4

2686 Words
                “เมื่อตอนเช้ามึงกินยาไปแล้วใช่ไหม?”                 “อืม กินไปแล้ว”                 “เหรอ แต่ทำไมตอนนี้สีหน้าของมึงถึงดูไม่ค่อยดีจังวะ งั้นกูว่ามึงลองไปโรงพยาบาลดีไหม? หรือไม่ก็ไปคลินิกพิเศษก็ได้ไปให้คุณหมอเช็กร่างกายสักหน่อยน่าจะดี แล้วถ้ามึงไม่อยากไปคนเดียวเดี๋ยวกูพาไปก็ได้นะ” แพรเสนอให้ หลังในช่วงเย็นของวันเมื่อเธอเรียนเสร็จแล้ว เธอก็ได้แวะเข้ามาดูอาการของปิซาที่หอพัก พร้อมกับซื้อก๋วยจั๊บญวนที่ปิซาอยากกินเข้ามาให้ด้วย                 “กูไม่ได้หน้าซีดเพราะว่าไม่สบาย แต่มันเป็นเพราะเรื่องอื่นต่างหาก” ปิซาเอ่ยเสียงแผ่วพลางจ้องหน้าแพรนิ่ง ซึ่งทันทีที่เขาได้มองเห็นใบหน้าของเพื่อนในระยะใกล้ ขอบตาของปิซาก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาทันควัน                 “แพร มึงว่ากูจะตายไหม?” ปิซาเอ่ยถามเพื่อนเสียงแผ่ว                 “แล้วตายเพราะอะไรล่ะ? เพราะมึงไม่สบายนี่น่ะเหรอ โธ่…ปิซามึงกำลังคิดอะไรของมึงเนี่ย ถ้ามึงไม่สบายก็ไปหาหมอไง มันไม่เป็นอะไรมากหรอกน่าก็อาจเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาแหละ”                 “กูก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเองจะตาย เพราะไม่สบายสักหน่อย”                 “งั้นมึงคิดว่าตัวเองจะตายเพราะอะไรล่ะ?” แพรถามต่อซึ่งนั่นก็ทำให้ปิซานิ่งไปเล็กน้อย เนื่องจากเขากำลังลังเลว่าควรจะพูดเรื่องนั้นออกไปดีไหม                 “ว่ายังไงล่ะ มึงคิดว่าตัวเองจะตายเพราะอะไรเหรอ”                 “ก็ตายเพราะพิธีกรรมเรียกเทรย์เวอร์กับอีคอนมารับใช้ยังไงล่ะ มึงเป็นคนทำพิธีกรรมพวกนั้นก็จริงแล้วมึงก็ทำสำเร็จด้วย แต่ว่าพวกเขาไม่ได้ไปตามมึงไงเพราะมาตามกูแทนต่างหาก ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่กล่องดวงใจอะไรนั่น…จะเป็นกู” เมื่อพูดจบปิซาก็ถึงกับน้ำตาร่วงทันที หลังความกลัวได้เข้าเล่นงานเขาอีกครั้ง                 “แล้วเทรย์เวอร์กับอีคอนคืออะไรวะ? แล้วกูไปทำพิธีกรรมอะไรตอนไหน?” แพรถามต่อทั้งหน้างง ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิซาถึงกับนิ่งไปเช่นกัน เพราะในเวลานี้ดูเหมือนว่าแพรจะไม่รู้จักเทรย์เวอร์กับอีคอนเลยด้วยซ้ำ                 “ก็เทรย์เวอร์กับอีคอนไง” เขาพูดย้ำ                 “กูไม่รู้จัก” แพรตอบกลับมาทันที                 “มึงบ้าไปแล้ว มึงจะไม่รู้จักได้ยังไง ในเมื่อมึงเป็นคนแนะนำสองคนนี้ให้กูรู้จักเอง แถมมึงก็ยังอยู่ในกลุ่มตำนานอะไรพวกนั้นอีก” คราวนี้ปิซาไม่พูดเปล่า แต่เขายังหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา เพื่อกดค้นหาตำนานและความเชื่อของเทรย์เวอร์กับอีคอนให้แพรดูด้วย                 แต่ทว่าเมื่อปิซากดค้นหาคำเหล่านั้นลงในอินเทอร์เน็ต มันกลับไม่มีประวัติหรือบทความอะไรที่กล่าวถึงเทรย์เวอร์กับอีคอนเลยสักเว็บ แต่นั่นก็ใช่ว่าจะทำให้ปิซารีบยอมแพ้แต่อย่างใด เพราะหลังจากที่เขาไม่เห็นข้อมูลเหล่านั้น ปิซาก็รีบกดเข้าไปดูประวัติการเข้าเว็บที่เพิ่งดูไปเมื่อช่วงเช้าทันที แต่ทว่าหลังจากที่เขากดเข้าไปดูแล้วปิซาก็ไม่พบเว็บไซต์ที่ว่านั้นเช่นกัน             ราวกับตำนานพวกนี้มันไม่เคยมีอยู่ในโลกใบนี้และก็มีเพียงแค่ปิซาเท่านั้นที่รับรู้มัน                 “เป็นไปไม่ได้…” หลังจากที่เห็นเช่นนั้นและไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ปิซาก็ได้แต่พึมพำออกมาอย่างอึ้ง ๆ                 “ไหน มึงจะให้กูดูอะไรล่ะก็รีบเปิดมันสักทีสิ”                 “กูลองค้นให้แล้ว แต่ว่ามันไม่มี”                 “ก็ใช่ไง เพราะกูก็เพิ่งรู้จักสองชื่อนี้จากปากของมึงเมื่อกี้นี่แหละ” แพรเอ่ยแล้วพูดต่อ “กูว่าตอนนี้มึงน่าจะไม่สบายหนักมากเลยนะปิซา มันอาจจะไม่ค่อยแสดงอาการเท่าไรนัก แต่ว่าตอนนี้มึงเริ่มเพี้ยนไปแล้วอะ เพราะงั้นเราไปโรงพยาบาลกันเถอะ เพราะมึงไม่เคยไม่สบายหนักจนถึงขั้นเพี้ยนแบบนี้” แพรไม่พูดเปล่า แต่เธอยังลุกขึ้นพร้อมพยายามจะพาปิซาออกจากห้องพัก เพื่อไปโรงพยาบาลด้วยกันอีกด้วย ซึ่งปิซาก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะบอกเธอว่าเขาไม่ต้องการไปโรงพยาบาล               ยิ่งนานวันเข้า ปิซาก็ยิ่งเหมือนคนไม่ปกติเข้าไปทุกที                 ในช่วงเวลาห้าทุ่มกว่า หลังจากที่ปิซาอยู่ในชุดพนักงานของร้านกาแฟเตรียมจะออกไปทำงานในรอบกะดึกเหมือนอย่างทุกสัปดาห์แล้ว เขาก็ได้ยืนมองตัวเองที่หน้ากระจกอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อทบทวนเรื่องราวแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวของเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้                 ซึ่งมันก็ได้เกิดขึ้น หลังจากที่แพรทำพิธีกรรมเหล่านั้น                 “ไม่…เราไม่ได้บ้า”                 “หรือว่าเราบ้าวะ?”                 “ไม่ดิ เรายังปกติดี…ทุกอย่างยังเป็นปกติอยู่” ปิซาเอ่ยเบา ๆ เพื่อเตือนกับตัวเองว่าเขาไม่ได้เสียสติเหมือนอย่างที่แพรกล่าวหากันเมื่อตอนช่วงเย็น แล้วในเวลานี้ปิซาก็ควรจะมีสติกับตัวเองให้มาก ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกหรือบอกกล่าวอะไรกับเพื่อน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้ถูกแพรลากไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจร่างกายเป็นแน่                 “พอ ๆ เลิกคิดเรื่องนี้ดีกว่า” ปิซาว่าแล้วหันไปคว้ากระเป๋าใบเล็กของตัวเองเตรียมจะไปทำงานทันที โดยงานพาร์ตไทม์ที่ปิซากำลังทำอยู่ ณ ร้านกาแฟนั้น ก็แทบจะเป็นรายได้หลักของเขาที่จะเอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วยซ้ำ เนื่องจากปิซาไม่มีครอบครัวที่จะมาคอยส่งค่าใช้จ่ายรายเดือนให้                 ซึ่งการทำงานของปิซานั้น เขาก็จะต้องทำงานวันละสี่ถึงหกชั่วโมงแล้วก็ต้องทำงานเป็นเวลาสามถึงสี่วันต่อสัปดาห์ด้วย โดยเงินที่ปิซาจะได้รับในแต่ละเดือนก็จะได้ไม่เท่ากัน จะได้มากได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมานั้นเขาทำงานไปเป็นเวลากี่ชั่วโมง                 “วันนี้ร้านปิดเหรอ แต่ทำไมพี่จันทร์ถึงไม่แจ้งล่ะ?” หลังเดินมาถึงหน้าร้านกาแฟแล้วปิซาก็ได้เอ่ยขึ้นอย่างงุนงง เมื่อเขาเพิ่งจะเห็นว่าร้านกาแฟกำลังปิดอยู่และภายในร้านก็ไม่มีลูกค้าหรือใครอยู่ด้านในเลย                 “อ้าว ประตูก็ไม่ได้ล็อกนี่ ไฟก็ยังเปิดอยู่ด้วย…หรือว่าพวกเขากำลังประชุมกันอยู่หลังร้านวะ” ปิซาพึมพำต่ออย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ก่อนที่เขาจะตัดสินใจผลักประตูเข้าไปในร้านและเดินตรงไปยังหลังร้านทันที เผื่อว่าเขาจะได้เจอใครสักคนที่เข้างานในกะเดียวกันบ้าง                 ซึ่งในระหว่างทางที่ปิซากำลังเดินไปนั้น เขาก็รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกับว่าในเวลานี้…ภายในร้านมันไม่มีใครเลยนอกจากตัวของเขาเอง แต่ทว่าในขณะเดียวกันนั้นปิซาก็ได้โต้แย้งความรู้สึกนั้นในใจ เพราะถ้าไม่มีใครอยู่ภายในร้านจริง ๆ ประตูร้านก็ต้องถูกล็อกจากด้านนอกแล้วและไฟภายในร้านก็ต้องถูกปิดด้วย             “ท—ทำไมพวกคุณมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะครับ” เมื่อปิซาเดินไปถึงด้านหลังร้านแล้ว เขาก็ต้องพูดเสียงสั่นและจ้องผู้ชายสองคนตรงหน้าด้วยความตกใจ หลังในเวลานี้คนนอกอย่างคุณเทรย์เวอร์และคุณอีคอนกำลังยืนอยู่ด้านหลังร้าน คล้ายกับทั้งคู่กำลังเริ่มสำรวจอะไรบางอย่างอยู่                 “ก็เราทำการซื้อกิจการนี้ไปแล้ว” คุณอีคอนหันมาตอบปิซาเสียงนิ่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้จ้องหน้าปิซาเอาไว้อย่างนั้น ทำเอาคนที่ถูกจ้องมองกลายเป็นฝ่ายทำตัวไม่ถูกเสียเอง                 “ตลกใหญ่แล้ว” ปิซาเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แต่ก็ไม่มีใครคิดจะหัวเราะกับเขาด้วยสักคน                 “เราดูเป็นคนตลกงั้นเหรอ?” คราวนี้คุณเทรย์เวอร์เป็นฝ่ายถามบ้าง พร้อมกับยื่นเอกสารอะไรบางอย่างมาให้ปิซาดู เพื่อบอกว่าในตอนนี้เจ้าของกิจการร้านกาแฟแห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนมือไปแล้วจริง ๆ                 เพราะมันกลายเป็นของคุณเทรย์เวอร์และคุณอีคอนโดยชอบธรรมไปแล้ว                 “งั้น…แสดงว่าผมตกงานแล้วเหรอครับ” ปิซาเอ่ยถามเสียงแผ่ว เพราะถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เขาก็ต้องรีบไปหางานพาร์ตไทม์ที่ใหม่ให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นปิซาคงได้เกิดสถานการณ์เงินขาดมือแน่                 “ตอนนี้ยังไม่ใช่หรอก ก็แค่เปลี่ยนเจ้านายคนใหม่ก็เท่านั้น” คุณอีคอนตอบกลับมา เพื่อบอกกับเขาว่าในเวลานี้เขายังไม่ใช่คนตกงาน ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิซารู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย                 “แล้วพี่ ๆ คนอื่นล่ะครับ? คนที่ต้องเข้างานในเวลานี้เหมือนกันน่ะ”                 “เราบอกให้เขากลับบ้านไปแล้ว ความจริง…พวกเขาก็ตั้งใจจะรอเพื่อบอกเรื่องนี้กับนายนั่นแหละ แต่ว่าเราเป็นคนอยากบอกเองแล้วนายก็เป็นคนมาถึงที่ทำงานคนสุดท้ายพอดี” คุณเทรย์เวอร์เอ่ย พลางเดินสำรวจอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ด้านหลังร้านต่อ                 “ถ้าอย่างนั้น…ผมเองก็ต้องกลับเหมือนกันใช่ไหมครับ?” เพราะรู้สึกแปลก ๆ กับผู้ชายสองคนนี้ ปิซาจึงรีบพูดขึ้นแล้วเตรียมจะเดินออกจากร้านไป เพื่อกลับไปตั้งหลักที่หอพักของตัวเองทันที หลังเขาไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าการมาทำงานในวันนี้ปิซาจะต้องมาเจอกับทั้งคู่                 “จะรีบไปไหน กลัวกันหรือไง?” คุณอีคอนที่ยืนอยู่ใกล้ปิซามากที่สุดรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้โดยพลัน เพื่อไม่ให้ปิซาได้เดินหนีไปไหน โดยนั่นก็ทำให้ปิซาถึงกับหันมองผู้ชายผมสีดำเข้มด้วยความตกใจทันที                 ซึ่งนั่นมันก็ไม่ได้เป็นเพราะปิซาตกใจยามที่เขาถูกสัมผัสเนื้อต้องตัว แต่เป็นเพราะว่าร่างกายของคุณอีคอนยามที่สัมผัสโดนกับเขามันเย็นเฉียบมาก…ราวกับอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ต่างหาก นั่นจึงทำให้ปิซาต้องรีบสะบัดข้อมือออกโดยพลันแล้วจ้องหน้าทั้งคู่สลับกันไปมาอย่างสับสน                 เพราะบางทีพวกเขาก็ดูเหมือนเป็นคนธรรมดาทั่วไปเ แต่ทว่าในบางครั้งก็ดูเหมือนจะไม่ใช่คนเอาเสียเลย                 “นายเองก็มีความรู้เรื่องเครื่องดื่มในร้านใช่ไหม?” คุณเทรย์เวอร์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ พร้อมเดินตรงปรี่เข้ามาหาปิซา จนทำให้ในเวลานี้ปิซากำลังถูกชายแปลกหน้าทั้งสองคนยืนประกบเขาเอาไว้อยู่                 “ใช่ครับ ผมเคยเป็นพนักงานทำเครื่องดื่มมาก่อน แล้วก็ค่อยเปลี่ยนตำแหน่งไปทำหน้าที่แคชเชียร์แทน” ปิซาตอบคุณเทรย์เวอร์พลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อสบตากับชายผมสีน้ำตาลอ่อน เพราะอีกฝ่ายดูใจดีและเป็นมิตรกว่าคุณอีคอน                 โดยนี่ปิซาก็คิดไปเองทั้งนั้น                 “ก็ดี งั้นนายก็มาช่วยพวกเราหน่อยสิ เพราะเราอยากลองเล่นพวกวัตถุดิบที่ยังเหลืออยู่ในร้านนี้ดู” คุณเทรย์เวอร์พูดต่อ ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิซาถึงกับขมวดคิ้วทันที             เหมือนเด็ก…นั่นคือสิ่งที่ปิซากำลังคิด                 “แต่ว่าผมไม่อยากทำ” ปิซาปฏิเสธ                 “งั้นเราก็จะให้นายตกงานเลยก็แล้วกัน เพราะตอนนี้มันเป็นเวลาทำงานของนายไม่ใช่เหรอ?” คุณเทรย์เวอร์สวนกลับมาทันควัน                 “ก็ได้ครับ ถ้าคุณต้องการอย่างนั้นผมจะช่วยคุณก็ได้” เพราะถูกยกเรื่องงานขึ้นมาข่มขู่ นั่นจึงทำให้ปิซาต้องรับปากคุณเทรย์เวอร์ด้วยน้ำเสียงประชดประชันทันที แม้ว่าในความจริงแล้วเขาอยากจะเถียงกับอีกฝ่ายเหลือเกินว่าคนอื่น ๆ ที่ทำงานในกะนี้ก็ไม่ได้ทำงานเช่นกัน             “งั้นมึงก็เล่นไปคนเดียวเลยนะเทรย์ ส่วนกูขอนั่งดูเฉย ๆ ดีกว่า” คุณอีคอนที่ได้ยินเช่นนั้นรีบออกตัวทันที                 “เอางั้นเหรอ”                 “เออ เอางี้แหละ” ว่าจบ คุณอีคอนก็กระโดดขึ้นนั่งบนโต๊ะที่จะใช้วางเครื่องดื่มยามทำออเดอร์ให้กับลูกค้าทันที โดยอีกฝ่ายก็ได้หันหน้ามาทางปิซากับคุณเทรย์เวอร์ เพื่อจ้องมองการกระทำของพวกเขาตอนที่กำลังช่วยกันนำเอาวัตถุดิบที่ยังเหลืออยู่ภายในร้านมาผสมกัน เพื่อให้ได้เมนูใหม่อย่างที่คุณเทรย์เวอร์อยากจะต้องการ                 แล้วเพราะบรรยากาศภายในร้านมันค่อนข้างเงียบมาก ไม่มีบทสนทนาระหว่างพวกเขาเกิดขึ้นเลย นั่นจึงทำให้ปิซารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อยากจะวิ่งหนีออกจากร้านเสียด้วยซ้ำแต่ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็กลัวว่าตัวเองจะตกงานเช่นกัน นั่นจึงทำให้สุดท้ายเขาต้องยืนอยู่ข้าง ๆ คุณเทรย์เวอร์ เพื่อช่วยอีกฝ่ายทำเครื่องดื่มทั้งใบหน้าบึ้งตึง                 “อุ๊ย!” หลังความเงียบเข้าปกคลุมพวกเขาทั้งสามคนเกือบยี่สิบนาทีได้ ปิซาก็ต้องอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ คุณเทรย์เวอร์ก็ได้ทำไซรัปวานิลลาหยดใส่หลังมือของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ                 “ขอโทษ” อีกฝ่ายเอ่ยกลับมา พร้อมใช้นิ้วชี้ของตัวเองปาดไซรัปวานิลลาที่หยดโดนหลังมือของปิซาเข้าปากของตัวเองแล้วเลียมันเบา ๆ ซึ่งทุกการกระทำของคุณเทรย์เวอร์นั้นก็ได้อยู่ในสายตาของปิซาทั้งหมด             เพราะเขาได้จ้องภาพเหล่านั้นตาไม่กะพริบ แล้วก็ลอบกลืนน้ำลายของตัวเองในเวลาต่อมา                 “ม—ไม่เป็นไรครับ” ปิซาเอ่ยเสียงสั่นพร้อมรีบก้มหน้าลงโดยพลัน เมื่อภาพเหล่านั้นกำลังทำให้เขาคิดไปถึงเรื่องอื่น ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรเอาเสียเลย                 แล้วอย่างน้อยปิซาก็ไม่ควรคิดเรื่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย                 “หลังจากที่ใส่น้ำแข็งเสร็จแล้ว เครื่องดื่มของคุณก็เรียบร้อยแล้วนะครับ”                 “….”                 “ว—วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายและก็อยากจะกลับห้องแล้วด้วย เพราะงั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ขอโทษด้วยจริง ๆ!” เมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถอยู่ท่ามกลางผู้ชายสองคนนี้ได้นานกว่านี้จริง ๆ ปิซาจึงรีบพูดขึ้นอีกครั้งแล้วรีบหันกลับไปคว้ากระเป๋าใบเล็กของตัวเอง เตรียมจะเดินหนีออกจากร้านไปทันที โดยในคราวนี้ก็ไม่มีใครขัดขวางการออกจากร้านของเขาเลยสักคน แต่ทว่ายังไม่ทันที่ปิซาจะได้ผลักประตูออกไปด้วยซ้ำ จู่ ๆ ฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย             ราวกับมีคนจงใจให้ทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้น                 “ด้านนอกฝนกำลังตกหนัก เพราะงั้น…เราคงต้องอยู่ที่นี่ด้วยกันจนกว่าฝนจะหยุดแล้วล่ะ เพราะพวกฉันก็กลับบ้านไม่ได้เหมือนกัน” เป็นคุณอีคอนที่เดินมาตามปิซาที่หน้าร้าน โดยนั่นก็ทำให้ปิซาต้องหันกลับไปมองอีกฝ่ายทันที             ก่อนที่เขาจะต้องชะงักไปเล็กน้อย เมื่อสายตาของปิซาสังเกตเห็นว่าคุณอีคอนแอบกระตุกยิ้มมุมปากจาง ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD