ตอนที่ 7 ถูกพิษ
จวนตระกูลไป๋
ตระกูลไป๋เช้านี้ดูจะวุ่นวายนัก สีหน้าของแต่ละคนนั้นไม่สู้ดี โดยเฉพาะขุนนางไป๋ เขานั่งคิ้วขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ เมื่อวานนี้ลูกสาวของเขามีเรื่องกับคุณฟางตระกูลพ่อค้า มือหนาตบลงโต๊ะดัง ปัง ด้วยความรุนแรงเล็กน้อย กาน้ำชาที่วางเอาไว้หมิ่นเหม่ได้ตกลงมา ทำให้น้ำไหลนองที่พื้นเฉอะแฉะเปรอะเปื้อนเล็กน้อยเท่านั้น
สาวใช้ท่าทีหวาดผวา นายท่านของพวกนางน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ใบหน้าของชายแก่ชราเช่นขุนนางไป๋แดงก่ำเต็มไปด้วยไฟโทสะ ตระกูลพ่อค้ากล้าหยามหน้าขุนนางเช่นเขาเชียวรึ สีหน้าของขุนนางไป๋ ใคร ๆ ก็เข้าหน้าไม่ติด
ท่านหมอสามคนต่างก็เอ่ยปากเป็นเสียงเดียวกันว่า นางแพ้เกสรดอกไม้เท่านั้นไม่กี่วันก็หายดี ทางที่ดี พักนี้อย่าออกไปที่ไหนก็พอ เดี๋ยวอาการปวดแสบปวดร้อนจะกำเริบขึ้นมา หากเป็นแผลพุพองจะรักษายาก กลายเป็นอัปลักษณ์ล่มเมืองอย่างแน่นอน
“เหลวไหล ลูกสาวข้าอาการหนักขนาดนี้พวกท่านยังบอกเพียงแค่นางแพ้เกสรดอกไม้เท่านั้นรึ” ขุนนางไป๋ใบหน้าดำมืดคล้ำ น้ำเสียงดุดันแผ่นกลิ่นอายชวนอึดอัด ท่านหมอแต่ละคนต่างก็ส่ายหน้าใส่คนไม่รู้ความ หากมิเชื่อฟังคำที่ท่านหมอกล่าวอ้าง ก็เห็นทีว่าคงต้องให้ขุนนางไป๋รักษาลูกสาวของเขาเองแล้วกระมัง
“พวกข้าเป็นหมอมาหลายสิบปี มิเคยตรวจรักษาผิด หากท่านคิดว่านางต้องพิษร้ายแรง เช่นนั้นก็หาหมอท่านอื่นมารักษานางเถิด” ชายชราผมสีขาวเป็นท่านหมอที่อายุมากที่สุด น้ำเสียงและสีหน้านั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ใต้เท้าไป๋กล่าวหาเช่นนี้ดูจะรุนแรงไปนัก ท่านหมออาวุโสกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” ท่านแม่ทัพรับรู้ข่าวว่าคนรักถูกพิษ เขาจึงมาดูให้เห็นกับตาตนเอง “ระยะนี้อย่าเพิ่งให้ชิงชิงขอข้าออกไปข้างนอกเลย ใครกล้าบังอาจทำร้ายนาง ข้าจะไม่ละเว้น” เขากล่าวต่อได้หน้าตาเฉย แท้ที่จริงคือใครกัน หากไม่ใช่เขาจะเป็นใครไปได้
อากัปกิริยาของขุนนางไป๋เปลี่ยนไปทันทีเมื่อท่านแม่ทัพออกปากว่าจะสั่งสอนคนที่วางยาพิษ ก็จะเป็นใครไปได้เล่า คนเจ้าเล่ห์ยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ปลายสายตามองไปยังสตรีใบหน้าอัปลักษณ์ ผ้าสีขาวพันทั้งใบหน้า เปิดเอาไว้เพียงแค่จมูกเอาไว้หายใจเพียงแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ริมฝีปากของนางก็ถูกผ้าสีขาวพันปิดเอาไว้ด้วย นั่นเพราะท่านแม่ทัพกำชับเอาไว้ เกรงว่าจะมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาทางช่องปากทำอันตรายนางถึงชีวิต เหล่าท่านหมอทีแรกก็งุนงง พอฟังความคิดของท่านแม่ทัพพวกเขาก็เออออตามอย่างมิคิดขัดขวาง
หาใช่เช่นนั้นไม่ เขารำคาญมิอยากจะฟังเล็กแหลมบาดหูต่างหากเล่า
“ข้าคิดไม่ผิดที่เลือกท่านเป็นลูกเขย ต้องให้ได้แบบนี้สิ” จากหน้ามือกลายเป็นหลังมือ เมื่อว่าที่ลูกเขยพูดจาเข้าหูว่าที่พ่อตา มีหรือขุนนางไป๋จะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่พอใจกลับยกยิ้มร่าอย่างเบิกบานใจเสียอย่างนั้น
ท่านหมอแต่ละคนต่างงุนงง ให้มันได้แบบนี้สิ พวกเขาพูดจาบอกกล่าวจนเสียงแหบแห้งมิฟัง ท่านแม่ทัพพูดจาเพียงแค่ประโยคเดียว ทำให้คนดื้อดึงเอาแต่ใจเห็นดีเห็นงามไปด้วย
ฝ่ามือของขุนนางไป๋ตบเบา ๆ ที่ไหล่ของว่าที่ลูกเขยราวกับเขาถูกใจนักหนา ท่านแม่ทัพเพียงแค่ปรายหางตามองเท่านั้น ไม่มีรอยยิ้มใด ๆ ส่งกลับให้อีกฝ่าย สองมือหนาของเขาอยู่แนบลำตัว สีหน้าเรียบเฉยอยู่ในห้องนอนของหญิงสาวต้องพิษ
นี่แค่สั่งสอนเท่านั้น ต่อไปจะมากกว่านี้อีก
“ท่านแม่ทัพหยางจะจัดการนางอย่างไร” อ้ายฟงเดินเข้ามามองเห็นน้องสาวถูกพันเอาไว้แบบนั้นเขาเจ็บปวดใจยิ่ง เฝ้าดูแลนางตั้งแต่ไม่กี่หนาวจนกระทั่งนางเติบโตขึ้นมาอย่างดงาม
“จะจับคนต้องมีหลักฐาน แต่ตอนนี้ไร้ข้อมูลเช่นนั้น นางจึงถือว่าเป็นแค่...ผู้ต้องสงสัย ข้าทำงานซื่อสัตย์เถรตรงมิเคยใส่ความผู้ใด ใครผิดก็ว่าไปตามผิด หากคิดให้ข้าใส่ร้ายนางย่อมทำไม่ได้” หยางเฟยเทียนหย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้ เขาไม่ใช่คนขดในข้องอในกระดูกคนพวกนี้ช่างอาจหาญนัก
สีหน้าของเขานั้นดูจะเย็นชาจนสุดขั้วหัวใจ บิดาและลูกชายต่างขนลุกซู่ ท่าทางของเขาช่างต่างออกไปไม่เหมือนเช่นเคย สองพ่อลูกสบตากันเลิ่กลั่ก พี่ชายเช่นไป๋อ้ายฟงยิ้มเจื่อนเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ข้ามิใช่คนเช่นนั้น ท่านแม่ทัพหยางอย่าคิดมากเลยน่า” เขารีบกลบเกลื่อนความไม่พอใจทั้งสีหน้าและท่าทาง ขุนนางไป๋บิดาของคนป่วย เขานั่งลงที่เก้าอี้ มองไปยังบุตรสาวที่น่าเวทนายิ่ง
ตระกูลฟางยามนี้นั่นดูจะสงบสุขเสียจริง วันนี้คุณหนูมิได้ออกไปที่ไหน นางบอกว่าอยากจะกินปลา พ่อบ้านเฟยจึงกล่าวว่าเดี๋ยวช่วงค่ำ ๆ จะทำปลานึ่งให้กิน
ฟางผิงอันทนรอไม่ไหว นางตื่นเต้นดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอให้พ่อบ้านคิ้วบากเดินทางมาในช่วงเย็น ยิ่งคิดถึงเมื่อคืนก็ยิ่งไหวหวั่น หากไม่ติดที่ว่าเขาเป็นชายตัดแขนเสื้อ ป่านนี้นางคงเผลอหลงชอบเขาอย่างไม่รู้ตัว
คนงามใบหน้าแดงซ่าน เมื่อคืนถูกเขาโอบกอดปลอบขวัญ เหตุใดนางถึงได้ยอมกันคงจะเพราะนางนั้นมึนเมาสุราอย่างไม่รู้ตัว สุราหมักชั้นเลิศทำให้คนเมามายได้ง่าย ทว่านางนั้นเมามายในรักต่างหากเล่า
หญิงสาวนั่งแย้มยิ้มอย่างมิรู้ตัว ช่วงเช้าเช่นนี้พ่อบ้านเฟยจะไม่มา เขาจะมาอีกทีก็ตอนเย็น อาถงมองเห็นเจ้านายนั่งอมยิ้มก็นึกสงสัย เท้าเล็ก ๆ เร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ ๆ ฝ่ามือน้อย ๆ สะกิดไหล่คุณหนูคนงามของนางอย่างจงใจ
“คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดจึงนั่งยิ้มเช่นนี้เล่า” อาถงนึกสนุกปากเอ่ยซักถามขึ้นอีกคำจะดีหรือไม่นะ “หรือว่าคุณหนูมีความรัก” นั่นปะไรแม่สาวใช้ตัวดีกล้าพูดจาเช่นนี้กับนายสาวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ผิงอันคนงามใบหน้าหวานล้ำ เงยหน้ามองสาวใช้นางคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะแยกเขี้ยวตวาดเสียงดัง “อาถง เจ้าจะมากไปแล้วนะ ข้าจะรักใครได้อีก” คนตัวเล็กร้อนตัว เผลอไผลคิดถึงพ่อบ้านเข้าให้จนได้
เมื่อคืนได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ทำให้นางนั้นปลื้มปริ่มจนแทบล้นทะลัก หัวใจของนางพองโตทีเดียว สายตาของเขาช่างดูเหมือนชายในดวงใจของนางเหลือเกิน
“เจ้าค่ะ” อาถงรับคำสีหน้าของนางดูงอหงิกเมื่อถูกเจ้านายสาวดุเข้าให้ “วันนี้คุณหนูจะไปเดินเที่ยวตลาดไหมเจ้าคะ” อาถงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “แต่ว่าหิมะตกเช่นนี้”
“จริงสิ หิมะตกแบบนี้พ่อบ้านเฟยจะเดินทางมาอย่างไรกันเล่า แล้วท่านแม่ของเขาจะป่วยหนักหรือไม่” จะหาใครที่รักและดูแลบ่าวไพร่ทั้งหลายในเรือนเป็นอย่างดีก็คงจะไม่พ้นคุณหนูตระกูลฟางเป็นแน่
“คุณหนู อย่าห่วงคนอื่นเลยเจ้าค่ะ คุณหนูนั่นแหละอากาศเช่นนี้ระวังอาการป่วยเถิดเจ้าค่ะ” อาถงเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงทั้งน้ำเสียงและสีหน้านั้นดูอ่อนโยนนัก
“ป่วยรึ” ฟางผิงอันเอ่ยขึ้นจากนั้นนางก็แย้มยิ้มอย่างดีอกดีใจ “เจ้าให้คนไปแจ้งท่านแม่ทัพ ทีว่าข้าล้มป่วยเพราะอากาศหนาว” นางคิดแผนขึ้นมาได้ เหตุใดกันนางไม่แสร้งเป็นสตรีอ่อนแอปวกเปียกบ้างเล่า
“คุณหนูแน่ใจนะเจ้าคะว่าท่านแม่ทัพจะมา” อาถงสงสัย หากท่านแม่ทัพไม่มาก็เกรงว่าคุณหนูจะเจ็บปวดชอกช้ำระกำใจ
“ข้าอยากรู้ หากข้าเจ็บป่วยเขาจะมาดูแลข้าหรือไม่ ครั้งนี้ข้าจะตัดสินใจหากเขาไม่มา ข้าจะถอนหมั้นกับเขา ยุติความสัมพันธ์ ยุติความรักที่ข้ามีต่อเขา ให้คนไปแจ้งแค่ว่าข้าป่วยก็พอ” นางเอ่ยขึ้นน้ำเสียงนั้นจะเบาบางลง
สีหน้าของนางติดกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าป่านนี้เขากับสตรีนางนั้นกำลังพลอดรักกันอยู่หรือไม่ เขาคงจะลืมไปแล้วกระมัง ว่านางเป็นคู่หมั้นของเขานะ หากเขาไม่มาจริงล่ะก็ นางจะเดินทางไปถามเขาด้วยตนเองว่า
‘ที่ผ่านมาท่านรักข้าบ้างหรือไม่’