1

2087 Words
                เพราะปิซามีเพื่อนสนิทเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นจึงทำให้เขาไม่ได้มีตัวเลือกมากมายอะไรนัก ซึ่งเวลาที่ใครคนหนึ่งคิดจะทำอะไร…หากพวกเขาไม่ทำมันด้วยกันก็จะต้องคอยจับตามองกันเอาไว้                 เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวเองและก็เพื่อน                 “แพร วันนี้พ่อกับแม่มึงไม่อยู่เหรอ?” หลังเดินตามเพื่อนสนิทเข้ามาในบ้านพักของอีกฝ่ายแล้ว ปิซาก็ได้เอ่ยถามเพื่อนทันที เมื่อเขาไม่เห็นใครอยู่ในบ้านของแพรเลย ทั้งที่ในตอนนี้มันก็เป็นช่วงเย็นของวันแล้วและพ่อแม่ของอีกฝ่ายที่รับราชการครูด้วยกันทั้งคู่ก็น่าจะกลับมาถึงบ้านแล้วเช่นกัน                 “อ๋อ เขาไม่อยู่กันหรอก เพราะพ่อแม่กูไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดด้วยกันทั้งคู่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” แพรตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ พร้อมวางกระเป๋าผ้าลงบนโซฟา แล้วหันมาพูดกับเขาต่อ “นี่ถ้ามึงหิวน้ำก็เปิดตู้เย็นดื่มมันได้เลยนะ หรือไม่ถ้าหิวข้าวก็หยิบขนมมากินได้เลย ไม่ต้องเกรงใจกัน”                 “ขอบใจ” ปิซาพยักหน้ารับ แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างไม่รู้จะทำอะไร “เออ…แพร กูมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับมึงเอาไว้ก่อน”                 “อะไรเหรอ?” อีกฝ่ายที่กำลังเริ่มล้างจานที่กินทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนเช้า หันกลับมามองหน้าปิซาอีกครั้งอย่างตั้งคำถาม                 “เรื่องนั้น…กูไม่ยุ่งด้วยนะ มึงจะทำอะไรก็ทำไปกูไม่ห้าม แต่กูก็แค่จะมานั่งดูตอนที่มึงทำพิธีกรรมเฉย ๆ” เขาบอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ปิซาต้องกลับบ้านมาพร้อมกับอีกฝ่ายในวันนี้ เนื่องจากแพรบอกว่าในคืนนี้เธอจะลองทำพิธีกรรมเรียกเทรย์เวอร์กับอีคอนมารับใช้ตัวเองดู                 “อ๋อ เรื่องนั้นกูก็รู้อยู่แล้วแหละว่ายังไง…คนอย่างมึงก็คงจะไม่มาทำพิธีกรรมอะไรแบบนี้ด้วยกันแน่ แต่ถ้ามึงมาขอเข้าร่วมกับกูนี่สิ…”                 “….”                 “…แปลก” แพรตอบกลับมาทั้งรอยยิ้มแล้วหันกลับไปล้างจานตรงหน้าของเธอต่อ ส่วนปิซาเองก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปเช่นกัน แต่เขาทำเพียงแค่หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเล่นระหว่างที่รอให้แพรล้างจานเสร็จก็เท่านั้น                 เพราะในหลังจากเธอล้างจานเสร็จแล้ว เธอก็จะเริ่มลองทำพิธีกรรมเรียกเทรย์เวอร์กับอีคอนมารับใช้ทันที                 “แล้วนี่อุปกรณ์ที่จะใช้ในพิธีกรรมมีอะไรบ้างเหรอ?” หลังจากที่แพรล้างจานเสร็จแล้วและปิซาก็ได้เดินตามเพื่อนสนิทขึ้นมาบนห้องนอน เขาก็ได้เอ่ยถามเธอต่อด้วยความอยากรู้ทันที                 “ก็มีใบคาถาที่เราจะต้องใช้สวดตอนทำพิธีกรรม เทียนสามเล่มมีสีดำสองเล่มแล้วก็สีขาวอีกหนึ่งเล่ม กลีบดอกกุหลาบสีแดงแบบแห้งและสุดท้าย…ก็คือไพ่ประจำตัวของพวกเขา”                 “ไพ่?”                 “อืม ไพ่ประจำตัวของเทรย์เวอร์กับอีคอนน่ะ แต่ว่ามันมีสามใบนะซึ่งอีกใบก็น่าจะเป็นตัวแทนของความสัมพันธ์แบบสามคน” พูดจบ แพรก็เอื้อมมือไปหยิบไพ่ประจำตัวที่ว่านั้นขึ้นมาโชว์ให้ปิซาดูทันที ซึ่งไพ่ดังกล่าวมันก็เป็นไพ่สีดำแบบเรียบง่ายและมีสัญลักษณ์ที่เป็นรูปเรขาคณิตแบบต่าง ๆ อยู่ตรงกลางเท่านั้น                 “สามเหลี่ยมแบบหงาย… สามเหลี่ยมแบบคว่ำ… แล้วก็วงกลมงั้นเหรอ สัญลักษณ์ในไพ่ทั้งสามใบนั่นน่ะ” ปิซาถามเพื่อน                 “ใช่แล้วล่ะ”                 “แล้วมึงไปหาของพวกนี้มาจากไหน?” เขาซักไซ้ต่อพร้อมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนเพื่อนอย่างถือวิสาสะ ในขณะที่แพรเองก็กำลังนั่งอยู่ที่พื้น โดยตรงหน้าของเธอนั้นก็มีโต๊ะขนาดเล็กที่มีข้าวของที่จะใช้ประกอบพิธีกรรมในค่ำคืนนี้ตั้งเอาไว้อยู่                 “ก็พิธีกรรมพวกนี้เขากำลังฮิตกัน เพราะงั้นในอินเทอร์เน็ตก็เลยมีขายเกลื่อนเลยล่ะ นี่กูก็เลือกซื้อของทั้งหมดกับร้านที่มีคนสั่งเยอะที่สุดเลยนะ เพราะดูน่าจะขลังสุดแล้ว”                 “….”                 “แล้วนี่มึงจะไม่เข้าร่วมพิธีกรรมด้วยกันจริง ๆ เหรอ? เพราะไหน ๆ มึงก็มาอยู่นี่ด้วยกันแล้วนะ” แพรหันมาถามปิซาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว                 “ไม่ล่ะ กูขอดูมึงอย่างเดียวดีกว่า” ปิซาปฏิเสธพร้อมส่ายหน้าพรืดให้กับเพื่อนสนิท ซึ่งเขาก็ตอบกลับเธอไปโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ                 “งั้นก็ตามใจ” แพรยักไหล่กลับมาให้อย่างไม่ยี่หระ แล้วในหลังจากนั้นความเงียบก็ได้เข้าปกคลุมพวกเขาทั้งคู่เอาไว้ เมื่อแพรได้ทำการจุดเทียนทั้งสามเล่มขึ้นมาแล้วและก็ได้ตั้งมันเอาไว้ในจานรอง เพื่อไม่ให้น้ำตาเทียนหยดเปื้อนโต๊ะ                 โดยหลังจากที่เธอตั้งเทียนทั้งสามเล่มเสร็จแล้ว แพรก็ค่อย ๆ นำกลีบกุหลาบแห้งโรยไปรอบ ๆ เทียนทั้งสามเล่มที่กำลังสว่างไสวอยู่ตรงหน้าต่อทันที แล้วเพราะกลีบกุหลาบบางส่วนถูกมอดไหม้ไปเนื่องจากถูกเปลวเทียน นั่นจึงทำให้ในเวลานี้นอกจากภายในห้องนอนของแพรจะมีกลิ่นกุหลาบแห้งคลุ้งไปทั่วแล้ว มันก็ยังมีกลิ่นไหม้ ๆ เนื่องจากเขม่าลอยฟุ้งไปทั่วด้วย                 “กลิ่นตีกันฉิบหาย” ปิซาพึมพำแล้วรีบหุบปากฉับทันที เมื่อแพรได้ตวัดสายตาหันมาเตือนเขาให้เงียบ                 แล้วหลังจากนั้น แพรก็ได้นำเอาไพ่ประจำตัวทั้งสามใบมาลนกับเปลวเทียนต่อและก็เริ่มท่องบทสวดตามใบที่เธอได้รับมา ซึ่งในเวลานี้ปิซาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวให้เงียบที่สุด เนื่องจากเขาไม่อยากรบกวนสมาธิของเพื่อน                 น่ากลัว             ขณะที่แพรกำลังเริ่มสวดคาถาเพื่อเรียกเทรย์เวอร์กับอีคอนให้มารับใช้ตนเองอยู่นั้น ร่างกายของปิซาก็เกิดอาการขนลุกชันขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ จนทำให้เขาต้องรีบก้มมองตามแขนขาของตัวเองด้วยความตกใจทันที ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่และพยายามปลอบใจตัวเองว่ามันอาจเป็นเพราะในเวลานี้ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนสีและดวงอาทิตย์ก็ใกล้จะลับขอบฟ้าไปเต็มทีแล้วก็ได้ ไหนจะความเงียบสงบที่เข้าปกคลุมพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้อีก                 มันถึงได้ทำให้ปิซารู้สึกว่าพิธีกรรมที่แพรกำลังทำอยู่ในตอนนี้ มันช่างศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน                 ปัง!                 “ไอ้เหี้ย!” ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดเข้าอย่างแรงทั้งที่ไม่มีสายลมพัดผ่านเลย ปิซาก็ถึงกับหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งในจังหวะเดียวกันนั้นเทียมทั้งสามเล่มที่เคยสว่างไสวในตอนแรกก็ดับพรึบลงทันควัน                 “พ—แพรกูว่ามึงพอเถอะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วนะ” ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างและความกลัวของปิซาที่ถูกปลุกขึ้นมา นั่นจึงทำให้เขาเริ่มเอ่ยเตือนเพื่อนทันที ซึ่งแพรเองก็รีบพยักหน้าตอบกลับมาอย่างเห็นด้วยเช่นกัน                 “เออ กูก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ”                   “วันนี้มึงอยู่บ้านคนเดียวก็ล็อกประตูบ้านดี ๆ นะแพร เพราะมันอันตราย”                 “อือ มึงเองก็กลับหอดี ๆ ก็แล้วกัน”                 “อืม พรุ่งนี้อาจารย์ยกคลาสตอนเช้า เพราะงั้นเราก็เจอกันตอนบ่ายนะ”                 “เค”                 หลังร่ำลากับเพื่อนของตัวเองเสร็จ ปิซาก็ได้เดินออกมาจากบ้านของแพร เพื่อเตรียมจะเดินทางกลับหอพักของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน ซึ่งหอพักของเขานั้นก็อยู่ห่างจากบ้านเพื่อนไม่ไกลเท่าไรนัก สามารถเดินไปมาหาสู่กันได้แต่ก็อาจมีอาการหอบบ้างเล็กน้อย                 ขณะที่ปิซากำลังเดินทอดน่องและหูทั้งสองข้างของเขาก็กำลังฟังเพลงจากแอร์พอดอย่างไม่รีบร้อนอยู่นั้น คิ้วเข้มของปิซาก็ต้องมีเหตุให้ขมวด หลังเขาเดินไปได้สักระยะแล้วก็รู้สึกได้ว่ากำลังมีสายตามากมายจับจ้องมาที่แผ่นหลังของเขาอยู่ อีกทั้งยังเดินตามกันมาอีกด้วย ซึ่งทันทีที่ปิซามั่นใจแล้วว่าเขากำลังถูกเดินตามอยู่จริง ๆ เขาก็ได้หยุดเดินกะทันหัน                 และมันก็มีเสียงฝีเท้าก้าวเกินมาหนึ่งก้าว… โดยนั่นก็ทำให้เขารีบหันขวับกลับไปมองโดยพลัน                 แต่ก็มีเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น                 “ค—คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง” เมื่อไม่เห็นว่าจะมีใครสักคนที่เดินตามกันมา ปิซาจึงได้พูดกับตัวเองเสียงแผ่วพร้อมกวาดตามองไปทั่วบริเวณอีกครั้ง เพื่อหาสิ่งที่ผิดปกติหรือคนที่อาจจะกำลังแกล้งเขาอยู่                 แต่ทว่าแทนที่เขาจะสบายใจที่ไม่เห็นมีใครเดินตามกันมา กลับกลายเป็นว่าปิซากำลังรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกับ…รู้ว่ามันมีอยู่ แต่เขาก็แค่ไม่สามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่าก็เท่านั้น             รับรู้ว่ามี แต่ว่ามองไม่เห็น                 “น่ากลัว” หลังจากที่รู้สึกอย่างนั้นเขาก็ได้เอ่ยเพียงสั้น ๆ พร้อมกับเร่งเสียงเพลงในโทรศัพท์ให้มันดังขึ้นกว่าที่เคย แล้วในหลังจากนั้นปิซาก็รีบก้าวเท้ายาว ๆ เพื่อที่เขาจะได้รีบกลับถึงหอพักของตัวเองเร็ว ๆ ซึ่งในระหว่างทางที่เขากำลังกลับหอพักของตัวเองนั้น ปิซาก็ไม่หันหลังกลับไปมองอะไรอีกเลย                   ในช่วงกลางดึก             “อ๊ะ…”             “อ๊า!” ขณะที่กำลังนอนหลับอย่างไม่ได้สติและกำลังดำดิ่งอยู่ในความฝันที่แสนจะลามกอยู่นั้น เสียงครางผะแผ่วของปิซาก็ได้ดังขึ้นอยู่เป็นระยะ ๆ หลังเขารู้สึกได้ว่าความเสียวกระสันกำลังเล่นงานเขาอยู่…อย่างหนักหน่วง             ทั้งตรงบริเวณยอดอกและช่องทางหลังของเขา             มันเป็นความฝันที่เสมือนจริงเกินไป ปิซารู้สึกเช่นนั้น… เมื่อในความฝันของเขานั้น คือเขากำลังร่วมรักกับชายแปลกหน้าที่มีถึงสองคนอย่างถึงพริกถึงขิงอยู่                 คนหนึ่งก็กำลังกระแทกกายเข้ามาในร่างของปิซาอย่างไร้ความปรานี ส่วนอีกคนก็กำลังใช้เรียวลิ้นตวัดเลียที่ยอดอกของเขา ราวกับว่าอีกฝ่ายรู้จักร่างกายของปิซาดีเหลือเกิน รู้ว่าเขากำลังต้องการอะไรอยู่และก็รู้ว่าปิซาต้องการจะให้อีกฝ่ายทำแบบไหนกับร่างกายของตัวเองบ้าง             “ฮือ อะ…อ๊า!” ยิ่งดำดิ่งอยู่ในความฝันลามกนี้นานมากเท่าไร ใบหน้าเล็กก็ยิ่งชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อมากขึ้นเท่านั้นแล้วก็ยิ่งดิ้นพล่านไปมาอย่างทรมาน เมื่อในความฝันของปิซานั้นคือเขาใกล้จะถึงฝั่งฝันแล้ว                 แล้วเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวผิดปกติ ทั้งที่ก่อนหน้าที่จะเข้านอนปิซาก็ได้เปิดเครื่องปรับอากาศเอาไว้แล้ว นั่นจึงทำให้เขาต้องรีบหลุดออกจากความฝันนี้และลืมตาขึ้นมา เพื่อกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งทันที                 เพื่อที่เขาจะได้มองเห็นอะไรบางอย่างที่ปลายเตียงของตัวเอง             “เฮ้ย!” หลังมองเห็นผู้ชายในความฝันกำลังยืนมองกันอยู่ที่ปลายเตียง ปิซาก็ถึงกับหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะรีบยื่นมือไปกดปุ่มเปิดโคมไฟตามสัญชาตญาณทันที แต่ทว่าเมื่อเขาหันกลับไปมองที่ปลายเตียงของตัวเองอีกครั้ง ทุกอย่างก็มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น                 “นี่เราฝันเหรอวะ” ปิซาพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว เมื่อภายในห้องนอนของเขานั้นมันไม่มีใครทั้งนั้นที่กำลังจ้องเขาอยู่             มันไม่มีอะไรเลย…และภายในห้องนอนของเขานั้น มันก็มีเพียงแค่ปิซาเท่านั้นที่กำลังนั่งหอบหายใจพร้อมกับหัวใจที่ตื่นกลัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD