Chapter 4 พิสูจน์ความรู้สึก

4179 Words
เช้านี้ฉันตื่นมาด้วยความเบิกบานขั้นสุดคงเพราะเมื่อคืนได้กวนประสาทพี่เธียร์ก่อนนอนหละมั้ง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินลงมาชั้นล่างก่อนจะเข้าไปหาแม่ในครัวแต่วันนี้ไม่เห็นป้าบัวอยู่ด้วย “แม่ค่ะวันนี้มีอะไรกินบ้างหนูหิวมากเลย แล้ววันนี้ป้าบัวไม่อยู่เหรอค่ะ?” ฉันเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวในห้องครัว “แม่ทำข้าวต้มกุ้งจ้ะ.... ป้าบัวออกไปซื้อผลไม้น่ะ วันนี้แม่มีออเดอร์เค้กช็อกโกแลตก็เลยจะแต่งหน้าด้วยผลไม้สดจ้ะ” แม่ตอบกลับมาก่อนจะยกชามข้าวต้มกุ้งมาวางตรงหน้าฉัน “หิวก็กินให้หมดด้วยนะลูกสาว” แล้วแม่ก็ยิ้มกว้างให้ฉัน “ขอบคุณค่ะ” ฉันเองก็ฉีกยิ้มกว้างกลับไป ฉันนั่งกินข้าวเช้าด้วยความใจเย็นก็ตอนนี้มันเพิ่งจะเจ็ดโมงเช้านี่นา ฉันมีเรียนตอนเก้าโมงครึ่งและจากบ้านกับมหาวิทลัยก็ไม่ได้ไกลกันมากนั่งรถไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่นั่งกินไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของใครบางคนที่กำลังพูดคุยกับป้าบัวดังขึ้นมาจากด้านหลังพร้อมกับร่างสูงของเขาที่เดินถือปิ่นโตเข้ามาด้วย “พี่เธีรย์...” ถึงกับหลุดเรียกชื่อเขาออกมาเบาๆ เลยทีเดียวเพราะสายตาที่มองมาของเขามันทำฉันขนลุก สายตานั่นมันบ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวอารมณ์ไม่ได้ดีสักเท่าไรคงเพราะเมื่อคืนนี้ฉันกวนเขาเอาไว้มาก “อ้าวเธียร์มาแต่เช้าเลยมีอะไรหรือป่าวจ้ะ แล้วนี่มากับป้าบัวได้ยังไงเนี้ย” แม่ฉันที่ได้ยินเสียงคนคุยกันก็หันไปมองด้วย “พอดีผมเจอป้าบัวที่หน้าบ้านน่ะครับ... คุณย่าให้เอากับข้าวมาฝากน่ะครับ” เขาหันไปหาแม่ฉันพร้อมกับรอยยิ้มหวานซึ่งต่างจากที่มองฉันเมื่อกี้มาก “ขอบใจมากจ้ะ” แม่ฉันรับปิ่นโตเถาเล็กจากมือของพี่เธียร์ไปก่อนจะเอาไปเปลี่ยนถ่ายอาหารออกแล้วให้ป้าบัวล้างทำความสะอาด ขณะที่แม่กับป้าบัวกำลังวุ่นอยู่กับการจัดการกับข้าวในปิ่นโตฉันที่นั่งอยู่เงียบๆ ก็ปรายสายตาไปมองพี่เธียร์ก่อนจะสะอึกออกมาเบาๆ เพราะเขามองฉันอยู่ก่อนแล้ว “มองอะไรค่ะ” คำถามชวนหาเรื่องมากฉัน “หึ!” เขาไม่พูดอะไรเพียงแต่แสยะยิ้มออกมาแล้วปรายตามองข้อมือของฉันไปด้วย พอเห็นท่าทางของเขาแบบนี้ฉันก็รีบชิ่งหนีทันที “แม่ค่ะเดี๋ยวหนูไปเรียนก่อนนะค่ะ” “อ้าวจะไปแล้วเหรอลูกไหนว่ามีเรียนตั้งเก้าโมงเช้าไง?” “เออ...พอดีนัดกับพวกมะนาวไว้อ่ะค่ะว่าจะคุยกันเรื่องรายงานด้วยค่ะ งั้นหนูไปก่อนนะค่ะ สวัสดีค่ะ” ว่าแล้วฉันก็หมุนตัวเตรียมเดินออกจากห้องครัวเดินผ่านหลังพี่เธียร์ไปแต่ก็ต้องหยุดเท้าไว้เพราะจู่ๆ มือหนาของเขาก็คว้าเข้าให้ที่ข้อมือของฉันก่อนจะจ้องหน้าฉันนิ่ง “ถ้างั้นผมขออนุญาติกลับก่อนนะครับ เรื่องปิ่นโตเดี๋ยวผมจะให้เด็กที่บ้านมาเอาทีหลัง” พี่เธียร์เอ่ยบอกกับแม่ฉันแต่เจ้าตัวกลับไม่รอฟังคำตอบก่อนจะลากแขนฉันออกมาหน้าบ้าน พอพ้นประตูบ้านออกมาเขาก็หยุดเดินแล้วหันมามองฉันนิ่งๆ “ไปเอามาใส่เดี๋ยวนี้!” ออกคำสั่งฉันเสียงเรียบและฉันก็รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไรเพราะถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ได้ใส่สร้อยข้อมือที่เขาซื้อมาฝากเลย สายตาดุดันจ้องหน้าฉันไม่วางตา “ไม่อยากใส่ค่ะ” ฉันตอบเขาออกไปแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น บอกตามตรงว่ากลัวสายตาของเขาอยู่เหมือนกัน “จะไปดีๆ หรือจะให้ลากขึ้นไปบนห้อง” “พี่เธียร!! ไอจะใส่หรือไม่ใส่มันก็เป็นสิทธิ์ของไอหรือเปล่าค่ะ พี่จะมายุ่งวุ่นวายทำไมเนี้ย” ฉันขมวดคิ้วมองหน้าเขาทันที รู้ว่าตัวเองกวนประสาทเขาอยู่และก็รู้ดีด้วยว่าเขาก็มองออกว่าฉันกำลังกวนอยู่ แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือทำไมเขาถึงได้จริงจังกับการใส่สร้อยข้อมือของฉันนักนะ “พี่จะนับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่ไปเอามาใส่พี่จะลากเราขึ้นไปบนห้องเดี๋ยวนี้แหละ!!” สายตาของเขาดูเอาจริงมาก “หนึ่ง สอง สะ.....” “โอ้ยยย นับซะเร็วเชียว!! ไอไปเอาก็ได้ค่ะ วุ่นวายนัก!!” ฉันบ่นพี่เธียร์ทันที ก็เขาเล่นนับซะเร็วเลยไม่เว้นช่องให้ฉันเลย ฉันเลยต้องรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องแล้วหยิบกล่องกำมะหยี่อันเล็กลงมาหาเขาที่หน้าบ้าน พอเห็นฉันถือกล่องสร้อยลงมาเจ้าตัวก็ยกยิ้มทันที “ยื่นแขนมา” ว่าแล้วเขาก็ดึงกล่องกำมะหยี่ไปเปิดออกแล้วหยิบสร้อยข้อมือสีเงินขึ้นมาใส่ให้ฉัน ตอนแรกฉันก็ไม่ยอมหรอกแต่พอเห็นสายตาของเขาก็เลยต้องยอม คนอะไรดุได้ตลอดเวลา ชิ!! “ทำไมถึงอยากให้ไอใส่นักค่ะ?” ฉันถามคำถามคาใจออกไปทันที ก่อนที่พี่เธียร์จะจ้องหน้าฉันนิ่งแล้วเอ่ยบางคำออกมาที่ทำเอาใจฉันพองฟูขึ้นมา “ตั้งใจซื้อมาให้ก็เลยอยากให้ใส่ติดตัวไว้... แล้วก็ห้ามทำหายด้วย” เขาว่าเสียงอ่อนลงจากก่อนหน้านี้มากพร้อมกับสายตาที่อธิบายไม่ถูกนั่นอีก ถ้าฉันไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป มันเหมือนกับว่าเขากำลังจะสื่ออะไรบางอย่างกับฉัน... “ไม่รับปากนะค่ะว่าจะหายหรือไม่หาย” ยกยิ้มกวนให้เขา ฉันเลือกที่จะกลบเกลื่อนความรู้สึกนี้แทน ไม่อยากจะแสดงออกให้เขาเห็นว่าฉันคิดอะไรกับเขาอยู่ แต่พี่เธียร์กลับส่งยิ้มมุมปากมาให้พร้อมกับส่ายหัวไปมาแล้วจับมือฉันเดินออกไปหน้าบ้านแทน “เดี๋ยวค่ะพี่เธียร์! จะพาไอไปไหนค่ะ?” เขาพาฉันมาหยุดยืนที่รถของเขาที่จอดอยู่หน้าบ้าน “ไปส่งเด็กไปเรียน” ว่าพร้อมกับยกยิ้มกวนมาให้ด้วย แต่ทำเอาฉันอ้าปากค้างเลย ฉันตามอารมณ์เขาไม่ทัน “ห๊ะ??” “ขึ้นรถ หรืออยากไปเรียนสาย!?” ว่าพร้อมกับเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับให้ฉันด้วยก่อนจะยัดฉันเข้าไปในรถ ฉันก็ยอมทำตามอย่างว่าง่ายพร้อมกับความงง ...มาไม้ไหนของเขาว่ะเนี้ย??... นั่งรถกันมาเงียบๆ ไม่นานก็ถึงมหาวิทยาลัยของฉัน พี่เธีรย์ขับตรงไปตึกคณะบริหารฯ ทันที ตอนแรกก็แอบสงสัยว่าเขารู้ได้ไงว่าฉันเรียนอยู่คณะนี้ แต่พอคิดได้ว่าพี่ธูร์อาจจะบอกเขาก็ได้ก็เลยเลือกที่จะไม่ถามคำถามนี้ออกไป “ถึงแล้วจะนั่งเอ๋ออีกนานไหม หรือว่าพี่ต้องพาขึ้นไปเรียนด้วย” เขาหันมาหาฉันที่กำลังนั่งประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ สมองของฉันทำงานหนักมากค่ะ ไม่เข้าใจการกระทำของเขาเลย “อ้อ ค่ะ... ขอบคุณนะค่ะที่มาส่ง” “เดี๋ยว” แต่ก่อนที่ฉันจะลงจากรถพี่เธียร์ก็ดึงมือของฉันไว้ก่อน เขาจ้องมองในตาฉันนิ่งแล้วเอ่ยบางคำออกมา บางคำที่ทำให้ใจฉันเต้นแรงมาก....มากซะจนกลัวเขาจะได้ยิน “พี่หวังว่าความรู้สึกของไอจะยังเหมือนเดิมนะ.....” ความรู้สึกที่ฉันไม่เคยบอกเขาไป หรือเขาจะรู้มันแล้ว??... ฉันนั่งนิ่งไปพักหนึ่งเลยก่อนจะเลือกเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน “รู้สึกอะไรค่ะ? ไม่ได้รู้สึกอะไรซะหน่อยแล้วก็ปล่อยได้แล้วค่ะไอจะไปเรียน” แล้วฉันก็แกะมือเขาออกจากข้อมือของตัวเองก่อนจะรีบลงจากรถไป หัวใจฉันตอนนี้เต้นแรงมาก กลัวว่าเขาจะรู้ความรู้สึกของตัวเอง ถึงมันจะเป็นความรู้สึกที่มีให้เขามานานแล้วแต่ฉันยังไม่พร้อมให้เขาได้รู้ตอนนี้เพราะฉันกลัว....กลัวว่าจะเจ็บมากไปกว่านี้ [ เธียร์ ] หลังจากที่ไอริณลงรถไปแล้วผมก็นั่งใช้ความคิดอยู่พักนึงก่อนจะขับรถออกไป ผมตรงไปที่ร้านกาแฟของผมกับไอ้ธูร์ทันที วันนี้มีนัดเก็บรายละเอียดที่ร้านนิดหน่อยก่อนที่จะเปิดร้านอาทิตย์หน้า... พอมาถึงก็ยังไม่เห็นใครมา ก็แน่สินี่มันยังไม่แปดโมงเลยด้วยซ้ำ ผมเดินเข้าไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์ก่อนจะคิดทบทวนคำพูดของไอริณเรื่องความรู้สึกของเธอ สิ่งที่ผมพูดกับเธอไปผมหมายความแบบนั้นจริงๆ... ผมอยากให้ความรู้สึกของเธอที่มีกับผมยังคงเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าน้องจะไม่เคยบอกมันตรงๆ กับผมก็ตาม แต่ที่ผ่านมาผมรับรู้มันมาตลอดนั่นแหละครับ แต่เจ้าตัวคงคิดว่าตัวเองเก็บความรู้สึกเก่งหละมั้งถึงได้ชอบทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้วสินะถึงจะง้างปากของเด็กดื้อได้ “พี่เธียร์...หวัดดีครับพี่ ทำไมมาเช้าจังครับ” นั่งคิดอะไรไปเพลินๆ จนได้ยินเสียงคนเอ่ยทักจึงต้องหันกลับไปมอง เป็นพวกทีมงานที่ผมจ้างมาทำร้านนี่แหละ จริงๆ ผมกับพวกนี้รู้จักกันผ่านไอ้เสือแล้วก็เคยไปนั่งดื่มด้วยกันบ่อยๆ ก่อนที่ผมกับไอ้ธูร์จะไปต่างประเทศ ผมเห็นว่ามันเปิดบริษัทออกแบบและรับเหมาก่อสร้างก็เลยจ้างมันมาจัดการเรื่องร้านให้ และผมก็คิดไม่ผิดเพราะงานที่ออกมาได้ดั่งใจผมกับไอ้ธูร์ทุกอย่าง “พอดีไปทำธุระมาตอนเช้า เสร็จแล้วก็เลยเลยมาที่ร้านเลย” ผมตอบมันไปสั้นๆ “อ้อ ครับ” จากนั้นพวกผมก็นั่งคุยงานกันเลยขี้เกียจรอไอ้ธูร์เพราะมันโทรมาบอกผมว่ามันเพิ่งออกจากบ้าน จริงๆ เมื่อเช้าผมหนีมันออกมาเพราะผมตั้งใจจะไปหาไอริณที่บ้านและตั้งใจจะไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัยก็เลยรีบออกจากบ้านแต่เช้าประจวบเหมาะกับว่าเห็นแม่บ้านกำลังเดินถือปิ่นโตไปทางบ้านของไอริณผมก็เลยอาสาเอาไปให้บ้านนั้นแทนซะเลย ก็เลยมีข้อแก้ตัวว่าทำไมผมถึงได้ไปบ้านของเธอเช้านัก ทุกอย่างมันผ่านการคิดคำนวนของผมมาหมดแล้ว หึๆ พอคุยงานกันเสร็จผมก็ยังอยู่ที่ร้านต่อเพราะจะรอดูช่างเก็บรายละเอียดด้วย นั่งรอไปเรื่อยก็เบื่อเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมส์แต่ก่อนจะเล่นผมก็เข้าไปเช็คโซเชียลนิดนึง กดเปิดเข้าไปในไอจีแล้วก็เลื่อนดูไปเรื่อยๆ ปกติผมไม่ค่อยได้อัพเดทมันสักเท่าไรนานๆ ทีจะเข้าไปดู แต่แล้วนิ้วที่เลื่อนหน้าจออยู่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะดันเลื่อนไปเห็นไอจีของไอริณที่มีเพื่อนของเธอแท็กรูปมาให้ ในรูปเป็นเธอกับเพื่อนๆ และก็มีไอ้ผู้ชายที่ชื่อวินอยู่ด้วย ผมนั่งมองอยู่พักนึงเลย ถามว่าโมโหไหม...ก็โมโหอยู่ครับแต่ว่าผมแยกแยะได้เพราะผมกับไอริณเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมไม่มีสิทธิ์หวง! เรื่องนั้นรู้ดีครับแต่เพราะผมยังเคลียร์ตัวเองไม่ชัวร์เลยยังไม่อยากทำอะไรไปมากกว่านี้ ช่วงนี้ก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปไปก่อนละกัน...... “ไงไอ้ลูกหมา หนีกูออกมาแต่เช้าเลยนะ” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร เสียงไอ้ธูร์ดังมาแต่ไกลเลยครับพร้อมกับก้าวขายาวๆ ของมันเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างผมพร้อมกับทำหน้านิ่งๆ เหมือนโกรธผมอ่ะ แต่ก็สมควรแหละเพราะเมื่อวานเราคุยกันว่าจะออกมาพร้อมกันแต่ผมดันหนีมาซะก่อน “อะไรของมึง” “หึ!” มันเค้นเสียงในลำคอแสยะยิ้มมองหน้าผม “เลิกทำท่าทางแบบนี้กูรำคาญ อยากถามอะไรก็ถามมา” ผมรู้ดีว่าท่าทางแบบนี้ของมันคืออะไร มันคงอยากรู้แหละว่าผมไปหาไอริณทำไมแต่เช้า ถึงมันจะไม่เห็นด้วยตาตัวเองแต่คนอย่างมันรู้ไปหมดซะทุกเรื่องแหละครับ “ถ้ารู้ว่ากูจะถามอะไรก็พูดมา” มันไม่ถามคำถามออกมาแต่ไอ้ที่พูดมาก็เหมือนถามนั่นแหละ “ไปหาไอมา แล้วก็ไปส่งที่มหาลัยมาด้วย แค่นั้น จบนะ!” ผมอธิบายให้มันฟังย่อๆ แต่มันกลับหรี่ตามองผม “มึงกับกูเป็นแฝดกันนะ คิดเหรอว่ากูจะเชื่อ?” นั่นไงครับ รู้ดีขึ้นมาเชียว พอเห็นท่าทางของมันผมก็ถึงกับผ่อนลมหายใจหนักๆ ออกมาเลย แล้วก็ต้องยอมเล่าให้มันฟัง “เออ!! กูก็แค่อยากพิสูจน์อะไรนิดหน่อยก็เลยต้องทำอะไรแบบนี้” “นิดหน่อยของมึงนี่แค่ไหน?” ว่าพลางยกยิ้มกวนมาให้ผมด้วย “รู้ดีอยู่แล้วอย่าเสือกกวนตีนกู” “เออ! ดีๆ ละกัน ต้อนมากๆ น้องกลัวหนีหายไปกูไม่รู้ด้วยนะ... แต่มึงนี่ก็จริงๆ เลยนะ ทนมาได้ตั้งหลายปีบทอยากจะรุกก็เสือกรุกเขาหนักเกิน กูเป็นน้องกูทำตัวไม่ถูกนะ อยู่ๆ มึงก็เปลี่ยนไป..แล้วอยู่ๆ ก็เปลี่ยนกลับมา มึงช่วยทำอะไรที่มันพอดีๆ ได้ไหม?” ไอ้ธูร์ร่ายยาวเลยแล้วก็จ้องหน้าผมนิ่งๆ “เรื่องของกู!!” แค่นั้นแหละครับแล้วพวกผมก็เลิกพูดกันต่อแล้วไอ้ธูร์มันก็มองหน้าผมยิ้มๆ จากนั้นพวกผมก็พากันเดินไปดูช่างแล้วก็พูดคุยเรื่องงานไปเรื่อย จนเวลาผ่านไปเกือบเที่ยงวันผมก็สั่งข้าวมาเลี้ยงทุกคน นั่งกินข้าวเที่ยงกันไปคุยกันไปจนอิ่มพวกพี่ช่างก็กลับไปทำงานกันต่อ ส่วนผมกับไอ้ธูร์เดินออกมานั่งที่โซฟาพร้อมกับมองไปรอบๆ ร้าน ตอนนี้ร้านของพวกผมเรียกได้ว่าเสร็จไปแล้วกว่า 99.99% เลยก็ว่าได้ นั่งภาคภูมิใจกันอยู่พักนึงแล้วหันมาหน้ากันก่อนจะยิ้มให้กันโดยไม่ได้พูดอะไร บางทีความเป็นฝาแฝดของพวกเราก็ทำให้เราสื่อสารอะไรกันได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ..... ช่วงบ่ายผมกับไอ้ธูร์ยังนั่งกันอยู่ที่ร้านครับเพราะวันนี้มีนัดสัมภาษณ์พนักงานในตำแหน่งต่างๆ ด้วย ร้านของพวกผมส่วนใหญ่เน้นเป็นพนักงานผู้ชายเพราะพวกผมตั้งใจให้มันออกมาแนวแมนๆ หน่อย ส่วนการตกแต่งร้านก็เลือกใช้โทนสีเข้มค่อนไปทางดำ น้ำตาลเข้มซะส่วนใหญ่รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ด้วย บวกกับสไตล์ของร้านออกแนวปูนเปลือยกำแพงอิฐอะไรประมาณนั้นดูเท่ๆ ให้อารมณ์สุขุมนุ่มลึกเหมือนกับกาแฟเข้มๆ แก้วหนึ่ง ฮ่าๆ... ก็นั่นแหละครับมันเป็นแนวของพวกผม... [ ไอริณ ] เลิกเรียน..... หลังจากผ่านคลาสที่สุดแสนจะทรหดมาอย่างยาวนาน ช่วงบ่ายไม่มีเรียนพวกเราก็เลยพากันมานั่งคุยกันอยู่แถวๆ ลานกิจกรรมของคณะ จะว่ามาคุยกันก็ไม่ได้เพราะดูเหมือนพวกเพื่อนของฉันมันลากฉันมานั่งเพื่อสอบสวนเรื่องของฉันกับพี่แฝดซะมากกว่า ก็พวกมันเล่นจ้องหน้าฉันเขม็งเลยน่ะสิ เมื่อเช้าฉันอุตส่าห์เลี่ยงไม่ตอบคำถามพวกมันแล้วนะแต่ตอนนี้คงไม่รอดแล้วหละ เฮ่ออออ.... ถึงกับถอนหายใจพรืดใหญ่ออกมาเลยทีเดียว “ว่าไง!! บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าคืนนั้นผู้ชายฝาแฝดรูปหล่อเขาเป็นใคร แล้วทำไมถึงได้ลากแกกลับบ้านไปด้วย??” มะนาวเปิดประเด็ดโดยการยิ่งคำถามใส่ฉันทันที “ก็บอกแล้วไงว่าคนรู้จัก” “คิดว่าพวกฉันจะเชื่อไหมไอริณ??” หน้าตาของมะนาวตอนนี้จริงจังเชียว “เออๆ บอกก็ได้ พวกพี่เขาเป็นพี่ชายข้างบ้านน่ะ อยู่บ้านติดกัน รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแต่เมื่อหกปีที่แล้วพวกเขาไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วก็เพิ่งกลับมาวันนั้นนั่นแหละ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาวันนั้นเพราะเขาบอกว่าจะกลับอาทิตย์หน้า ฉันก็ตกใจเหมือนกันที่เจอพวกเขาอ่ะ” ฉันก็อธิบายให้มะนาวมันฟังส่วนแพรดาวมันเป็นผู้ฟังที่ดีนั่งฟังนิ่งๆ ไม่พูดอะไร “แค่นั้นแน่นะ? ไม่ได้คิดอะไรกับพี่เขาแน่นะ??” มะนาวหรี่ตามองฉัน “ก็เคยคิดแต่....” “นั่นไงว่าแล้ว!! ฉันว่าแล้วฉันมองไม่ผิดเพราะคืนนั้นเมิงดูอึ้งมากแถมยอมให้เขาลากออกจากร้านได้ง่ายมาก... ว่าแต่ชอบคนไหนว่ะ?” น้ำเสียงท้ายประโยคของมะนาวออกแนวแซวฉันมากกว่า ฉันเองก็ได้แต่ส่ายหัวให้มันไป “อย่ารู้เลย เรื่องมันจบไปแล้ว... จบตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ” พูดมาถึงตรงนี้ฉันก็รู้สึกแปล๊บๆ ในใจขึ้นมา “ยังไม่เริ่มก็ยอมแพ้ซะแล้วเหรอ??!!” มะนาวพอฟังฉันพูดจบมันก็ลุกขึ้นยืนจ้องหน้าฉันเขม็งเลย ทำเอานักศึกษาที่นั่งอยู่บริเวณนั้นหันมามองเป็นตาเดียวเลย “เบาๆ สิมะนาว คนอื่นมองหมดแล้ว” ฉันรีบดึงแขนมันให้นั่งลงที่เดิมก่อนจะหันไปมองแพรดาวเพื่อขอความช่วยเหลือจากมัน แต่แพรดาวกลับยิ้มส่งมาให้เท่านั้น ...ช่วยไม่ได้หรือไม่คิดจะช่วยว่ะ เฮ่ออออ... “เออ!! แล้วสรุปแกชอบใคร บอกมาเลยนะอย่าให้ต้องไปสืบเอง” มะนาวกดเสียงต่ำคาดคั้นกันสุดๆ ไปเลย “คือ....” “น้องไอครับ” เสียงพี่วินช่วยชีวิต... ก่อนจะได้ตอบมะนาวจู่ๆ เสียงพี่วินก็ดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับร่างสูงของเขาที่เดินเข้ามาหาพวกเราแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ฉัน “ค่ะ... พี่วินมีอะไรหรือเปล่าค่ะ?” ฉันขยับห่างจากเขามานิดหน่อยแล้วยิ้มถามเขากลับไป ตอนนี้ฉันยังจำคำที่แม่บอกได้เสมอว่าถ้าไม่ชอบเขาก็ให้ปฏิเสธเขาไปตรงๆ เพราะการเจ็บปวดกับความรักน่ะมันไม่สนุก.... แต่ฉันไม่รู้จะเริ่มพูดกับพี่วินยังไงดีเพราะเจ้าตัวเขาก็ไม่เคยพูดว่าชอบฉันสักครั้งแม้ว่าการกระทำจะไม่ใช่ก็เถอะ เฮ่อออ...เหนื่อยใจชะมัด “เปล่าครับแค่อยากเจอหน้า” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มส่งมาให้ฉัน “ค่ะ” แล้วจะให้ฉันทำยังไงหละนอกจากยิ้มแหย่ๆ ให้เขาไป ทำเอามะนาวกับแพรดาวส่ายหัวไปมาทันที เพราะสองคนนี้มันรู้ดีว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่วิน “ว่าแต่นี่เลิกเรียนกันแล้วเหรอครับ? หรือว่ามีเรียนช่วงบ่ายต่อ” “เลิกแล้วค่ะแต่ว่ามีเรื่องคุยกันนิดหน่อย นี่ก็ว่าจะกลับกันแล้วค่ะ” ฉันตอบกลับเขาไป “งั้นดีเลย พี่ขอไปส่งที่บ้านได้ไหมครับ พอดีพี่ต้องเข้าไปเอาเค้กที่สั่งไว้ด้วยน่ะครับ” รอยยิ้มพริมใจถูกส่งมาให้ฉันอีกแล้ว ฉันปรายตาไปทางเพื่อนสนิททั้งสองคนเพื่อขอความช่วยเหลือแต่ก่อนที่พวกมันจะได้พูดอะไรเสียงขององศาก็ดังขัดขึ้นมาซะก่อนพร้อมกับเดินมาหยุดยืนข้างๆ ฉันด้วย “พี่ไอกลับบ้านครับ” “ห๊ะ???” ฉันเงยหน้ามององศาพร้อมกับเครื่องหมายคำถามเต็มใบหน้า งงกับมันจู่ๆ มาชวนกลับบ้าน “งงอะไรหละ? เร็ว! ผมมีธุระต้องไปทำต่อ” ว่าแล้วมันก็จับแขนฉันให้ลุกขึ้นฉันเองก็ลุกตามมันไปแบบงงๆ โดนองศาลากมาจนถึงรถของมันก่อนที่ฉันจะสะบัดแขนออกจากฝามือหนาของคนตรงหน้าพร้อมกับกอดอกมองหน้ามันไปด้วยอย่างต้องการคำอธิบาย “ไม่ต้องมามองหน้าผมแบบนี้เลย พี่ต้องขอบคุณผมนะที่ผมเข้าไปช่วยอ่ะ ไม่งั้นคงได้กลับกับพี่วินอีกอ่ะ มา!...มาขอบคุณน้องชายคนนี้ซะดีๆ” มันว่าขำๆ ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร “ทะลึ่งละไอ้องศา!!” ด่ามันแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก “ฮ่าๆ” “แล้วนี่รู้ได้ไงว่าฉันกำลังลำบากใจอยู่กับพี่วิน” “ก็เห็นนั่งกันอยู่นานแล้วเลยเดินเข้าไปหาก็เลยได้ยินที่พูดกัน แล้วพี่เองก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมก็เลยเข้าไปช่วย ก็แค่นั้น” พูดพลางยักไหล่ด้วยท่าทางสบายๆ ไปด้วย “เออ ยังไงก็ขอบใจก็แล้วกัน เฮ่อออ....” ฉันพูดกับองศาก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ ยืนพิงรถมันไปด้วย “อะไร? ถอนหายใจซะเฮือกใหญ่ ถ้าไม่ชอบเขาก็แค่ปฏิเสธไป เรื่องง่ายๆ แค่นี้เองทำไมพี่ต้องคิดมากด้วย” องศาย่นคิ้วเข้าหากันพลางจ้องหน้าฉันนิ่ง “ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ” ฉันว่าพลางมองเลยไปยังพี่วินที่ตอนนี้เขาเดินกลับไปทางรถของตัวเองแล้ว ท่าทางดูหงอยน่าดูเลย ฉันเข้าใจเขานะว่าการที่เราชอบใครสักคนแต่ว่าคนคนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรกับเรามันเจ็บมากแค่ไหน.... เพราะฉันก็เผชิญมันอยู่ทุกวัน...... สรุปวันนี้องศาก็ขับรถมาส่งฉันที่บ้านแถมก่อนกลับมันยังย้ำให้ฉันคิดให้ดีๆ เรื่องของพี่วินไม่ควรยื้อไปนานกว่านี้เพราะมันจะทำร้ายกันเปล่าๆ ...สรุปมันเป็นน้องหรือเป็นพี่ฉันก็ไม่รู้... ฉันเดินเข้ามาในบ้านก็ไม่เห็นใครทั้งแม่ทั้งป้าบัวไม่รู้หายไปไหนกันหมด เลยหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาแม่ รอสายไม่นานแม่ก็รับสาย “(ว่าไงลูก?)” “แม่กับป้าบัวไปไหนกันเหรอค่ะ หนูกลับมาไม่เจอใครสักคนเลย” “(อ้อ แม่เอาเค้กมาส่งลูกค้าน่ะจ้ะ คนที่ชื่อวินไงเห็นตอนแรกเขาว่าจะมาเอาที่บ้านแต่ก็โทรมาบอกแม่อีกทีว่ามาไม่ได้แล้วขอให้แม่เอาไปส่งที่บ้านเขาน่ะ เสร็จธุระแม่ก็เลยไปซื้ออุปกรณ์ทำขนมกับป้าบัวน่ะจ้ะ ตอนนี้กำลังจะกลับแล้ว หนูอยากจะกินอะไรไหมเดี๋ยวแม่จะซื้อเข้าไปให้?)” พอฟังแม่พูดจบฉันก็นิ่งไปเลย ฉันควรทำอะไรสักอย่างจริงๆ แล้วสินะเรื่องของพี่วินน่ะ ไม่อยากทำให้เขาเสียใจ “ค่ะ... ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวหนูรออยู่ที่บ้านนะค่ะ” “(จ้ะ)” แล้วแม่ก็วางสายไป ฉันทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟากลางบ้านก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางยกข้อมือข้างที่มีสร้อยสีเงินสวมอยู่ขึ้นมาดู มองมันนิ่งๆ อยู่สักพัก “ไอควรทำยังไงดีค่ะทั้งเรื่องของพี่วินทั้งเรื่องของพี่น่ะ ....พี่เธียร์” เสียงหวานพึมพำกับตัวเองแล้วล้มตัวนอนลงบนโซฟากว้างกลางบ้านก่อนจะปิดเปลือกตาลงแล้วหลับไปในเวลาต่อมา โดยที่การกระทำของไอริณทั้งหมดมันอยู่ในสายตาของใครอีกคน เธียร์ยืนมองเงียบๆ อยู่หน้าประตูบ้านก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเพราะตอนนี้เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าผู้หญิงตรงหน้ายังรักษาความรู้สึกที่มีให้กับเขาไว้เป็นอย่างดี ทีนี้มันก็อยู่ที่เขาแล้วว่าจะทำยังไงให้เธอยอมพูดมันออกมา.........
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD