เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องปกติ มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ปิซาจะไม่เก็บมันมาใส่ใจ
หลังสิ้นสุดเวลาทำงานในช่วงเที่ยงคืนกว่า ปิซาก็ได้เดินออกมาจากหลังร้านกาแฟด้วยความหวาดระแวง โดยในขณะที่เขากำลังเดินกลับหอพักของตัวเองไปนั้น มันก็มีอยู่หลายครั้งที่ปิซาต้องหันขวับกลับไปมองด้านหลังด้วยความกลัว เพราะเขาเกรงว่าจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญตามกลับมาด้วย
แม้ว่าในตอนนี้มันจะยังไม่มีอะไรยืนยันก็ตามว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นเรื่องจริง
“หลอนไปหมดแล้วเรา” เมื่อเดินทางมาได้พักใหญ่จนตอนนี้เขาก็ใกล้จะถึงหอพักของตัวเองเต็มทีแล้ว ปิซาก็ได้พึมพำเบา ๆ พร้อมแวะเข้าร้านสะดวกซื้อเสียก่อน เพื่อที่เขาจะได้ไปซื้อน้ำดื่มนำกลับไปแช่ในตู้เย็น โดยก่อนที่พนักงานในร้านจะคิดเงินให้เสร็จนั้น ปิซาก็ไม่ลืมที่จะหยิบเจลหล่อลื่นที่ถูกวางขายอยู่ตรงหน้าพนักงานไปให้เธอคิดเงินด้วย
เพราะขวดเก่าที่เขาเคยมี ในตอนนี้เขาได้ใช้งานมันจนหมดแล้ว
“อ๊ะ…อ้า”
“ฮือ…” ภายในห้องพักขนาดยี่สิบสี่ตารางเมตร เสียงครวญครางเพราะความเสียวกระสันก็ได้ดังขึ้นอยู่เป็นระยะ ๆ เมื่อมันเป็นอีกครั้งที่ปิซาได้นำของเล่นผู้ใหญ่ที่เป็นซิลิโคนรูปส่วนนั้นของผู้ชายตั้งไว้กับพื้นข้าง ๆ เตียง แล้วขึ้นขย่มมันอย่างชำนาญ
โดยนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ใช้อุปกรณ์ในการสร้างความสุขทางเพศให้กับตัวเอง
เพราะปิซาอยู่เพียงลำพังและไม่สะดวกที่จะคบหาใคร นั่นจึงทำให้เขาเลือกที่จะจัดการอารมณ์ความต้องการเพียงลำพังมาโดยตลอด นับตั้งแต่วันที่เขาได้ก้าวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ โดยในวันนี้มันก็เป็นเพียงแค่อีกวันที่ปิซาได้ช่วยตัวเองก่อนที่เขาจะไปอาบน้ำนอนก็เท่านั้น
มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากวันอื่น ๆ ที่ปิซาจะต้องจัดการความต้องการของตัวเองเลย
ซึ่งในระหว่างที่เขากำลังขึ้นขย่มแท่งซิลิโคนอย่างเป็นจังหวะอยู่นั้น เขาก็ได้นึกภาพลามกมากมายจากสื่อที่เขาเคยดูไปด้วย แต่ทว่า…วูบหนึ่งในความคิดใบหน้าของคุณเทรย์เวอร์และอีคอนที่เพิ่งจะได้เจอกันในช่วงค่ำของวันก็ได้ผุดขึ้นมาในความคิดเขาเสียอย่างนั้น มิหนำซ้ำภาพความฝันอันแสนลามกในคืนก่อนหน้านั้นก็ได้ตามหลอกหลอนปิซาด้วย
ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาถึงกับหยุดชะงักทุกอย่างลงโดยพลัน
“ห้ามคิด…ห้ามคิดเด็ดขาด” เมื่อตั้งสติได้ ปิซาก็รีบเอ่ยเตือนตัวเองด้วยความตกใจทันที
ใจจริง…ปิซาอยากจะหยุดยั้งกิจกรรมที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้ด้วยซ้ำ แต่เพราะความต้องการที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย นั่นจึงทำให้เขาต้องจัดการตัวเองให้เสร็จเสียก่อน
โดยในขณะที่เขากำลังขึ้นขย่มซิลิโคนและใช้มือรูดรั้งส่วนด้านหน้าของตัวเองอยู่นั้น ปิซาก็รู้สึกได้ว่าการช่วยตัวเองของเขาในครั้งนี้ มันช่างน่าอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
หลังเขากำลังรู้สึกได้ว่ามีสายตามากกว่าหนึ่งคู่คอยจ้องมองการกระทำของเขาอยู่ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยสุดเหมือนอย่างทุกครั้ง
แต่ถึงอย่างนั้นปิซาก็ช่วยตัวเองสำเร็จอยู่ดี
“อ๊า!!” เสียงครางกระเส่าดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการกระตุกตัวเล็กน้อย เมื่อในเวลาต่อมาปิซาได้ช่วยตัวเองสำเร็จแล้ว โดยในหลังจากนั้นปิซาก็ถึงกับทิ้งตัวลงพื้นอย่างหมดแรงทันที เพราะการช่วยตัวเองในแต่ละทีนั้น เขาต้องหมดพลังงานไปไม่ใช่น้อย ๆ เลย
ในเวลานี้เขาควรจะโทรหาแพรดีไหมนะ? เมื่อจัดการความต้องการของตัวเองเสร็จแล้วและสติก็ได้กลับคืนมาร้อยเปอร์เซ็นต์ ความคิดที่จะโทรหาเพื่อนสนิทของตัวเองก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวของปิซาทันที ก่อนที่เขาจะรีบลุกขึ้นไปใส่กางเกงบอลและหยิบโทรศัพท์ของตัวเอง เพื่อกดโทรหาเพื่อนสนิท
เนื่องจากปิซาอยากจะลองถามเรื่องเทรย์เวอร์และอีคอนจากอีกฝ่ายดู
“ฮัลโหล นี่มึงนอนยังอะ” หลังจากที่อีกฝ่ายกดรับสายแล้ว ปิซาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนทันที
[ตอนนี้กูกำลังจะเข้านอนแล้วจ้ะ ว่าแต่มึงมีอะไรเหรอ? แล้วนี่มึงเลิกงานแล้วหรือไง] แพรถามกลับมาบ้าง ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเธอกระโดดขึ้นเตียง
“อืม เลิกงานแล้ว…กูเพิ่งกลับมาถึงห้องได้ไม่นานนี่เอง”
[อ๋อ แล้วนี่มึงอยู่กับใครอะ?] ปลายสายถามต่อ
“ฮะ? ตลกแล้วแพร กูก็อยู่คนเดียวเหมือนอย่างทุกวันนั่นแหละ” ทันทีที่ถูกเพื่อนสนิทเอ่ยถามเช่นนั้น ปิซาก็รีบตอบกลับไปเสียงเข้ม โดยในเวลาเดียวกันนั้นขนอ่อนตามร่างกายของเขาก็ได้ลุกชันขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายทันที
[มึงนั่นแหละ ตลกแล้ว…เนี่ย กูยังได้ยินเสียงผู้ชายดังแทรกเข้ามาในสายอยู่เป็นระยะ ๆ อยู่เลยเนี่ย คือตอนนี้มึงกำลังจัดปาร์ตี้กับเพื่อนร่วมงานเหรอวะ? เพราะกูได้ยินเสียงผู้ชายมากกว่าหนึ่งคน]
“ไอ้แพร กูไม่เล่นนะ”
[แล้วกูเล่นอะไรอะ? เพราะกูก็พูดตามสิ่งที่ตัวเองได้ยิน]
“….”
[เนี่ย…ได้ยินอีกแล้ว] เพราะเพื่อนยังคงยืนกรานเสียงแข็งเช่นกันว่าอีกฝ่ายได้ยินเสียงผู้ชายจากฝั่งของปิซาจริง ๆ นั่นจึงทำให้เขาถึงกับหน้าถอดสียิ่งกว่าเดิม แต่ทว่ายังไม่ทันที่ปิซาจะได้ตอบกลับอะไรไป โทรศัพท์ของเขาก็ดับลงไปเสียดื้อ ๆ
“แล้วแบตมาหมดอะไรตอนนี้เนี่ย!” ปิซาพึมพำอย่างหัวเสีย ทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้กลัวอะไรทั้งนั้น แต่ทว่าในตอนนี้ลำคอของเขากลับแห้งผากไปเสียหมดและปิซาก็ไม่กล้าหันกลับไปมองด้านหลังของตัวเองด้วย หลังเขารู้สึกว่ากำลังมีคนนั่งชิดกับแผ่นหลังของเขาอยู่
ซึ่งปิซาก็นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นนานเกือบนาที ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะรวบรวมความกล้าของตัวเองแล้วพูดขึ้น…
“ถ้ามีจริงก็ออกมาสิ ก็ออกมาตอนนี้เลยสิ”
“ออกมาสิ ผมรู้นะว่าพวกคุณเองก็อยู่ในห้องนี้น่ะ” ปิซาพูด โดยในขณะเดียวกันนั้นขอบตาของเขาก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา หลังความกลัวกำลังเข้าครอบงำและเขาก็กำลังรู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียสติ
เพราะมีเพียงแค่ปิซาเท่านั้นที่กำลังนั่งพูดคนเดียวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้
หลังนั่งรอจนแล้วจนเล่าแต่ก็ยังไมเห็นวี่แววว่าจะมีใครปรากฏตัวออกมาให้เห็นเสียที นั่นจึงทำให้ในที่สุดปิซาก็ได้เลือกที่จะทำตามสัญชาตญาณของตัวเองต่อ นั่นก็คือการเอาบางสิ่งบางอย่างมาต่อรองด้วย โดยเขาเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าสิ่งที่เขาจะเอามาต่อรองนี้ มันจะใช่สิ่งที่พวกนั้นต้องการหรือเปล่า
แต่ถ้าให้เขาดูจากความฝันที่ปรากฏขึ้นแล้ว ไหนจะความรู้สึกที่เหมือนกำลังถูกปลดเปลื้องเสื้อผ้าผ่านทางสายตาตอนอยู่ในร้านกาแฟนั่นอีก ปิซาจึงคิดว่าเขาควรจะลองเสี่ยงดูสักตั้ง
เพราะมันคงไม่มีอะไรเสียหายไปมากกว่านี้แล้ว
“ถ—ถ้าเทรย์เวอร์กับอีคอนมีจริงเหมือนอย่างในตำนาน แล้วพวกคุณปรากฏตัวออกมาให้ผมเห็น ผมจะให้…” ยังไม่ทันที่ปิซาจะได้เอ่ยอะไรออกมาอย่างที่ใจนึก จู่ ๆ ร่างของเขาก็ถูกผลักลงเตียงอย่างแรงด้วยฝีมือของผู้ชายผมสีดำสนิทที่ชื่อว่าอีคอน โดยปิซาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายโผล่มาจากทางไหน
“ค—คุณโผล่มาจากไหน?” ปิซาเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“พันธะสัญญาสำเร็จแล้ว เพราะงั้นห้ามคืนคำ…มิเช่นนั้นคุณจะตาย” อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงนิ่ง แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบที่ปิซาอยากจะรู้ด้วยซ้ำ
“สัญญาอะไร? ผมยังไม่ได้พูดอะไรด้วยซ้ำ”
“คุณบอกว่าจะมอบความใคร่ให้กับเรา ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เราต้องการ”
“ผมยังไม่ได้พูด”
“แต่จิตใต้สำนึกของคุณ มันบอกเราแล้ว” อีกฝ่ายสวนกลับมาทันทีซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนก็ปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน
…พร้อมกับรอยยิ้มที่นึกสนุก
“มึง…วันนี้กูลานะ”
[หืม ทำไมล่ะ?]
“คือกูไม่สบายอะ แล้วตอนนี้กูก็รู้สึกปวดหัวมากเลย” ปิซาให้เหตุผลกับปลายสายทั้งเสียงแหบแห้ง หลังในช่วงเช้าของวันขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นเพื่อไปทำกิจวัตรของตัวเองก่อนที่จะไปเรียนนั้น อาการปวดหัวก็ได้เข้าเล่นงานเขาอย่างหนัก จนทำให้ในตอนนี้ปิซาต้องนอนซมอยู่บนเตียงทั้งอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะตัดสินใจโทรหาเพื่อนในเวลาต่อมา เมื่อปิซามั่นใจแล้วว่าในวันนี้เขาคงไม่สามารถลุกไปเรียนได้จริง ๆ
[เวรกรรม…งั้นเดี๋ยวกูจะบอกอาจารย์ให้ก็ได้นะ แต่ว่ายังไงมันก็ต้องมีใบรับรองแพทย์นะมึง] แพรตอบกลับมา
“ถ้าอาจารย์จะเอาใบรับรองแพทย์จริง ๆ งั้นก็ปล่อยให้อาจารย์เขาเช็กขาดไปเลยก็ได้ เพราะกูคิดว่าถ้าได้พักผ่อนสักวันมันก็น่าจะหายเองแล้ว เพราะมันไม่ได้เป็นหนักจนถึงขั้นต้องไปโรงพยาบาล”
[โอเค แล้วนี่…มึงหาข้าวหายากินเองได้หรือเปล่า? หรือจะให้กูแวะเข้าไปหา แต่ว่ากูเข้าไปหาได้ก็ตอนเที่ยงเลยนะ มึงรอกูได้ไหม?] แพรถามต่อ
“งั้นมึงก็ไม่ต้องเข้ามาก็ได้ เดี๋ยวกูจัดการตัวเองเองดีกว่า แต่ยังไงถ้ากูไม่ไหวเดี๋ยวกูจะโทรไปหามึงอีกทีก็แล้วกันนะ”
[ได้ ๆ งั้นเอาเป็นว่ากูจะเข้าไปหามึงอีกทีคือตอนเย็นเลยนะ แล้วถ้ามึงอยากกินอะไรก็ทิ้งข้อความไว้ก็แล้วกัน เดี๋ยวกูจะได้แวะซื้อไปให้ด้วย]
“เค ขอบคุณมาก” เมื่อวางสายจากเพื่อนสนิทเรียบร้อยแล้ว ปิซาก็ได้พ่นลมหายใจร้อนกรุ่นออกมาอย่างแรงทันที หลังเขากำลังรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอย่างบอกไม่ถูก เพราะปิซาไม่เคยไม่สบายจนต้องขาดเรียนเช่นนี้
“เมื่อคืนก็ไม่ได้ทำอะไรแปลก ๆ นี่ แต่ทำไมวันนี้มันถึงปวดเนื้อปวดตัวนัก” เขาพึมพำกับตัวเองทั้งคิ้วขมวด หลังภาพล่าสุดที่ปิซาจำได้ นั่นก็คือเขากำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับแพรอยู่ข้างเตียงนอนแล้วจู่ ๆ สายก็ถูกตัดไป ซึ่งในหลังจากนั้นปิซาก็จำอะไรไม่ได้เลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน แต่มารู้ตัวอีกทีก็ตอนถึงเวลาที่เขาต้องตื่นแล้วนี่แหละ
“เมื่อคืน…ยังไม่ได้เก็บของนี่ แต่ทำไมตอนนี้มันถึงถูกเก็บไว้ในกล่องแล้ว” เมื่อกระโดดลงจากเตียงได้แล้ว ปิซาก็ต้องพูดกับตัวเองต่อด้วยความตกใจ หลังในเวลานี้อุปกรณ์สำเร็จความใคร่ของเขาได้ถูกเก็บเข้าไว้ในกล่องแล้ว ทั้งที่เขาจำได้แม่นว่าเมื่อคืนนี้เขายังไม่ได้เก็บมันเลย เพราะลุกไปคุยโทรศัพท์กับแพรเสียก่อน
เพียงแค่เท่านั้น…ปิซาก็รีบกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องอย่างหวาดระแวงทันที เพื่อตรวจหาว่ามีใครอีกคนได้อยู่ในห้องนี้ด้วยหรือเปล่า แต่ทว่าพอเขาใช้สายตาตรวจหาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ปิซาก็ไม่พบความผิดปกติอะไรเลย นอกเสียจากข้าวของที่เขามั่นใจว่าตัวเองยังไม่ได้เก็บเข้าไปนี่แหละ
หลังกัดฟันเดินไปยังห้องน้ำเพื่อจัดการล้างหน้าล้างตาให้ตัวเอง แล้วเตรียมจะหาอะไรกินต่อ ขณะที่ปิซากำลังยืนรอให้โจ๊กสำเร็จรูปได้ที่อยู่นั้น ความคิดหนึ่งก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา เมื่อปิซาเพิ่งมานึกได้ว่าเมื่อคืนนี้ความฝันประหลาดได้เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นคืนที่สองแล้วที่ปิซาได้ฝันอะไรทำนองนี้และเนื้อหามันก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องกามอารมณ์อยู่ดี
ชายแปลกหน้าสองคนที่มีใบหน้าคล้ายกับคุณอีคอนและคุณเทรย์เวอร์ได้ปรากฏขึ้นมาในความฝันของเขาอีกแล้ว
คนหนึ่งก็เสือกกายเข้ามาในร่างของปิซาอย่างไร้ความปรานี ส่วนอีกคนก็ใช้มือรูดรั้งที่แก่นกายของเขาให้และเตรียมจะกดแก่นกายของตนเองเข้ามาในร่างของปิซาด้วยเช่นกัน ทั้งที่อีกคนก็ยังสอดใส่อยู่ในร่างของเขาอยู่
โดยในความฝันนั้นปิซาก็ได้ร้องขอความเห็นใจจากทั้งสองคน ราวกับว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นบนเตียงนั้นมันคือบทลงโทษจากชายทั้งสอง
แล้วเพียงแค่ปิซาคิดภาพที่แก่นกายใหญ่แย่งกันแทรกกายเข้ามาในร่างเขา นั่นก็ทำให้ปิซารีบกุมเข้าที่หน้าท้องของตัวเองโดยพลัน เมื่อจู่ ๆ เขาก็รู้สึกเสียวท้องน้อยอย่างบอกไม่ถูก…
“เฮ้อ หมกมุ่นใหญ่แล้วเรา” เมื่อดึงสติกลับมาได้แล้ว ปิซาก็ได้ทำการดุตัวเองเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย เพื่อให้สมองของเขาได้หยุดคิดภาพลามกเหล่านั้นเสียที
ก่อนที่ในเวลาต่อมาปิซาจะยกถ้วยโจ๊กไปนั่งกินที่โต๊ะทานอาหารต่อ โดยระหว่างที่เขากำลังนั่งตักโจ๊กเข้าปากอยู่นั้น ปิซาก็ได้นำเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเล่นแก้เบื่อไปด้วย ซึ่งสิ่งแรกที่เขาทำนั่นก็คือการกดค้นหาตำนานเทรย์เวอร์กับอีคอนในอินเทอร์เน็ต
‘ตำนานเทรย์เวอร์และอีคอนสาวกของพระเจ้า’
‘เทรย์เวอร์กับอีคอนและกล่องดวงใจ’ นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักแบบเราสามคนแล้ว ตามประวัติที่เล่าขานกันมาเดิมทีสมัยครั้นที่ทั้งคู่ยังเป็นมนุษย์อยู่ เทรย์เวอร์และอีคอนได้ต่างเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ มีเขตปกครองแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนและมีดินแดนส่วนกลางที่ไม่ตกเป็นของเมืองใดเมืองหนึ่งคั่นทั้งสองเอาไว้
ทั้งสองกษัตริยหนุ่มเป็นเพื่อนรักและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งที่ขณะที่ทั้งคู่ได้เข้าไปยังดินแดนส่วนกลางเพื่อออกล่าสัตว์อยู่นั้น ทั้งสองก็ได้ไปตกหลุมรักชาวบ้านวัยรุ่นคนหนึ่งที่เลื่องชื่อเรื่องความงดงามและได้อาศัยอยู่ในดินแดนส่วนกลาง แล้วเพราะต่างฝ่ายต่างชอบพอในตัวของชาวบ้านคนนี้เป็นอย่างมาก
นั่นจึงทำให้มีการเจรจาตกลงกับชาวบ้านคนดังกล่าวแล้วก็ให้เลือกว่าอีกฝ่ายจะเอากษัตริย์องค์ใดเป็นคู่ครอง แต่เพราะชาวบ้านคนดังกล่าวรู้สึกประทับใจความใจดีของกษัตริย์เทรย์เวอร์และก็ชื่นชอบความเด็ดขาดของกษัตริย์อีคอนด้วยเช่นกัน นั่นจึงทำให้ชาวบ้านคนดังกล่าวไม่สามารถเลือกได้เลยว่าอีกฝ่ายชื่นชอบกษัตริย์องค์ใดมากที่สุดกันแน่
แล้วเพราะเหตุผลนั้นทั้งสามคนจึงตัดสินใจเลือกใช้การสันติวิธี เพื่อไม่ให้มีใครเจ็บปวดในความสัมพันธ์นี้ด้วยการครองรักกันแบบสามคน
ซึ่งหลังจากเมืองล่มสลายและสองกษัตริย์ก็ได้ตายในสนามรบแล้ว เทรย์เวอร์และอีคอนก็ได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของพระเจ้าและได้ถูกแต่งตั้งเป็นสาวกของพระเจ้าต่อ โดยเทรย์เวอร์ก็เป็นตัวแทนของความสันติและการประนีประนอม ส่วนอีคอนก็เป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรมทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น โดยหน้าที่ของทั้งคู่นั้นก็จะถูกเริ่มต้นขึ้นเมื่อพระเจ้าได้ตัดสินชีวิตหลังความตายให้มนุษย์แล้ว
ซึ่งถ้าหากดวงวิญญาณได้ไปสู่สรวงสวรรค์เทรย์เวอร์ก็จะนำพาดวงวิญญาณให้ไปเสวยสุขบนชั้นฟ้า แต่หากดวงวิญญาณต้องไปชดใช้กรรมของตัวเองก็จะถูกอีคอนอุ้มตัวไปส่งที่ขุมนรก ซึ่งตามตำนานความเชื่อที่บอกต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ…หน้าที่ของเทรย์เวอร์และอีคอนจะสิ้นสุดลงได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองได้เจอกับกล่องดวงใจของตัวเองอีกครั้งเท่านั้น ซึ่งกล่องดวงใจที่ว่านั้นก็มีชื่อว่าปิซา