“ปิซา เมื่อคืนนี้มึงเจออะไรผิดปกติปะ”
“…ไม่นะ มึงเจอเหรอ?” ปิซาถามเพื่อนกลับ
“ไม่ กูไม่เจออะไรเหมือนกัน เมื่อคืนกูก็นอนหลับสบายดี” แพรตอบกลับมาพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างแรง ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิซาต้องเอ่ยถามเพื่อนสนิทของตัวเองอีกครั้งด้วยความสงสัย
“นี่มึงถอนหายใจทำไม หรือมันมีอะไรที่น่าเสียดายหรือไง?”
“ก็ใช่น่ะสิ ตอนนี้กูรู้สึกเสียดายโคตร ๆ เพราะเมื่อคืนนี้ตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มทำพิธีกรรมกันมันโคตรดูจะขลัง แถมตอนที่กูกำลังร่ายคาถาประตูห้องนอนก็ปิดเข้าอย่างแรงทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่าน เทียนทั้งสามเล่มดับพรึบลงพร้อมกันอะไรนั่นอีก ซึ่งกูก็คิดว่านั่นเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาตินะ เพราะขนาดตัวมึงเองที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ มึงก็ยังบอกให้กูเลิกทำพิธีกรรมเลย”
“….”
“แล้วนี่กูเอาเรื่องเมื่อคืนนี้ไปเล่าให้คนในกรุ๊ปแชตฟังด้วยนะว่าตอนที่กูเริ่มทำพิธีกรรมมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทุกคนเคยเจอเหตุการณ์นี้กันบ้างไหม แล้วมึงรู้ปะ? พวกเขารีบซักไซ้กูใหญ่เลยว่าเรื่องมันเป็นยังไงบ้าง เจอเหตุการณ์ผิดปกติอะไรอีกไหม เพราะคนในกรุ๊ปแชตไม่มีใครเจอเหตุการณ์แบบที่เราเจอเลยสักคน”
“เดี๋ยวนะ…นี่มึงถึงขั้นเข้ากรุ๊ปแชตอะไรพวกนี้เลยเหรอ” เมื่อได้ยินเพื่อนเอ่ยเช่นนั้น ปิซาก็ถามเพื่อนต่อทั้งคิ้วขมวด
“ก็ใช่น่ะสิ แหม…ปิซาของพวกนี้อะนะ มันก็ต้องมีการเม้ามอยกันหน่อยสิ เพราะถ้ากูไม่เข้ากรุ๊ปแชตแล้วกูจะไปคุยเรื่องนี้กับใครอะ เพราะตัวมึงเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“….”
“หรือว่า…ตอนนี้มึงก็เริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว?” แพรถามต่ออย่างลุ้น ๆ หลังเธอเห็นว่าปิซาได้เงียบไปชั่วขณะ ไม่ได้โต้เถียงอะไรเหมือนอย่างทุกที
“ไม่อะ กูไม่สนใจหรอก” เพราะกำลังถูกเพื่อนสนิทมองมาอย่างคาดหวัง นั่นจึงทำให้ปิซาต้องรีบปฏิเสธกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำทันที โดยเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่พูดเรื่องเมื่อคืนนี้ให้แพรฟัง เนื่องจากปิซาเกรงว่าจากที่เพื่อนของตัวเองกำลังสนใจเรื่องนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันจะยิ่งทำให้แพรอาการหนักเข้าไปใหญ่ หากปิซาได้เล่ามันออกไปจริง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เขารู้สึกว่ามีคนเดินตามกลับหอและความฝันอันแสนประหลาดของเขา
ประกอบกับ ณ ช่วงเวลานี้ตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจด้วยว่าสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น มันคืออะไรกันแน่ ปิซาจึงไม่อยากเล่าอะไรที่มันจะไปเสริมความเชื่อให้กับเพื่อน
เรื่องคนเดินตามมันก็อาจเป็นเพราะเขาคิดไปเอง ส่วนเรื่องความฝันประหลาดมันก็อาจเป็นเพราะจิตปรุงแต่งขึ้นมาก็ได้ ปิซาพยายามคิดเช่นนั้น
เพราะบางที…อาจเป็นเพราะช่วงนี้เขาตัวติดกับแพรมากเกินไป แถมอีกฝ่ายเองก็คอยเล่าเรื่องของเทรย์เวอร์กับอีคอนให้ฟังอยู่เป็นระยะ ๆ นั่นจึงทำให้สมองของเขาเก็บเอาเรื่องพวกนี้ไปจินตนาการแบบไม่รู้ตัว
“แล้วนี่เย็นวันนี้มึงต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟใช่ปะ” แพรถามต่อระหว่างที่พวกเขากำลังเดินลงจากตึกของคณะ
“อือ วันนี้กูต้องเข้าตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงเที่ยงคืนอะ มีอะไรเหรอ?”
“เสียดายแย่เลย กูว่าจะชวนมึงไปข้าวสารสักหน่อย เพราะเราเองก็ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันนานแล้ว”
“งั้นก็เอาไว้สัปดาห์หน้าก็แล้วกัน เพราะตอนคืนวันศุกร์ของสัปดาห์หน้ากูน่าจะว่าง ถ้าไม่มีใครขอแลกวันทำงานด้วยนะ” ปิซาให้คำตอบเพื่อน เพราะนอกจากที่เขาจะเป็นนักศึกษาแบบฟูลไทม์แล้ว ปิซาก็ยังทำงานพาร์ตไทม์เป็นพนักงานคิดเงินในร้านกาแฟที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแถวหอพักด้วย ซึ่งร้านกาแฟดังกล่าวนั้นก็ได้ถูกเปิดขึ้น เพื่อเอาใจนักศึกษาที่ชอบอ่านหนังสือแบบโต้รุ่งโดยเฉพาะ
“มึง…พี่ภูมิกำลังยืนอยู่นั่น นี่มึงนัดกับเขาไว้เหรอ?” เสียงของแพรดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อสายตาของเธอหันไปเห็นพี่ภูมิที่กำลังยืนคอยใครสักคนอยู่ที่หน้าตึกคณะของพวกเขา
“ใช่ เขามาหากูเองแหละ” ปิซาเอ่ยเสียงแผ่ว
“ฮะ?”
“คือพี่ภูมิเขาจะไปเอาโน้ตบุ๊กของตัวเองที่ห้องกูน่ะ จริง ๆ วันนี้เขาก็บอกกูแล้วแหละว่าให้กูหยิบมาด้วย แต่ว่ากูลืมแล้วพี่เขาก็ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ด้วย พี่ภูมิก็เลยขอแวะไปเอาโน้ตบุ๊กที่ห้องกูเย็นนี้เลย” ปิซาบอกเหตุผลกับเพื่อนไปตามตรง
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้โน้ตบุ๊กของพี่ภูมิมาอยู่กับเขานั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าปิซาได้รับจ็อบเสริมเป็นการช่วยกรอกข้อมูลการทำวิจัยลงในโปรแกรม โดยพี่ภูมิก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของเขา
“อ๋อ โอเค ถ้าอย่างนั้นกูกับมึงก็แยกกันตรงนี้เลยก็ได้นะ เพราะเดี๋ยวกูจะแวะไปซื้อของที่หลังมอต่อ” แพรว่าต่อด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“อืม งั้นเราค่อยเจอกันใหม่นะ” ปิซาพูด
“เค แล้วเจอกันจ้ะ” ว่าจบ แพรก็โบกมือลาแล้วเดินแยกไปอีกทางทันที ส่วนปิซาเองก็ได้ยืนมองเพื่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินตรงเข้าไปหาพี่ภูมิรุ่นพี่ปีสี่ที่เรียนอยู่ต่างคณะกัน
“พี่ภูมิรอนานไหมครับ?” เขาเป็นคนเอ่ยทักอีกฝ่ายก่อนทั้งรอยยิ้ม
“ไม่นาน นี่พี่ก็เพิ่งมายืนรอเราได้ไม่ถึงสิบนาทีนี่เอง แล้วนี่น้องแพรไปไหนเสียล่ะ? เพราะปกติพี่ก็เห็นตัวติดกับเราตลอด” พี่ภูมิถามกลับมาบ้าง หลังมันเป็นภาพจำของใครหลาย ๆ คนที่รู้จักพวกเขาไปแล้วว่าถ้ามีแพรที่ไหนก็จะมีปิซาอยู่ที่นั่นเสมอ
“แพรเดินไปซื้อของที่หลังมอครับ นี่ก็เพิ่งเดินแยกกันไปเมื่อกี้นี้เอง” ปิซาตอบแล้วถามต่อ “แล้วนี่พี่ภูมิจะแวะไปเอาของที่ห้องผมเลยไหมครับ? หรือว่าจะไปที่ไหนก่อน”
“เดี๋ยวพี่แวะไปเอาของที่ห้องเราเลยดีกว่า แล้ววันนี้ก็กลับรถของพี่นะเพราะพี่เอารถมา” พี่ภูมิเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“อ๋อ โอเคครับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นปิซาก็พยักหน้ารับแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ซึ่งในหลังจากนั้นเขากับพี่ภูมิก็ได้เดินไปยังลานวิศวฯด้วยกันอย่างเงียบ ๆ
“เดี๋ยวพี่ภูมิช่วยยืนรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขอวิ่งขึ้นไปเอาของให้แป๊บหนึ่ง” ปิซาพูดขึ้น เมื่อเขากับพี่ภูมิได้มายืนอยู่ที่หน้าหอพักของปิซาด้วยกันแล้ว
“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่จะยืนรออยู่ตรงนี้นะ”
“ครับ รอผมแป๊บหนึ่งนะ” พูดจบ ปิซาก็รีบหยิบคีย์การ์ดไปแตะที่หน้าประตูหอพัก แล้วรีบวิ่งขึ้นไปเอาโน้ตบุ๊กลงมาให้พี่ภูมิทันที
โดยเหตุการณ์ทุกอย่างก็ได้เป็นไปด้วยความปกติเหมือนอย่างทุกวัน จนกระทั่งหลังจากที่ปิซาได้นำเอาโน้ตบุ๊กลงมาส่งให้พี่ภูมิที่หน้าหอพักแล้วและเตรียมจะแยกย้ายกันนั้น จู่ ๆ อีกฝ่ายก็ได้ถามอะไรแปลก ๆ กับเขา
“นี่ปิซาอยู่ห้องกับใครเหรอ?”
“ครับ? ผมอยู่คนเดียวนะ” ปิซาเอ่ยพร้อมจ้องหน้ารุ่นพี่ต่างคณะด้วยความงุนงง
“ใช่เหรอ แต่ทำไม….”
“อะไรเหรอครับ?”
“….”
“พี่ภูมิครับ มีอะไรหรือเปล่า?” คราวนี้ปิซาเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อเขาเห็นว่าพี่ภูมิได้ทำหน้าแปลก ๆ ไป ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะปกติ
“เปล่าหรอก สงสัยพี่คงดูระเบียงผิดชั้นแหละมั้ง” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงแผ่วด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะแน่ใจนัก
“ทำไมครับ? พี่ภูมิมองเห็นอะไรเหรอ?” ปิซายังคงซักไซ้ต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“พอดี…เมื่อกี้พี่เห็นผู้ชายสองคนกำลังยืนมองพี่อยู่ที่ริมระเบียงห้องเราน่ะ”
“….”
“แต่พี่น่าจะดูผิดชั้นเองแหละ ไม่มีอะไรหรอก” พี่ภูมิรีบพูดต่อ เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าปิซาได้นิ่งไปพักใหญ่คล้ายกับสติได้หลุดออกไปจากร่างแล้ว
“เป็นอะไร ทำไมหน้าตาถึงดูไม่ค่อยสู้ดีเลย…นี่เรากำลังไม่สบายเหรอ?”
“อ๋อ เปล่าหรอกครับ” ปิซาเอ่ยพร้อมรีบส่ายหน้าปฏิเสธให้กับผู้จัดการร้านกาแฟอย่างพี่จันทร์ทันที หลังเธอได้เดินเข้ามาถามเขาด้วยความเป็นห่วง ขณะที่ปิซาเพิ่งจะเริ่มทำงานเป็นพนักงานแคชเชียร์ในร้านมาได้เกือบครึ่งชั่วโมง
“แน่ใจนะ? ถ้าไม่สบายจริง ๆ เราก็พักสักวันก็ได้นะปิซา เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งหรอกลูก” เธอว่าต่อด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ครับพี่จันทร์ แต่ก็แค่มีเรื่องให้คิดเฉย ๆ” ปิซายังคงยืนยันคำตอบเดิมทั้งรอยยิ้ม เพราะว่าร่างกายของเขาน่ะ….มันก็ยังปกติดีเหมือนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ว่าหลังจากที่เขาถูกพี่ภูมิเอ่ยถามเช่นนั้นเมื่อตอนช่วงเย็น นั่นก็ทำให้ปิซารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก
เพราะเมื่อคืนนี้ปิซาก็เพิ่งฝันเห็นผู้ชายแปลกหน้าถึงสองคน แล้ววันนี้มา…พี่ภูมิก็ดันมาบอกว่าอีกฝ่ายเห็นผู้ชายสองคนกำลังยืนอยู่ที่ริมระเบียงห้องของเขาอีก ซึ่งนี่มันก็เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่ปิซาจะมองว่ามันเป็นเหตุการณ์ปกติ
“โอเค ถ้าเราคิดว่าตัวเองทำงานไหวงั้นพี่ก็จะไม่ขัดใจแล้วกัน เพราะเวลานี้ลูกค้าก็คงเข้าร้านไม่เยอะหรอก แต่จะไปเยอะตอนช่วงเช้า ๆ นู้น เพราะคนอยากกินกาแฟกัน” พี่จันทร์ว่าแล้วในจังหวะเดียวกันนั้นเสียงเปิดประตูร้านก็ดังขึ้นพอดี นั่นจึงทำให้ปิซาต้องรีบกลับไปยืนประจำที่ของตัวเอง เพื่อรอรับรายการเครื่องดื่มจากลูกค้า
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าอยากรับเครื่องดื่มอะไรดีครับ?” ปิซาเอ่ยถามลูกค้าทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ทันจะได้เงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ
“เอาอเมริกาโนเย็นสองแก้ว”
“ครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะรับเป็นไซซ์ไหนดีครับ” ปิซาถามต่อ โดยในคราวนี้เขาก็ได้เงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับลูกค้าด้วย แต่ทว่าเขากลับต้องเบิกตากว้างและมีท่าทีชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อลูกค้าที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาถึงสองคนได้มีใบหน้าคล้ายกับผู้ชายในความฝันเขาเหลือเกิน ราวกับว่าทั้งคู่หลุดออกมาจากความฝันของปิซาด้วยซ้ำ
ผิวขาวจัดราวกับกระดาษทั้งคู่….คนหนึ่งก็มีสีผมน้ำตาลอ่อน ส่วนอีกคนก็ผมสีดำเข้ม
“ใหญ่”
“….”
“ผมต้องการอเมริกาโนแก้วใหญ่สองแก้วครับ” ผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นคนเดียวกันกับที่สั่งรายการเครื่องดื่มในตอนแรก ได้พูดย้ำกับปิซาด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าเดิมเล็กน้อย คล้ายกับอีกฝ่ายต้องการจะให้เขาหลุดออกจากภวังค์
“ค—ครับ ๆ ได้ครับคุณลูกค้า” ฝั่งของปิซาหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็รีบพยักหน้ารับและก้มหน้าลงเพื่อใช้งานเครื่องคิดเงินตรงหน้าทันที “ค่าเครื่องดื่มทั้งหมดสองร้อยหกสิบบาทครับ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าอยากจะรับอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”
“ไม่ครับ” ผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนตอบกลับมาเสียงนิ่ง พร้อมยื่นบัตรเครดิตของตัวเองมาให้เขา โดยหลังจากที่ปิซาได้คืนบัตรและใบเสร็จกลับไปให้อีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้เอ่ยถามชื่อของลูกค้าทั้งสองต่อ เพื่อที่จะได้เขียนมันลงข้างแก้วเครื่องดื่มอย่างที่ต้องทำเสมอ
“คุณลูกค้าชื่ออะไรครับ”
“แก้วหนึ่งเขียนว่าTrevor ส่วนอีกแก้วเขียนว่าEkonครับ”
“….”
“คุณแคชเชียร์เขียนชื่อนี้เป็นไหมครับ?” ผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนถามขึ้นอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าปิซาได้ชะงักไปอีกรอบ
“ป—เป็นครับ งั้นคุณลูกค้านั่งรอออเดอร์สักครู่นะครับ” ปิซาเอ่ยเสียงสั่น พร้อมพยายามเก็บอาการตื่นตระหนกของตัวเองเอาไว้ภายใต้ท่าทีนิ่งเฉย ซึ่งมันก็ช่างเป็นเรื่องยากเหลือเกิน หลังเขากำลังคิดว่านี่มันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญอะไรทั้งนั้น แต่พิธีกรรมของแพรมันได้ผลแล้วมันก็เป็นผลที่ผิดพลาดเสียด้วย
และที่สำคัญ…ผู้ชายในตำนานเหล่านั้นก็มีจริง
“แกสนใจพวกเขาเหรอ”
“ครับ?”
“สองคนนั้นน่ะ…คุณเทรย์เวอร์กับคุณอีคอน”
“นี่พี่จันทร์รู้จักพวกเขาด้วยเหรอครับ?” คราวนี้ปิซาถึงกับหันไปถามผู้จัดการสาวด้วยความสนใจ หลังเขาคิดว่าคนที่รู้จักชื่อนี้จะต้องเป็นคนที่สนใจเรื่องพิธีกรรมพวกนั้น ซึ่งพี่จันทร์ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องพวกนั้นเอาเสียเลย
“ก็คุณเทรย์เวอร์กับคุณอีคอนน่ะเขาดังจะตาย ถ้าไม่รู้จักน่ะสิแปลก” พี่จันทร์ว่า
“….”
“นี่เราไม่รู้จักพวกเขาเหรอ? งั้นเดี๋ยวพี่จะบอกข้อมูลคร่าว ๆ ให้ฟังก็แล้วกัน” พูดจบ พี่จันทร์ก็เริ่มอธิบายข้อมูลของลูกค้าชายทั้งสองคนที่กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ภายในร้านทันที “ผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนน่ะ…ชื่อคุณเทรย์เวอร์ เขาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศเลยนะ ส่วนคุณอีคอนผู้ชายผมสีดำ…เขาทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือทางการแพทย์ แล้วเขาก็ขายให้กับทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชนเลย”
“แล้ว…พวกเขาสองคนเป็นเพื่อนกันเหรอครับ” คราวนี้ปิซาเป็นคนยิงคำถามให้พี่จันทร์ก่อน
“ใช่แล้ว พวกเขาสองคนเป็นเพื่อนกัน” ซึ่งในจังหวะที่พี่จันทร์ยืนยันคำตอบกลับมานั้น จู่ ๆ ทั้งคุณเทรย์เวอร์และคุณอีคอนที่เหมือนจะกำลังนั่งคุยกันในตอนแรก ก็ได้หันมาสบตากับปิซาราวกับว่าทั้งสองรู้อยู่แล้วว่ากำลังถูกมองและปิซาก็กำลังพูดถึงเจ้าตัวอยู่
โดยในจังหวะนั้นปิซาก็รู้สึกเห่อร้อนอย่างบอกไม่ถูกแล้วก็ต้องรีบหันหน้าหนีโดยพลัน เมื่อเขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่แค่การหันมาสบตากันอย่างปกติ แต่เขากำลังถูกชายแปลกหน้าทั้งสองคนปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาผ่านทางสายตาอยู่ต่างหาก
ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิซาเริ่มรู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน