เขา
“ไปแบล็กทาวน์”
คำสั่งจากคุณโอยามะทำให้ผมคำนวณเส้นทางการขับรถในหัวทันที แม้จะยังไม่รู้ว่าคุณโอยามะจะกลับไปที่นั่นทำไมในเวลานี้ ทั้งที่เขาเองก็เพิ่งจะกลับออกมาได้ไม่นานด้วยซ้ำ แต่คิดว่าเดี๋ยวอีกสักพักผมคงได้รู้คำตอบ
ทันทีที่ผมเข้ามานั่งประจำที่คนขับ ผมก็ขับรถออกมาเพื่อตรงไปยังแบล็กทาวน์ตามคำสั่ง แบล็กทาวน์คือตึกแฝดที่สูงที่สุดในย่านมารุ ศูนย์รวมคำสั่งและการปฏิบัติงานทุกอย่างของแบล็กสกอร์เปี้ยน
“ถ้าฉันเปิดโอกาสให้นายถามคำถามฉันได้หนึ่งคำถาม นายอยากถามอะไรคิราวะ” คุณโอยามะถามพลางเหลือบสายตามองผมผ่านกระจกมองหลังตรงหน้าผม ซึ่งก็ทำให้ผมเหลือบมองเขากลับไปเช่นกัน
“ผมไม่มีคำถามครับ”
“แม้แต่เรื่องริโกะก็จะไม่ถามงั้นเหรอ”
“ครับ”
“ทำไม หรือนายกลัวว่าฉันจะสั่งให้นายวนรถกลับไปแบล็กวิลล์”
น้ำเสียงของคุณโอยามะเย็นเยียบแบบนี้เสมอ ผมเชื่อสนิทใจว่าถ้าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ผม มันคงกลัวจนหัวหดไปแล้ว แต่สำหรับผม ไม่ว่าน้ำเสียงของคุณโอยามะจะเย็นหรือนิ่งมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถสื่อหรือแสดงออกได้ถึงอารมณ์ของเขาเท่ากับสายตาหรอก และเป็นเพราะว่าผมมองเห็นได้ชัดเจนว่าสายตาของเขาในเวลานี้ดูนิ่งสงบ นั่นแปลว่าเขาไม่ได้กำลังคิดจะหลอกถามเพื่อให้ผมเปิดปาก หากแต่กำลังประเมินความคิดของผมอยู่ต่างหาก
“เปล่าครับ แต่ที่ผมไม่ถามเพราะผมไม่ได้สงสัยอะไร”
“อย่างเช่นเรื่องที่ฉันสั่งให้โยชิไปทำหน้าที่รับส่งริโกะแทนนายด้วยใช่มั้ย”
คำถามชี้นำของคุณโอยามะทำให้ผมนิ่งไปสักพัก แต่ถึงจะเอะใจอยู่บ้าง ผมก็ยังไม่คิดจะถามออกไปอยู่ดี
“คุณโอยามะวางใจให้เขาทำหน้าที่นั้นก็เพราะเขามีความสามารถครับ อีกอย่างหน้าที่หลักของโยชิคือรับส่งคุณฮานะต่างหาก ส่วนริโกะเป็นผลพลอยได้” ผมตอบอย่างพยายามแยกแยะ ซึ่งก็ทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มมุมปากของผู้ชายที่ใครๆ ก็มักจะบอกว่าเขาไร้ซึ่งอารมณ์ขัน
“นายไม่ควรเชื่อใจฉันขนาดนั้นหรอกคิราวะ”
“ผมเชื่อในเหตุและผลของคุณโอยามะครับ เชื่อเพราะรู้และมั่นใจว่าเหตุผลนั้นมันจะเป็นผลดีกับเราทุกคนเสมอ” ผมตอบพลางยิ้มตอบคุณโอยามะนิดหน่อย ก่อนจะตั้งใจขับรถต่อไปเงียบๆ
“ขอบใจที่นายเชื่อใจฉัน”
คำตอบของคุณโอยามะทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้บ้างนิดหน่อย ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเหตุผลที่คุณโอยามะออกคำสั่งแบบนั้นคืออะไร แต่ผมเชื่อว่ามันเป็นทางเลือกที่คุณโอยามะคิดว่ามันดีที่สุดแล้วสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้
“คุณโอยามะมีอะไรจะบอกผมงั้นเหรอครับ” ผมถามเมื่อสบโอกาส รู้สึกได้ว่าตั้งแต่ที่ผมขับรถออกมาคุณโอยามะเหลือบสายตามองผมอยู่หลายครั้ง ซึ่งถึงจะเป็นเพราะคุณโอยามะมีเรื่องจะพูดกับผม แต่มันก็บ่อยเกินไปอยู่ดี บวกกับการที่ผมเห็นว่าเขายกข้อมือซ้ายขึ้นมามองนาฬิกาข้อมือ ทำราวกับว่ากำลังรอเวลาอะไรสักอย่าง
“สมกับเป็นคนที่ฉันไว้ใจให้ดูแลฮานะ”
“เกี่ยวกับเรื่องของพวกเสือขาวใช่มั้ยครับ” ผมพยายามคาดเดาอย่างไม่อ้อมค้อม ซึ่งคำตอบของคุณโอยามะก็คือการพยักหน้าเบาๆ แล้วสบตาผมนิ่งๆ เหมือนเป็นสัญญาณเตือน
“ผมจะระวังตัวให้มากกว่านี้ครับ”
“นายรู้ตัวมานานเท่าไหร่แล้ว”
นี่ต่างหากสิ่งที่คุณโอยามะต้องการจากปากผม
“สองวันครับ”
“เพราะแบบนี้นายถึงไม่สงสัยเรื่องที่ฉันสั่งให้โยชิไปดูแลฮานะสินะ” คุณโอยามะพูดต่ออย่างรู้ทัน ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้าตอบเขาอย่างตรงไปตรงมาเหมือนเคย
ก่อนหน้านี้ประมาณสองวันก่อน ผมรู้สึกว่ามีคนคอยสะกดรอยตามผม เพียงแต่ยังไม่มั่นใจเท่านั้นว่าเป็นพวกไหน มันปฏิเสธได้ยากว่ายิ่งคุณโอยามะนำพาแบล็กสกอร์เปี้ยนให้แข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ คนที่คิดจะล้มเขาก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
แต่การที่จะล้มเขาโดยตรงมันไม่ง่าย แต่ขั้นตอนมันก็ไม่ได้ยาก เพราะก็คือต้องเริ่มจากการข้ามศพผมไปก่อน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ค่าหัวของผมจะพลอยสูงตามไปด้วย เพราะถ้ากำจัดผมได้ก็ไม่ต่างอะไรกับการตัดแขนของคุณโอยามะ
“ผมทราบครับว่าคุณโอยามะเป็นห่วงคุณฮานะ และต้องขออภัยที่ผมไม่ได้บอกให้คุณโอยามะทราบตั้งแต่ต้น จนอาจทำให้คุณฮานะต้องตกอยู่ในอันตราย”
“ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก คนที่ทำให้ฮานะต้องตกอยู่ในอันตรายคือฉันต่างหาก เป็นคนของฉัน จะอยู่ตรงไหนกับใครก็อันตรายทั้งนั้น นายเองก็เหมือนกัน” คุณโอยามะพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ซึ่งผมรู้ดีว่าเป็นเพราะความห่วงใยที่เขามีต่อคุณฮานะ ก่อนหน้าที่เขาจะได้รู้จักเธอ ไม่ว่าจะปัญหาอะไรหรือแม้แต่ความตาย ผมก็ไม่เคยเห็นคุณโอยามะยี่หระต่ออะไรสักอย่าง แต่ตั้งแต่ที่เขามีคุณฮานะ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
จากที่รอบคอบอยู่แล้ว เขาก็รอบคอบขึ้นอีกหลายเท่าในทุกๆ ด้าน ระวังตัวเองมากขึ้น และก็ดูเหมือน...จะอ่อนโยนมากขึ้นอีกด้วย
“ผมจะพยายามลากตัวมันออกมาให้ได้เร็วที่สุดครับ”
“อย่าวู่วามจนกว่าจะแน่ใจ ไม่ว่าจะฮานะหรือนายต่างก็มีความสำคัญกับฉันทั้งนั้น”
“ครับผม”
ปัง!
แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงปืนดังขึ้นจากทางด้านหลัง สายตาของผมเหลือบมองไปยังกระจกรถด้านข้างทันทีพร้อมกับที่พยายามจะประคองรถเอาไว้ในเส้นทาง ส่วนคุณโอยามะก็เอื้อมหยิบปืนที่ถูกเก็บไว้ในช่องเก็บของด้านหลังด้วยความรวดเร็ว
“ปลอดภัยนะครับ”
“ขับตรงไปเรื่อยๆ ข้างหลังฉันจัดการเอง” คุณโอยามะสั่งเสียงเข้ม ก่อนที่เขาจะยกกระบอกปืนในมือขึ้นมาแล้วกลับตัวเพื่อหันหน้ากลับไปทางด้านหลัง ซึ่งหน้าที่ของผมก็คือการขับรถตรงไปเรื่อยๆ รวมถึงการติดต่อขอกำลังเสริม
“ขอกำลังเสริมที่ถนนฮาดะ คุณโอยามะตกอยู่ในอันตราย”
ปัง!
เอี๊ยดดด~~~
เสียงเบรกของรถคันด้านหลังดังขึ้นทันทีที่คุณโอยามะยิงเข้าที่ล้อรถด้านหน้าฝั่งคนขับ แต่ทว่าพวกมันไม่ได้มาแค่คันเดียว!
“ซ้ายมือครับคุณโอยามะ”
“ไม่ต้อง”
“เดี๋ยวนี้ครับ”
เอี๊ยดดด~~~
พูดจบผมก็สลับปลายเท้าไปแตะเบรกพร้อมกับหักพวงมาลัยรถไปทางขวาในทันที ท้ายรถสะบัดไปทางด้านซ้ายก่อนจะหยุดกึกลงตามที่ผมต้องการ
นี่คงเป็นโอกาสเดียวที่ผมสามารถออกคำสั่งกับผู้ชายที่ยิ่งใหญ่คนนี้ได้
“คิราวะ”
“ถ้าผมทำเวลาได้ดีกว่าครั้งก่อน เลื่อนตำแหน่งให้ผมด้วยนะครับ” ผมรีบพูดก่อนจะปรับกระจกรถทางด้านหลังลงพลางเอื้อมมือไปหยิบปืนที่เก็บเอาไว้ในช่องเก็บของที่ถูกติดตั้งเอาไว้เพิ่มเติมใต้พวงมาลัยรถ
“จะพิจารณาเลื่อนเป็นพ่อบ้านที่แบล็กวิลล์ให้ก็แล้วกัน” คุณโอยามะบอกสั้นๆ ก่อนที่เราจะสบตากันเพียงเสี้ยววินาทีแล้วต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง
คุณโอยามะกระโดดออกไปทางกระจกรถทางซ้ายที่ผมลดระดับกระจกลงจนสุดเพราะผมตั้งใจจะจอดให้ชิดกำแพงด้านข้างมากที่สุดจนไม่สามารถเปิดประตูรถได้
ก่อนหน้านี้ผมตั้งใจจะจอดรถปิดปากตรอกแคบๆ เพื่อให้คุณโอยามะสามารถหนีออกไปได้ ซึ่งการต้องพาตัวเองลอดออกไปทางกระจกรถก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร และความสูงของเขาไม่ใช่ปัญหาเพราะทั้งผมและเขาต่างก็ถูกฝึกทักษะการเอาตัวรอดในเวลาคับขันแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
หลังจากที่คุณโอยามะออกไปจากรถเรียบร้อย ก็ถึงเวลาของผมสักที
ปัง!
เสียงปืนยังคงดังขึ้นเป็นระยะๆ แต่เพราะกระจกรถเป็นกระจกกันกระสุนอย่างดี บวกกับมีตัวเซนเซอร์ที่ถูกปรับแต่งขึ้นมาเป็นพิเศษ มันจะทำงานเมื่อผมกดปุ่มที่อยู่บนพวงมาลัยรถเท่านั้น
หลักการทำงานของตัวเซนเซอร์พิเศษตัวนี้ก็คือส่งสัญญาณฉุกเฉินและแจ้งพิกัดของตัวรถกลับไปที่แบล็กทาวน์ รวมไปถึงการตรวจจับความเร็วของรถคันที่ขับพุ่งตรงมาทางรถคันนี้ด้วยความเร็วที่มากกว่าเก้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงในขณะที่รถของผมความเร็วคงที่หรือว่าจอดนิ่งอยู่อย่างตอนนี้ เพราะนั่นเท่ากับว่ามันตั้งใจจะชน วินาทีนี้สิ่งที่ผมกำลังรออยู่ก็คือเสียงสัญญาณนั่นเท่านั้น
ปัง!
ที่สุดแล้วก็มีกระสุนหนึ่งนัดยิงเข้าที่ล้อรถของผมทางด้านหลัง
“ไอ้พวกโง่” ผมสบถอย่างนึกรำคาญใจ ถ้าคนอย่างผมคิดจะหนีจะจอดรถรอพวกมันอยู่ตรงนี้ทำไมแต่แรก
ปัง!
ตื๊ดๆๆๆ
แล้วเสียงที่ผมรอคอยก็ดังขึ้น
ฟุ่บ!
ผมตัดสินใจเปิดประตูรถออกพร้อมกับก้าวเท้าลงมายืนอยู่ด้านข้างตัวรถ ยกปืนที่ถือเตรียมเอาไว้ในมือตั้งแต่แรกขึ้นมาแล้วเล็งไปที่รถคันนั้นอย่างไม่ลังเล
หน้าที่ของบอดี้การ์ดอย่างผม ก็คือการพุ่งชนกับอันตรายทั้งหมดก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวเจ้านายอย่างคุณโอยามะ
ตึก!
ตึก!!
ตึก!!!
ทุกก้าวที่ผมเดินตรงไปข้างหน้าคือ การประเมินระยะห่างระหว่างตัวผมกับรถคันนั้นที่กำลังพุ่งเข้ามาเพื่อคำนวณวิถีกระสุน ซึ่งเมื่อผมมั่นใจแล้วว่าจะไม่เสียกระสุนฟรีๆ ผมถึงได้ตัดสินใจยิง
ปัง!
ปัง!!
ปัง!!!
ปัง!!!!
สี่นัดที่ยิงออกไปมันจะต้องไม่พลาดเลยสักนัด ไม่อย่างนั้นผมคงเป็นได้แค่บอดี้การ์ดปลายแถว
เอี๊ยดดด~~~
ในที่สุดรถของพวกมันก็เสียศูนย์จากการถูกผมยิงเข้าที่ล้อด้านหน้าทั้งสองล้อ ล้อละสองนัด
ตู้มมม~~~
คนขับรถไม่สามารถบังคับพวงมาลัยต่อไปได้ สังเกตได้จากการที่ตัวรถส่ายไปส่ายมาก่อนจะพุ่งชนเข้ากับท้ายรถของผม ซึ่งก็โดนแค่เฉียดๆ น่ะ เพราะแรงกระแทกมีไม่มากพอจะทำให้ด้านหน้าของรถที่สะบัดออกมาถึงตัวผมที่ยืนห่างออกมาจากตัวรถแค่ไม่ถึงสิบก้าวด้วยซ้ำ
ทันทีที่รถคันนั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ ผมก็เดินตรงเข้าไปกระชากประตูฝั่งคนขับออก ปลายกระบอกปืนยังคงชี้ตรงไปด้านหน้าและพร้อมยิงเสมอ
ปัง!
แต่เสียงปืนที่เพิ่งจะดังขึ้น มันไม่ได้ดังมาจากปืนในมือของผม
ตุ้บ!
และเมื่อผมกระชากประตูรถคันนั้นให้เปิดออก ร่างของคนขับก็ร่วงลงมาแทบเท้าของผมในทันที ซึ่งเมื่อผมกวาดสายตามองเข้าไปด้านในรถจนทั่วก็ไม่พบว่ามีคนอื่นนั่งมาด้วย สำหรับผมมันไม่ใช่สัญญาณที่ดีสักเท่าไหร่
ผมลากร่างไร้วิญญาณของคนขับรถคันนั้นออกมา ที่ตักของมันมีปืนที่มันเพิ่งจะใช้ฆ่าตัวตายตกอยู่ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคนคนนี้เตรียมตัวที่จะตายมาตั้งแต่ต้น
เอี๊ยดดด~
เสียงรถยนต์สามสี่คันที่ขับเข้ามาติดๆ จอดล้อมผมเอาไว้ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นคนของแบล็กสกอร์เปี้ยน กำลังเสริมที่ผมเป็นคนเรียกไปเมื่อครู่
“ปลอดภัยนะครับคุณคิราวะ”
“ค้นตัวมันให้ทั่ว แล้วรีบรายงานฉันว่ามันเป็นพวกไหนกันแน่!” ผมสั่งด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเดินกลับมาที่รถของพวกมันแล้วพยายามค้นหาเบาะแสที่อาจสาวไปถึงตัวการใหญ่ แต่กลับไม่พบอะไรเลยสักอย่างนอกจากเอกสารว่ารถคันนี้เป็นรถที่ถูกเช่ามา!
“คุณคิราวะครับ”
เสียงเรียกจากโตกิสึทำให้ผมต้องละสายตาจากเอกสารตรงหน้าแล้วเดินย้อนกลับไปหาเขาที่กำลังค้นตัวไอ้สารเลวที่นอนหมดลมหายใจอยู่ที่พื้น
“นี่ครับ” โตกิสึชี้ไปที่ไหล่ด้านซ้ายของไอ้หมอนั่น ที่มีข้อความสั้นๆ ลักษณะเหมือนนำตราประทับมาประทับเอาไว้
**な (ชูจิสึ)
“จงรักภักดีงั้นเหรอ” ผมอ่านแล้วนึกสงสัย
“ชัดเจนแล้วครับว่าเป็นคนของกลุ่มเสือขาวแน่ๆ เพราะอีกสองคนที่อยู่ในรถอีกคันก็มีตราประทับแบบเดียวกัน และที่สำคัญก็คือพวกมันชิงปิดปากตัวเองตายกันหมด” โตกิสึยืนยันข้อมูล ซึ่งมันจริงที่ตราประทับนี้เป็นสัญลักษณ์ของพรรคเสือขาวที่ใครๆ ต่างก็รู้ แต่ผมกลับคิดว่ามันดูออกง่ายเกินไป
“โตกิสึ นายไปส่งฉันที่แบล็กทาวน์ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือให้ช่วยกันเก็บหลักฐานให้หมดทุกชิ้น อย่าเพิ่งให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปก่อนที่ฉันจะสั่ง รวมถึงปิดปากตำรวจและนักข่าวให้ดีด้วย”
“ครับ”
ทุกคนรับคำสั่งจากผมอย่างขันแข็ง ก่อนที่ผมจะเดินนำโตกิสึมาที่รถ ซึ่งเขาก็รีบเดินตามมาเปิดประตูรถให้ผมตามหน้าที่
Rrrr~
“ครับคุณโอยามะ” ผมรีบกดรับสายทันทีที่เห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าจากคุณโอยามะที่ตอนนี้น่าจะกำลังเดินทางตรงไปที่แบล็กทาวน์แล้วเหมือนกัน
[อีกสิบนาทีเจอกัน ฉันมีงานด่วนให้นายทำ]
“ครับคุณโอยามะ”