คุณชายสกุลว่าน

1417 Words
“อย่ามัวแต่มองบุรุษ ไปนั่งที่ของเจ้าได้แล้ว” ผู้คุมสอบถือใบกระดาษลำดับรายชื่อและชี้มือไปยังที่นั่งในแถวที่สิบ ก่อนจะชี้อีกสามแถวถัดไปให้ว่านเจียอีด้วยสีหน้าจริงจัง! ลี่เหม่ยหลินเดินไปนั่งยังทิศทางที่ท่านผู้คุมชี้ด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน “เหตุใดต้องต่อว่าเสียงดังให้ข้าอับอายด้วยก็ไม่รู้” นางบ่นงุบงิบๆ ‘ดูสิ มีแต่คนหัวเราะเยาะนางไม่เว้นแม้แต่ฝั่งของบุรุษ’ การสอบเป็นไปอย่างเชื่องช้า ในขณะที่ลี่เหม่ยหลินยังคงสับสนในคำถามและตอบตามใจคิดจนมาถึงข้อสุดท้าย “มารยาทที่ดีในการอยู่ร่วมกันระหว่างฮูหยินและอนุคือ” ‘ถามบ้าอะไรเนี่ย’ ในความเข้าใจของนางคือในยุคสมัยของคนจีนโบราณเช่นนี้การมีอนุย่อมไม่แปลก ในทางกลับกันสตรีที่นั่งร่วมร้อยคนในที่นี้คงมีไม่ต่ำกว่าสิบคนที่คงต้องได้อยู่ในสถานะนั้น เมื่อไม่กี่วันก่อนนางเคยถามอาซิงว่า ท่านพ่อของนางมีอนุหรือไม่ คำตอบที่ได้คือมี...แต่การเดินทางมายังแคว้นต้วนเป่ยนี้ท่านแม่ของนางผู้เป็นฮูหยินเอก ไม่อนุญาตให้อนุคนใดติดตามมาด้วย เช่นนี้จะกล่าวได้ว่าท่านแม่เป็นคนเด็ดขาดหรือท่านพ่อของนางกลัวท่านแม่กันแน่ “ฮึ” มือบางตวัดเขียนข้อความอย่างไม่ลังเล การสอบในครั้งนี้ไม่มีคะแนนเพราะแต่ละคำถามคล้ายถามความเห็นทั่วไปมากกว่า จะอย่างไรเสียถึงนางจะตอบไม่ดี นางก็ไม่ได้กลับมาสอบใหม่แน่นอน ฟุ่บ! ร่างบางยืนขึ้นพร้อมกับเดินไปส่งข้อสอบให้กับอาจารย์ท่านหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงหัวแถว ก่อนจะค้อมกายคาราวะแล้วเดินออกจากศาลาไป ‘ได้เวลาเดินดูร้านค้าข้างทางแล้ว’ ^^ &&&& คณะอาจารย์ผู้ตรวจข้อสอบ “ดูคุณหนูลี่ตอบแต่ละอย่างสิ” อาจารย์หญิงตี้เหยาหรูยิ้มปนหัวเราะ ก่อนจะส่งข้อสอบฉบับนั้นให้อาจารย์หนุ่มรูปงาม นามอู๋เทียนเล่อ “ข้อสุดท้ายนางตอบว่า ข้าจะเป็นฮูหยินที่มารยาทดีหากสามีไม่มีอนุให้ขัดใจ” “หึ” ^^ อู๋เทียนเล่อยกยิ้มตรงมุมปากพลางมองตามร่างเล็กๆ นั้นจนลับสายตา “สตรีแคว้นฉินใยถึงจิตใจคับแคบ” “นั่นสินะ” ตี้เหยาหรูแค่กล่าวตอบไปเช่นนั้นทั้งที่ในใจยิ่งกว่าเห็นด้วยกับคุณหนูลี่เหม่ยหลิน ‘ไม่รู้ทำไม สตรีมากมายทั่วหล้า จึงถูกสั่งสอนมาให้มีจิตใจกว้างขวางดังเช่นแม่น้ำ’ คำถามนี้ แม้แต่อาจารย์เช่นนางก็ตอบไม่ได้ &&&& ด้านนอกของสำนักศึกษา สองนายบ่าวเดินตามกันไปริมถนนดินแดงที่มีพื้นที่สำหรับให้รถม้าวิ่งผ่านได้มากกว่าสองคัน แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนก็ยังคงเดินกันขวักไขว่ เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นย่านค้าขายเนื่องจากมันอยู่ใกล้กับสถานศึกษา ร้านค้ามากกว่ายี่สิบร้านและส่วนมากจะเป็นร้านขนมและอาหาร อย่างเช่นร้านขายถังหูลู่ ร้านขายน้ำตาลปั้น...ที่สตรีผู้มาจากดินแดนอันแสนไกลกำลังยืนมองอยู่ “มังกรเลยรึ” ลี่เหม่ยหลินมองท่านลุงเจ้าของร้านวาดน้ำตาลเหนียวๆ ลงบนแผ่นกระดาษคล้ายๆ กระดาษไข แค่หนวดของมัน นางก็เดาได้แล้วว่ามันคือรูปมังกร “ข้าจอง” “ข้าจอง” ขวับ! นางมองไปยังบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลัง ความหล่อเหลาเข้าตาแต่นางไม่เข้าใจว่าเหตุใด เขาต้องแย่งนาง! “คุณชาย ข้ามาก่อน” -_- “แต่เหมือนข้าเอ่ยจองก่อนนะ” ลี่เหม่ยหลินเบ้ปาก พร้อมกับพรูลมหายใจ ไม่ว่าสตรีสกุลอื่นจะเรียบร้อย ไร้ปากเสียงต่อบุรุษเพียงใดก็ไม่เกี่ยวกับนาง ในเมื่อยามนี้ตัวนางค่อนข้างมั่นใจว่านางมาก่อน “ตามปกติธรรมดาสามัญแล้ว บุรุษต้องให้เกียรติสตรี หรือคุณชายมิใช่” ใช้สายตามองขึ้นลงๆ คล้ายต่อว่ากลายๆ รึถ้าหากบุรุษผู้นี้ยังยืนยันจะแย่งขนมของนาง “อ่า...บุรุษสกุลใดชอบน้ำตาลปั้นรึ?” บุรุษหนุ่มยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้ ก่อนจะกล่าวขึ้นมา “เป็นอย่างที่เจียอีว่าจริงๆ คุณหนูลี่” ‘ลี่เหม่ยหลินกลายเป็นสตรีที่ขี้หลงขี้ลืม’ “ข้าว่านจือฮันเป็นพี่ชายของว่านเจียอี ขนมน้ำตาลนั่นก็เป็นนางที่สั่งข้ามาซื้อ เชิญคุณหนูลี่ก่อนได้เลยข้าไม่รีบ” “พี่ชายของว่านเจียอีรึเจ้าคะ” ผู้รู้ตัวว่าอ่อนวัยกว่าผงกหัวให้คล้ายขอโทษ “ลี่เหม่ยหลินเสียมารยาทแล้ว ขออภัยเจ้าค่ะ” “...” ในยามปกติลี่เหม่ยหลินจะไม่กล่าวขอโทษใครเช่นนี้ ในทางกลับกัน นางอาจจะทำแค่มองและหันกลับไปรอขนม ‘นั่นคือนิสัยของนางที่มักจะแสดงท่าทางเฉยๆ กับคนอื่นที่มิใช่คนในครอบครัว’ “มิเป็นไร” ลี่เหม่ยหลินไม่ต่อความอะไรอีกนอกจากกลับไปมองท่านลุงเจ้าของร้านที่กำลังแกะน้ำตาลปั้นของนางออกจากพิมพ์กระดาษ แววตากลมหวานฉายชัดว่าตื่นเต้นและลุ้นเหมือนกลัวว่าหนวดของมังกรจะขาด แต่เมื่อมันไม่เป็นอะไร นางถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก “เฮ้อ” ^^ ว่านจือฮันลอบยิ้มให้กับความไร้เดียงสานั้น “เดี๋ยวข้าจ่ายให้เอง” “หืม” สตรีตัวน้อยที่ใกล้จะอายุครบสิบห้าปีถึงกับเลิกคิ้ว “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านจ่ายของท่าน ข้าจ่ายของข้า เรามาคนละที่มิต้องรับผิดชอบสิ่งใดให้ข้า” เพราะนางไม่อยากถือว่ามันคือบุญคุณ แม้เขาอาจจะไม่คิดเช่นนั้นแต่นางก็ยืนยันที่จะไม่รับ “ขอบคุณนะเจ้าคะ เหม่ยหลินขอตัว” นางเดินกัดน้ำตาลปั้นไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่สนใจบุรุษผู้เป็นพี่ชายของว่านเจียอีอีก ตลอดเส้นทางที่เดินผ่าน เห็นได้ชัดเจนว่ามีโรงเตี๊ยมมากกว่าสองแห่ง หอนางโลมหนึ่งแห่งที่นางให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ‘จะว่าไป หอนางโลมหรือก็คือซ่องแบบเปิดเผย’ ถามว่ามันดีหรือไม่ในความคิดของนาง มันดีในระดับหนึ่งแต่ที่ไม่ดีย่อมมีมากกว่า นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดทั้งๆ ที่บุรุษมีฮูหยินและอนุได้ เหตุใดจึงยังมีหอนางโลม? นั่นหมายถึงว่าเหล่าบุรุษนั้นมักมาก หรือเพราะสตรีมีจำนวนประชากรเยอะกว่าบุรุษจึงต้องแบ่งปันพวกเขา ให้สตรีเช่นนางได้ใช้ร่วมกัน “ไม่ดีเลยจริงๆ” “อะไรเจ้าคะ” “ไม่มีอะไรหรอก” พูดไปแล้วมันก็ไม่ถูกต้องอยู่ดีในเมื่อบุรุษแทบจะทุกคนล้วนมีอนุ คงไม่เว้นแม้แต่คนยากไร้ “หากสตรีมีสิทธิ์เลือกได้เหมือนพวกเขาบ้างเล่า จะเป็นเช่นไรนะ” อาซิงก็ยังคงทำหน้าไม่เข้าใจอยู่ดี “ลี่เหม่ยหลิน รอก่อน!!” เจ้าของนามหันหลับไปยังต้นเสียง เห็นคุณหนูสกุลว่านวิ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ‘มิใช่ว่าในการสอบเมื่อครู่ ว่านเจียอีเป็นสตรีในห้องหอหรอกรึ?’ “มีเรื่องอันใดรึว่านเจียอี” “แฮ่กๆๆ ข้า ข้า” หายใจเหนื่อยหอบพร้อมกับยืนตัวตรง “อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จะถึงวันปักปิ่นของข้าแล้ว ข้าอยากให้เจ้ามาร่วมงานด้วยได้หรือไม่” “ชวนข้า” ชี้หน้าตนเอง “ย่อมใช่ บัตรเชิญจะตามไปทีหลัง จะไปหรือไม่” ยืนกอดอก ลี่เหม่ยหลินยิ้มกว้าง ในวันแรกที่ออกมานอกจวน นางได้สหายที่มีนิสัยคล้ายคลึงกันมาหนึ่งคน “เจ้ากล้าชวน ข้าย่อมกล้าไป” มองไปด้านหลังของว่านเจียอีเห็นพี่ชายของนางมองอยู่จึงผงกหัวให้ตามประสาคนรู้จัก ว่านเจียอีเชิดหน้าขึ้น “ก็ดี ข้าไปล่ะนะ” “อืม” ตากลมสวยมองว่านเจียอีเดินไปหาพี่ชาย จับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายมองนางแล้วยิ้ม ด้วยความสงสัยกับท่าทีนั้น จึงต้องถามสาวใช้ส่วนตัว “อาซิง แต่ก่อนที่ข้าจะเจ็บป่วย ข้าสนิทสนมกับพี่น้องสกุลว่านมากหรือไม่”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD