EPISODE 01 : ความจริงที่น่าเจ็บปวด
“I know what I have to do now, I’ve got to keep breathing because tomorrow the sun will rise.”
-Cast Away-
(ฉันไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้ ยังไงฉันก็ต้องหายใจต่อไป เพราะพรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็จะขึ้นอีก)
-กรุงเทพมหานคร-
“คนงานในบ้านไปไหนกันหมดนะ” เสียงหวานๆ ของจันทร์เจ้าคุณหนูเจ้าของคฤหาสน์หลังงามใจกลางเมือง ตากลมมองออกไปยังนอกหน้าต่างของรถแท็กซี่ด้วยความสงสัย เธอไม่ได้กลับมาที่บ้านเลยตั้งแต่ย้ายไปเรียนต่อที่อเมริกาช่วงไฮสคูล (High School)
ทุกๆ 1-2 เดือน คุณพ่อกับคุณแม่ของจันทร์เจ้าก็มักจะไปเยี่ยมเธอที่อเมริกาเสมอ แต่หลังจากครั้งล่าสุดที่ท่านทั้งสองไปเยี่ยม จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้วที่พวกท่านไม่ได้กลับไปหาเธอ จนกระทั่งเมื่อ 1 อาทิตย์ที่แล้วคุณพ่อโทรมาบอกให้จันทร์เจ้ากลับมาประเทศไทยด่วน โดยที่ท่านไม่ได้บอกเหตุผลอะไรกับเธอเลยสักประโยคเดียว
หลังจากที่คุยกับคุณพ่อในวันนั้นจันทร์เจ้าก็รีบเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับมายังบ้านเกิดของตัวเองทันทีตามคำสั่งของคุณพ่อของเธอ จันทร์เจ้าเรียนจบมา 1 ปีแล้ว แต่เธออยากใช้ชีวิตและเริ่มทำงานที่อเมริกาจึงขอ Gap Year (เป็นการที่เราออกมาค้นหาตัวเองเพื่อที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม) กับครอบครัวซึ่งพวกท่านก็เข้าใจเธอเป็นอย่างดีและยังสนับสนุนการตัดสินใจของเธออีกด้วย
“ไม่มีใครอยู่จริงๆ น่ะเหรอ” จันทร์เจ้าบ่นพึมพำก่อนจะยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตัวเองขึ้นบันไดบริเวณหน้าทางเข้า ถึงบันไดจะมีเพียง 3 ขั้น แต่กลับรู้สึกว่ามันช่างไกลแสนไกลเหลือเกินจากน้ำหนักของกระเป๋าที่เธอกำลังยก
“คุณแม่” จันทร์เจ้ารีบวิ่งเข้าไปกอดคุณหญิงสุพรรษาคุณแม่ของเธอทันทีด้วยความดีใจ ก่อนที่เธอจะรู้สึกถึงความผิดปกติจากร่างบางตรงหน้า ร่างกายที่เคยดูอวบอิ่ม แต่ในตอนนี้กลับผอมซีดใบหน้าที่ดูเศร้าหมองอย่างกับคนที่กำลังอมทุกข์ ทำให้คิ้วเรียวของเธอขมวดเข้าหากันทันทีอย่างไม่เข้าใจ
“คุณแม่ไม่สบายรึป่าวคะ ทำไมถึง…?” จันทร์เอ่ยถามร่างบางตรงหน้าออกไปด้วยความเป็นห่วง
“แม่สบายดีลูก...หนูล่ะเดินทางมาไกลเหนื่อยไหมคะ” สุพรรษาเอ่ยบอกกับลูกสาวคนเดียวของเธอด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มจางๆ เธอรู้ดีว่าลูกสาวของตัวเองเป็นคนที่ฉลาด มีเหรอที่คนอย่างจันทร์เจ้าจะดูไม่ออกว่ารอยยิ้มที่เธอแสดงออกมามันดูฝืนมากแค่ไหน
“คุณแม่คะ” ร่างบางเรียกมารดาของตัวเองออกไปเสียงอ่อน ถึงเธอจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าบ้านของเธอกำลังมีปัญหาอยู่แน่ๆ
“...”
“มีอะไรบอกหนูได้นะคะ หนูโตแล้วเรียนจบแล้วด้วยถ้าคุณพ่อคุณแม่มีปัญญาอะไรหนูจะเป็นคนช่วยเองค่ะ” จันทร์เจ้าเอ่ยบอกกับมารดาของเธอออกไปด้วยน้ำเสียงสดใส พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้กับร่างบางตรงหน้า
ใบหน้าหวานและรอยยิ้มของลูกสาวตรงหน้าทำให้คนแม่อย่างสุพรรษาร้องไห้ออกมา เธอไม่สามารถฝืนความรู้สึกที่เก็บไว้คนเดียวได้อีกต่อไปแล้ว หลายวันมานี้มีหลายเรื่องเหลือเกินที่เธอต้องแบกรับมันเอาไว้คนเดียว
“คุณแม่คะ” จันทร์เจ้ารีบเดินเข้าไปกอดปลอบคุณแม่ของเธอทันที ตั้งแต่จำความได้นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นคุณแม่สุดแกร่งของเธอร้องไห้ มันยิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอเต้นเร็วขึ้นจากความวิตกกังวล ความรู้สึกในตอนนี้มันไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลยจริงๆ ดวงตางามของจันทร์เจ้าพยายามสอดส่องไปจนทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบร่างสูงที่เธอคุ้นเคย ‘คุณพ่อไปไหน?’ คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเธอทันทีที่มองไปแล้วไม่เจอใคร
“คุณพ่อไม่อยู่บ้านเหรอคะคุณแม่” เธอเอ่ยถามผู้เป็นแม่ออกไปด้วยความสงสัย ในขณะที่แขนเรียวยังคงกอดร่างบางตรงหน้าไว้แน่นอย่างต้องการปลอบประโลม
แปะ แปะ แปะ ~~
เสียงปรบมือดังขึ้นมาจากประตูทางเข้าทำให้สองคนแม่ลูกหันกลับไปมองคนที่มาใหม่เป็นตาเดียว คุณสุพรรษาที่รู้จักร่างสูงตรงหน้าแล้วอาจจะไม่ได้ตกใจเท่าไหร่นัก ต่างจากลูกสาวของเธอที่พึ่งเคยเจอเขาเป็นครั้งแรก จันทร์เจ้ามองไปยังชายตรงหน้าอย่างไม่ว่างตาด้วยความสงสัย
“ว๊าวววว! นี่ฉันเข้ามาเห็นภาพครอบครัวสุขสันติ์พอดีเลยสินะ”
“คุณเป็นใคร และเข้ามาในบ้านของฉันได้ยังไง” ร่างบางดันคุณแม่ของเธอไปหลบอยู่ที่ด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยถามกลุ่มชายฉกรรจ์ที่กำลังเดินเข้ามาหาพวกเธอออกไปเสียงแข็ง ถึงเธอจะไม่รู้ว่าผู้ชายพวกนี้เป็นใคร แต่สัญชาตญาณของเธอมันบอกว่าพวกมันไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน
“จันทร์...” สุพรรษาที่ยื่นอยู่ด้านหลังร่างบางเรียกลูกสาวของเธอเสียงอ่อนด้วยความเป็นห่วง เธอรู้จักลูกสาวของเธอดีจันทร์เจ้าเป็นเด็กที่ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ ตั้งแต่เล็กแต่น้อย ถ้าเธอรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับครอบครัวในขณะที่เธอไม่อยู่ ลูกสาวคนนี้ต้องไม่ยอมแน่ๆ และมันจะทำให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอต้องตกอยู่ในอันตราย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เธอยอมไม่ได้เด็ดขาด
“ฉันเป็นใครนะเหรอ?” นภพลพูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังร่างบางตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาพอจะรู้มาบ้างว่าคุณกรณ์กับคุณสุพรรษามีลูกสาวด้วยกันอยู่ 1 คน แต่เขาไม่คิดว่าเธอคนนั้นจะสวยบาดใจขนาดนี้ ถ้ารู้มาก่อนเขาไม่มีทางปล่อยให้ผู้หญิงตรงหน้าหลุดมือไปได้อย่างแน่นอน
“เจ้าหนี้ของพ่อเธอไง อ่อ! ไม่ใช่แล้วสินะ เพราะตอนนี้พ่อของเธอไม่สามารถใช้หนี้ให้ฉันได้แล้ว เธอที่เป็นลูกสาวคงต้องรับช่วงต่อแทน”
“คุณหมายความว่าไง?” จันทร์เอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าออกไปด้วยความสงสัย ‘พ่อของเธอไม่สามารถใช้หนี้ให้ฉันได้แล้ว’ ที่เขาพูดถึงหมายความว่ายังไงกันแน่ จันทร์เจ้าหันกลับไปมองมารดาของเธอเล็กน้อย ก่อนจะเห็นใบหน้าหวานๆ ของแม่ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้พูดโกหก
“คุณแม่คะ คุณพ่ออยู่ที่ไหนคะ” จันทร์เจ้าเอ่ยถามร่างบางตรงหน้าออกไปด้วยความสงสัย ชายตรงหน้าพูดอะไรแปลกๆ และทำให้เธอใจคอไม่ดีเอาเสียเลย
“คุณพ่ออยู่ในห้อง ICU คุณหมอยังไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม เดี๋ยวรายละเอียดแม่จะเล่าให้หนูฟังอีกทีนะลูก”
“หึหึ เข้าใจแล้วใช่ไหม...เธอต้องเป็นคนรับผิดชอบหนี้ที่เหลืออีก 20 ล้านให้กับฉันแทนพ่อสุดที่รักของเธอ”
“หนี้ที่เหลือ?”
“ใช่! แม่ของเธอขายบ้านหลังนี้ไปแล้ว และมันยังขาดอีก 20 ล้าน” นภพลเอ่ยบอกกับร่างบางตรงหน้าอย่างกับคนที่เป็นต่อ เขามั่นใจว่ายังไงเขาก็ต้องได้ร่างบางตรงหน้ามาครอบครองอย่างแน่นอน ยังไงเธอก็ไม่มีทางหาเงิน 20 ล้านมาคืนเขาได้
“ฉันขอเวลา” จันทร์เจ้าเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปเสียงแข็งอย่างไม่ยอมจำนนง่ายๆ
“หึหึ” ร่างสูงเดินเข้ามาหาจันทร์เจ้าแต่ก็ต้องชะงักไปเล็กน้อยที่เห็นคุณสุพรรษาเดินเข้ามาขวางเขาเอาไว้
“ลูกสาวของฉันไม่เกี่ยว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เกี่ยวได้ยังไง พ่อเป็นคนสร้างหนี้ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายลูกกับเมียก็ต้องรับผิดชอบแทนสิครับคุณหญิงสุพรรษา”
“แก!” สุพรรษาเตรียมจะวิ่งเข้าไปหานภพล แต่ถูกจันทร์เจ้าลูกสาวของเธอห้ามเอาไว้ก่อน
“หนูคุยกับเขาเองนะคะ” ร่างบางเอ่ยบอกกับผู้เป็นแม่เสียงอ่อน ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ไปให้กับท่าน
“ฉันขอเวลา 1 ปีค่ะ” ร่างบางเอ่ยบอกกับชายตรงหน้าออกไปเสียงเรียบ พร้อมกับจ้องมองไปที่เข้านิ่งๆ
“หึหึ ฉันไม่มีเวลาให้เธอนานขนาดนั้น แต่ฉันมีข้อเสนอ...”
“ข้อเสนอ?”
“ถ้าเธอยอมมาเป็นเมียฉัน ฉันจะยกหนี้ทั้งหมดให้ก็ได้” ร่างสูงเอ่ยบอกกับหญิงสาวตรงหน้าอย่างกับคนที่กำลังถือไพ่เหนือกว่า
“อย่าคิดที่จะมาแตะต้องหลานสาวของฉัน”