มะนาว…
เช้าวันต่อมา…
ฉันตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืดต่างจากทุกวันที่มักจะตื่นสาย ใช่ว่าเพราะแม่ไม่อยู่เลยตื่นเช้ามาหาอะไรกิน แต่เพราะฉันจะหลบไปอยู่ที่อื่นสักพัก ฉันรู้สึกว่าเพทายมีบางอย่างที่ไม่น่าไว้ใจ เขาเข้าออกบ้านฉันได้สบายราวกับเป็นบ้านตัวเองทั้งที่ไม่มีกุญแจ และคล้ายกับว่าเขารู้ความเคลื่อนไหวหลายอย่างของฉัน
“ฉันจะไม่ยอมนายอีกแล้ว เป็นเพื่อนพี่วายุแล้วยังไงล่ะ ฉันเชื่อว่ายัยมัดหมี่ต้องเข้าข้างฉันมากกว่าเพื่อนผัวตัวเองแน่ถ้าฉันบอกว่านายบังคับฉันให้ทำอะไรแบบนั้น!” ฉันพูดกับตัวเองขณะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า “รู้งี้ตามแม่ไปดูงานที่ต่างประเทศซะก็ดี อย่างน้อยก็ได้อยู่ที่นั่นเป็นเดือนเลย” ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เมื่ออยู่ ๆ ใบหน้าของคนเซ็กส์จัดก็ลอยเข้ามาในหัว ภาพจังหวะเร่าร้อนเมื่อคืนและคืนก่อน ๆ ยังติดตาฉันจนยากจะลืมเลือน
ติ้ง!
ทว่าเสียงแอปพลิเคชั่นไลน์ที่ดังขึ้นก็ทำให้ฉันต้องชะงักมือที่กำลังพับผ้าลงกระเป๋าก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาดู
“หือ? ทำไมถึงไม่มีข้อมูลของคนที่ส่งมา?” คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเป็นปมเมื่อเสียงแอปพลิเคชั่นไลน์ที่ดังขึ้นนั้นมีข้อความของใครบางคนปรากฏบนหน้าจอมือถือ ฉันพยายามกดกลับไปเพื่อเปิดดูข้อมูลของคนที่ส่งเข้ามาแต่กลับกดอะไรไม่ได้ หน้าจอมือถือยังคงค้างอยู่ที่หน้าเปิดอ่านข้อความ
? : จะไปไหน
หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบเมื่อข้อความที่ส่งเข้ามานั้นคล้ายกับว่ากำลังมีใครบางคนจับตามองฉันอยู่
? : เก็บของเธอเข้าที่เดิมซะ อย่าคิดหนีไปไหนไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน
“…” ฉันกวาดตามองไปรอบห้องเมื่ออ่านข้อความล่าสุด อยู่ ๆ ใบหน้าของเพทายก็ลอยเข้ามาในหัว ข้อความที่ถูกบุคคลปริศนาส่งเข้ามามันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าคนคนนั้นคือเพทาย
? : ฉันเตือนด้วยความหวังดี อย่าคิดหนีไปไหน
ฉันมองข้อความที่ถูกส่งเข้ามาอีกครั้งก่อนจะตั้งสติแล้วกดส่งข้อความตอบกลับไปทั้งที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายนั้นสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
มะนาว : เพทายเหรอ
? : เก็บของของเธอเข้าที่ซะ ฉันจะเตือนเธอเป็นครั้งสุดท้าย
มะนาว : เพทายใช่ไหม
? : แล้วคิดว่าใครล่ะ
เป็นอีกครั้งที่หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบทันทีที่ปลายสายตอบกลับมา ฉันเก็บโทรศัพท์มือถือลงที่เดิมด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องอีกครั้ง ถึงในใจจะหวาดกลัวมากแค่ไหนแต่ก็ไม่อยากแสดงอาการไปมากกว่านี้
ใช้เวลาไม่นานนักในการเก็บทุกอย่างเข้าที่เดิมก่อนจะพยามยามทำตัวให้เป็นปกติ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงวันจึงแสร้งทำทีออกไปหาอะไรกินข้างนอก ฉันไม่รู้หรอกว่าเพทายติดกล้องหรืออะไรไว้ในบ้านฉันหรือเปล่าเขาถึงรู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่างของฉัน แต่การไม่แสดงออกว่ากำลังหนีเขาอาจเป็นอะไรที่ดีที่สุดในตอนนี้
“เอาผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวหนึ่งกล่องค่ะป้า” ฉันพูดกับป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่งเมื่อเดินมาถึงร้านอาหารหน้าหมู่บ้าน “นี่เงินค่ะ เดี๋ยวหนูกลับมาเอานะคะ จะไปร้านสะดวกซื้อก่อน” ฉันพูดต่อก่อนจะวางค่าอาหารให้ป้าแล้วเดินตรงไปยังร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามหมู่บ้าน
“เอาล่ะ ก่อนอื่นต้องไปในที่ที่มีคนเยอะ ๆ ก่อน” ฉันสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ เมื่อออกมาจากบ้านได้สำเร็จก่อนจะมองหารถแท็กซี่เพื่อไปจากที่นี่
ไม่นานนักแท็กซี่คันนึงก็เข้ามาจอดตรงหน้าฉัน ทว่าพอขึ้นไปนั่งบรรยากาศกลับดูน่าขนลุกแปลก ๆ “ไปห้าง XXX ค่ะ” ฉันบอกคนขับที่นั่งอยู่เบาะหน้าก่อนจะพยายามต่อสายหาเพื่อนรักที่ติดต่อยังไงก็ไม่ได้สักที
[หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…] นับเป็นครั้งที่สิบได้มั้งที่ฉันโทรหายัยมัดหมี่ไม่ติด ส่งข้อความไปก็ไม่อ่านไม่ตอบจนฉันอดแปลกใจไม่ได้ ปกติมัดหมี่นางจะพกโทรศัพท์มือถือติดตัวไว้ตลอดเวลา พอเป็นแบบนี้ฉันก็ไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใครดี
“เอ่อ… พี่คะทางนี้ไปห้าง XXX ได้ด้วยเหรอคะ?” พอละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็พบว่าหนทางที่คนขับแท็กซี่พาฉันไปนั้นมันไม่ใช่ทางไปห้าง XXX “พี่คะ หนูไปห้าง XXX นะ พี่ฟังไม่ผิดใช่ไหม” ฉันย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนข้างหน้าเงียบไป
“พะพี่คะ! ทางนี้มัน…” ฉันร้องด้วยความตกใจเมื่อรถที่นั่งอยู่กำลังยูเทิร์นกลับไปยังทางเข้าหมู่บ้านของฉัน “พี่คะ!”
“บอกว่าอย่าหนีไปไหนมันเข้าใจยากนักหรือไง”
“…” ทว่าเสียงทุ้มคุ้นหูที่ดังขึ้นก็ทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าคมคายของคนขับเงยขึ้นมาสบตากับฉันผ่านกระจก “พะเพทาย…”
วูบ〜
“กรี๊ดด!” และฉันก็ต้องกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่ออยู่ ๆ ร่างใหญ่ของคนที่ขับรถตรงหน้าก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ ฉัน ครู่หนึ่งฉันมองกลับไปยังที่นั่งคนขับก็พบว่าคนขับยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หากแต่ใบหน้าคมคายของคนขับที่หันมามองและส่งยิ้มให้ฉันกลับเป็นเพทายทั้งที่ตอนนี้เพทายอีกคนกำลังนั่งอยู่ข้างฉัน “กรี๊ดด!”
“ฉันเตือนเธอแล้วว่าอย่าให้ฉันหมดความอดทน!” เสียงของคนข้างฉันตวาดลั่นรถขณะที่มือใหญ่สองข้างเขย่าตัวฉันไปด้วย “เธอทำให้ฉันต้องใช้ชีวิตลำบากแล้วยังจะหนีฉันไปอีกเหรอ!”
“กรี๊ดด! ช่วยด้วยย!”
“คิดว่าฉันพิศวาสเธอมากนักหรือไง! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเข้าหาฉันคืนนั้นฉันก็คงไม่ต้องตามติดเธอเหมือนทุกวันนี้หรอก!” น้ำเสียงโกรธจัดราวกับว่าฉันทำความผิดนักหนาดังก้องภายในรถ ฉันได้แต่กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวเพราะทำอะไรไม่ถูก ทั้งสับสนที่ตอนนี้มีเพทายอีกคนปรากฏกายอยู่บนรถทั้งที่ก่อนหน้านี้มีแค่ฉันกับคนข้างหน้า
“กลับไปรับผิดชอบในสิ่งที่เธอทำไว้กับฉันซะแล้วฉันจะปล่อยเธอไป เพราะถ้าไม่…นี่จะเป็นคำเตือนสุดท้ายที่ฉันเตือนเธอ”
วูบ〜
ฉันทีที่เสียงทุ้มเอ่ยจบร่างกำยำที่นั่งอยู่ข้างฉันก็หายวับไป รวมทั้งคนขับแท็กซี่ตรงหน้าก็หายไปด้วย ฉันกอดตัวเองไว้แน่นก่อนจะค่อย ๆ ก้าวลงจากรถเมื่อมองออกไปด้านนอกแล้วพบว่ารถมาจอดอยู่หน้าบ้านตัวเอง ทว่ายังไม่ทันที่ฉันจะได้ก้าวขาเข้าไปในบ้าน รถแท็กซี่โดยสารที่ฉันนั่งมาก็หายวับไปทันทีที่ฉันลงจากรถ
ตุบ!
ของหนักบางอย่างกระทบพื้นจนเกิดเสียงพร้อมกับสติของฉันที่ค่อย ๆ เลือนหายไป ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังเจออะไรอยู่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องน่าขนลุกและน่ากลัวสำหรับฉัน
‘ให้ตายเถอะ! นายทำผู้อาศัยบ้านฉันเป็นลมแล้วนะ!’ เสียงแว่วของใครบางคนที่ฟังออกว่าเป็นเสียงผู้หญิงดังขึ้น
‘ก็ใครใช้ให้ผู้อาศัยบ้านเธอหนีฉันไปล่ะ อุตส่าห์จะไม่แสดงตัวว่าเป็นใครอยู่แล้วเชียว’ เสียงทุ้มของใครบางคนแว่วเข้ามาในหูพร้อมกับความรู้สึกคล้ายกับร่างของฉันกำลังลอยขึ้นกลางอากาศ
‘ถ้าผู้อาศัยบ้านฉันเป็นอะไรไปนายต้องรับผิดชอบ’
‘เธอก็เฝ้าไว้ให้ดีสิ ไม่ใช่เพราะเธอหรือไงที่เฝ้าไม่ดีจนยัยนี่หนีฉันไปเลยทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้น่ะ’
‘แล้วทีนี้จะเอายังไง’
‘เดี๋ยวท่านปู่กับท่านย่าก็กลับมาแล้ว อีกหน่อยยัยนี่คงรู้ว่าฉันเป็นผี’