[ เธียร์ ]....
หลังจากกลับมาจากร้านเหล้าของเพื่อน ผมก็เดินเข้าบ้านทันทีแต่ยังไม่ทันจะได้เดินขึ้นห้องเสียงไอ้ธูร์ก็เรียกให้ผมต้องหยุดเดินซะก่อน
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอว่ะ” ผมหันไปมองพี่ชายฝาแฝดของตัวที่ตอนนี้มันยืนล้วงกระเป๋ามองหน้าผมนิ่งๆ อยู่กลางบ้าน
“ใจร้ายอะไรของมึง”
“ก็เรื่องไอริณน่ะ ตลอดหกปีที่ผ่านมามึงตัดขาดการติดต่อกับน้องทุกอย่างพอวันนี้กลับมามึงก็เป็นแบบนี้อีก หกปีมันยังไม่พออีกเหรอว่ะ?” ผมนิ่งไปกับคำพูดของไอ้ธูร์ แต่ที่มันพูดก็ถูกครับเพราะตลอดเวลาหกปีที่ผ่านมาผมตัดขาดการติดต่อกับไอริณจริง มันอาจจะดูใจร้ายไปซะหน่อยแต่ผมก็มีเหตุผลของผม ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าน้องคิดยังไงกับผมแต่เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าผมยังไม่พร้อมที่จะก้าวเข้าไปในชีวิตของน้อง
“เรื่องของกู” ผมว่าพลางหมุนตัวเดินขึ้นบันไดแต่ก็ต้องชะงักเท้าไว้อีกครั้งเพราะคำพูดของไอ้ธูร์
“เล่นตัวมาก หมาคาบไปแดกแล้วอย่ามานั่งให้กูปลอบก็แล้วกัน” ผมยักไหล่ให้มันทีหนึ่งแล้วเดินกลับขึ้นห้องนอน
มาถึงห้องผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างพร้อมกับผ่อนลมหายใจหนักๆ ออกมาพลางนึกย้อนไปถึงเมื่อหกปีก่อน ตอนที่พวกผมกำลังจะไปเรียนต่อ...
‘มึงจะไม่ไปบอกลาน้องหน่อยเหรอ’ ไอ้ธูร์เดินเข้ามาหาผมในห้องที่กำลังจัดกระเป๋าเดินทางอยู่
‘ไม่หละ กูไม่อยากเห็นเด็กหน้าหงอย’ ปากพูดแต่มือก็เก็บของไปด้วย
‘คงไม่หงอยไปมากกว่านี้อีกแล้วมั้ง ตั้งแต่รู้เรื่องที่มึงคบกับเมย์น้องก็เงียบๆ ไปเลยนะ ตอนนี้มึงกับเมย์จบกันแล้วไม่คิดจะบอกน้องหน่อยเหรอว่ะ?’
‘เดี๋ยวก็รู้เองเปล่าว่ะ ตอนกูคบกับเมย์ยังรู้เองเลย แล้วมึงก็เลิกพูดมาก... กูจะเก็บของ!’
‘เออ! ถ้างั้นกูไปหาน้องก่อนละกัน เปลี่ยนใจเมื่อไรก็ตามมานะไอ้น้องชาย’ มันว่ายิ้มขำๆ แล้วเดินลอยหน้าออกจากห้องของผมไป ผมมองตามหลังมันไปก่อนจะหันมาเก็บของต่อพร้อมกับหยิบของบางอย่างขึ้นมาดูด้วย มันเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่มีชื่อของผมปักษ์ไว้ตรงมุม มันเป็นของขวัญวันเกิดปีล่าสุดของผมที่ไอริณมอบให้แต่ไอ้ธูร์มันได้เป็นอย่างอื่นแต่มันไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไร นั่งมองอยู่สักพักผมก็เก็บมันไว้ที่เดิม...
‘แล้วเจอกันนะ....ไอริณ’ คำพูดแสนแผ่วเบาเหมือนคำลาหลุดออกมาจากปากของผมก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำ... คืนนั้นผมไม่ได้ก้าวออกไปที่ระเบียงห้องเลยเพราะรู้ดีว่าถ้าออกไปคงเจอกับเธอแน่นอน เพราะเธอมักจะออกมายืนรับลมตอนกลางคืนเหมือนกับผมและพวกเราก็มักจะคุยกันผ่านความเงียบยามค่ำคืนอยู่ตรงระเบียงห้องของตัวเองเสมอ รอยยิ้มสดใสกับแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมักถูกส่งมาให้ผมเสมอ...
ตลอดเวลาที่อยู่ต่างประเทศก็ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเธอหรอกนะครับ ผมรู้ทุกเรื่อง ไอ้ธูร์เองก็เหมือนกันเพราะมันเป็นคนเดียวที่ติดต่อกับไอริณอยู่ตลอด คอยอัพเดทให้น้องรู้เรื่องราวของพวกผมอยู่ตลอดเวลา แต่เรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดจนต้องเปลี่ยนแผนเดินทางกลับไทยเร็วขึ้นก็คงเพราะเรื่องของไอริณนั่นแหละครับที่ตอนนี้เหมือนเจ้าตัวจะมีผู้ชายเข้ามาติดพันธ์อยู่คนหนึ่งและดูท่าทางหมอนั่นก็จริงจังมากด้วยผมจึงต้องรีบกลับมาจัดการ ถึงแม้ว่าความรู้สึกของผมจะยังไม่เคลียร์สักเท่าไร...แต่ผมก็ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับเธอ ยัยเด็กนั่นยิ่งโตก็ยิ่งสวยซะด้วยสิ...คิดแล้วก็น่าโมโห
ผมยันตัวลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับถอนหายใจหนักๆ ออกมา หลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดกับน้องยังไงดีเพราะดันเผลอทำตัวเย็นชาใส่น้องไปซะแล้ว... ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่สักพักก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวนอน แต่สายตากลับสะดุดเข้ากับกล่องสี่เหลี่ยมกำมะหยี่สีกรมอันเล็กที่ผมตั้งใจซื้อมาฝากเธอ แต่ไม่รู้จะเหมือนกันว่าจะเอาไปให้เธอยังไงดี ก็ดันเล่นใหญ่ไว้ซะขนาดนั้นนี่นา แถมเจ้าตัวยังพูดเหมือนน้อยใจอีกตอนที่นั่งรถมาด้วยกัน เฮ่ออออ.... คงทำได้แค่ถอนหายใจแหละตอนนี้
ผมเดินเช็ดผมที่เปียกชื้นแล้วก้าวขาออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงห้อง จริงๆ ก็ตั้งใจจะไปยืนตรงนั้นนั่นแหละครับ เพราะอยากเจอใครบางคนก่อนนอน ยืนอยู่สักพักประตูหลังห้องของบ้านข้างๆ ก็เปิดออกพร้อมกับร่างเล็กของคนที่ผมอยากเจอก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่เหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังเช็ดผมอยู่ ใบหน้าหวานหันมาทางผมก่อนจะนิ่งไปเหมือนกับว่าเธอตกใจ ไอริณยืนนิ่งไปพักนึงโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ผมเองก็เหมือนกัน ถ้าเป็นก่อนหน้าเมื่อหกปีก่อนเธอคงจะตะโกนทักผมมาแล้ว ก่อนที่เธอจะหมุนตัวกลับเข้าห้องไป แต่เพียงเท่านี้ผมก็โอเคแล้วครับ...
เช้าวันต่อมา...
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ผมต้องฝืนงัดตัวเองตื่นเช้าเพราะคุณย่าให้คนมาปลุก ก็ตั้งแต่กลับมาผมกับไอ้ธูร์ยังไม่ได้เจอหน้าคุณย่าเลยเพราะกว่าที่พวกผมจะตื่นก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้ว เรียกได้ว่านอนกลางวันตื่นกลางคืน ซึ่งมันสวนทางกับเวลาของคุณย่าน่ะสิครับ
“ได้เจอหน้าสักทีนะเจ้าตัวดี!” ทันทีที่ผมกับไอ้ธูร์เดินมานั่งรวมที่โต๊ะกินข้าวกลางบ้านเสียงประมุขของบ้านก็ดังขึ้นเหมือนประชดประชันพวกผมอยู่
“คิดถึงจังเลยครับ” ไอ้ธูร์เดินเข้าไปสวมกอดคุณย่าทันทีผมเองก็ได้แต่ยิ้มๆ แล้วเดินไปนั่งข้างๆ ท่านแทน เรื่องเอาใจใครเนี้ยผมไม่ค่อยถนัดก็เลยยกหน้าที่ง้อคุณย่าให้เป็นของไอ้ธูร์ไป
“ไม่ต้องมาประจบเลย นี่ถ้าย่าไม่ใช้คนไปปลุกก็ไม่คิดจะลงมาเจอย่ากันเลยใช่ไหม หึ! หายกันไปตั้งหกปีไม่เคยคิดจะกลับมาเยี่ยมย่ากับพ่อบ้างเลยหรือไง”
“ขอโทษครับ พวกผมแค่ยังปรับเวลากันไม่ได้น่ะครับ” ผมว่ายิ้มๆ
“อย่างอนเลยนะครับคนสวยของพวกผม” ไอ้ธูร์ง้อหนักมาก ก่อนที่คุณย่าจะหลุดขำออกมาพร้อมกับขยี้ผมมันด้วย แล้วมันก็เดินไปนั่งข้างคุณย่าแต่คนละฝั่งกับผม
“โผล่หัวมากันแล้วเหรอ!!” เสียงทุ้มต่ำของใครบางคนดังขึ้นมาจากด้านหลังของผม แต่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร
“สวัสดีครับพ่อ” พวกผมเอ่ยทักท่านพร้อมกันแต่กลับได้สายตาดุกลับมาแทน พ่อเองก็เป็นอีกคนที่พวกผมเพิ่งจะได้เจอ
“อือ.. แล้วนี่กลับมากันแค่สองคนใช่ไหม? ไม่ใช่พาเมียกลับมาด้วยนะ เห็นรีบกลับก่อนกำหนด” พ่อว่าพลางนั่งลงข้างๆ ผม พร้อมกับปรายตามองพวกผมสองคนไปด้วย
“เมียน่ะไม่มีครับ แต่หญิงน่ะไม่เถียงเพราะลูกพ่อหล่อ” ไอ้ธูร์ว่ายิ้มๆ ผมเองก็ยิ้มไปกับมันด้วย ผมยอมรับครับว่าตัวเองไม่ใช่คนดีอะไร ระหว่างที่อยู่ที่นู่นก็มีบ้างที่เที่ยวเตร่ตามประสาวัยรุ่นแต่ก็ไม่ได้คบใครเป็นตัวเป็นตนหรือมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับใคร แค่ควงๆ จบที่เตียงแล้วก็แยกย้าย
“ไอ้ลูกเวร” สิ้นเสียงของพ่อพวกผมก็พากันหัวเราะแต่เหมือนจะมีแค่คนเดียวที่หัวเราะไม่ออกกับบทสนทนานี้
“พอ! เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” เสียงคุณย่าดังขึ้นแทรกบทสนทนาระหว่างพวกผมกับพ่อพร้อมกับสายตาดุๆ ของท่าน ทำเอาผู้ชายสามคนในบ้านเงียบกริบทันที ถึงพ่อของผมจะเป็นคนดุและเข้มงวดกับพวกผมแต่ท่านก็ยังเกรงใจคุณย่าอยู่มากเลยหละครับ
จากนั้นพวกเราก็เริ่มทานข้าวเช้ากันและพ่อกับคุณย่าก็ถามไถ่เรื่องระหว่างที่พวกผมอยู่ที่ต่างประเทศไปด้วย ก่อนที่พ่อจะถามขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“พวกแกพร้อมที่จะเข้าไปเริ่มงานที่บริษัทเมื่อไร?” สิ้นเสียงของพ่อ ผมกับไอ้ธูร์มองหน้ากันทันที จริงอยู่ที่พวกผมเรียนจบปริญญาโทแล้วแต่พวกผมยังไม่พร้อมที่จะเริ่มงานในบริษัทของพ่อตอนนี้ ยังอยากใช้ชีวิตอิสระกันอีกสักหน่อย และพวกผมก็มีเป้าหมายที่อยากทำด้วยกันด้วยครับ... ตอนนี้พวกผมกำลังจะเปิดร้านกาแฟกันครับ เป็นคาเฟ่เล็กๆ และอาจจะมีเมนูอาหารทานเล่นนิดหน่อยพร้อมกับขนมหวานด้วย พวกผมดูทำเลไว้แล้วตั้งแต่ตอนยังอยู่ต่างประเทศแล้วก็จัดการทุกอย่างผ่านเพื่อนของผม ตอนนี้ร้านก็ใกล้จะเสร็จแล้วจะเหลือก็แค่เก็บรายละเอียดอีกนิดหน่อย
“อีกสักพักครับ” ผมตอบท่านไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มันก็ทำให้พ่อวางช้อนกินข้าวลงทันที
“นานแค่ไหน?” ท่านเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ตอนนี้พวกผมมีอะไรที่อยากทำอยู่น่ะครับ แต่พวกผมสัญญาครับว่าจะเข้าไปช่วยงานพ่อให้เร็วที่สุด” เป็นไอ้ธูร์ที่อธิบายให้พ่อฟัง พ่อไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่ผ่อนลมหายใจหนักๆ ออกมาแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องอาหารไปแต่ก่อนจะไปยังหันกลับมาพูดกับพวกผมด้วยประโยคที่ทำเอาผมนิ่งไปเลย
“เฮ่ออ... ฉันเลี้ยงพวกแกได้แต่ตัวจริงๆ สินะ แต่ก็เอาเถอะ...เพราะอย่างน้อยพวกแกก็ยังคิดที่จะมาช่วยฉันอยู่บ้าง แล้วก็เธียร์...อย่าลืมสัญญาที่เคยให้ไว้กันพ่อหละ”
“ครับ” ผมตอบท่านไปแค่นั้น แล้วพ่อก็เดินออกจากบ้านไป ผมมองตามหลังของพ่อไปจนลับสายตาก่อนจะหันกลับมายังโต๊ะกินข้าวอีกครั้งแต่ก็ต้องชะงักเพราะสายตาอีกสองคู่ที่จ้องมองมาเหมือนต้องการคำอธิบาย แต่ผมยังไม่พร้อมจะบอกใคร
“มองผมทำไมครับ”
“ไปสัญญาอะไรกับพ่อเราไว้” คุณย่าว่าพลางหรี่ตามองผมเหมือนจับผิด
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็รีบหนีออกมาก่อน ขี้เกียจอยู่ตอบคำถามของท่าน ไอ้ธูร์เองก็เดินตามหลังมาติดๆ เหมือนกัน ก่อนที่ผมจะเดินเข้าห้องนอนแต่มันก็ยังตามมาอีกพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของผมด้วยทำเหมือนกับว่าที่นี่เป็นห้องของมัน
“จะตามมาถามกูอีกคนหละสิ” ผมพูดดักมันไว้ก่อนเพราะรู้ว่ามันคงอยากจะรู้เหมือนคุณย่านั่นแหละ
“เปล่า เรื่องที่มึงไม่อยากบอกกูก็ไม่อยากรู้ แค่จะมาชวนไปหาน้อง กูจะเอาของฝากไปให้น้อง”
“มึงไปคนเดียวเหอะ กูไม่ได้ซื้ออะไรมาฝาก”
“แล้วไอ้กล่องนั่นน่ะมันอะไร” มันว่าพลางยันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมองไปยังกล่องกำมะหยี่อันเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงของผมพร้อมกับรอยยิ้มกวนๆ ของมัน
“รู้ดี!” ผมด่ามันไปทีหนึ่ง มันเองก็หัวเราะในลำคอก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วตั้งท่าจะเดินออกไป ก่อนจะหันมามองผมอีกครั้ง
“ถ้ามึงยังดึงเกมส์อยู่แบบนี้ มึงอาจจะไม่ได้คุยกับน้องอีกเลยนะ มึงรู้ใช่ไหมว่าหกปีที่ผ่านมามันนานเกินพอแล้ว” มันพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วเดินออกไป ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงปิดประตูของห้องมัน.... ผมนิ่งไปพักนึงเลยกับคำพูดของไอ้ธูร์ก่อนจะเดินไปหยิบของที่ตั้งใจซื้อมาแล้วยัดใส่กระเป๋าจากนั้นก็เดินลงไปด้านล่าง... ยืนรอไอ้ธูร์อยู่นานมากไม่รู้มันมัวทำอะไรอยู่เหมือนมันแกล้งผมอ่ะ ก่อนจะเห็นมันเดินถือถุงกระดาษสีขาวลงมา ท่าทางสบายๆ พร้อมกับรอยยิ้มแสนกวนของมัน
“ไหนว่าไม่ไป” ว่าพร้อมกับยกคิ้วถามผม
“หึ!” แค่นั้นครับ
“คิดว่าจะแน่ไอ้ลูกหมา” ไอ้ธูร์ด่าผมยิ้มๆ
“งั้นมึงก็หมาด้วยสินะ เพราะมึงเป็นพี่กู” แล้วผมก็เดินนำหน้ามันออกมาจากบ้านเลย ขี้เกียจเถียงกับมันต่อ
พวกผมเดินพ้นออกมาจากรั้วบ้านก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังข้างๆ ที่คุ้นเคย ...นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้... แต่ก่อนที่จะกดกริ่งก็เห็นใครบางคนเดินออกมาจากบ้านพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งมันเป็นผู้ชายคนเดียวกับที่ผมเห็นเมื่อวานตอนเช้า และเป็นคนเดียวกันกับคนที่ทำให้ผมต้องรีบกลับมาไทย ผมยืนนิ่งๆ มองสองคนตรงหน้าที่กำลังคุยกันอยู่
“ใจเย็นไว้” ไอ้ธูร์พูดขึ้นมาเสียงเบาๆ พร้อมรอยยิ้มกวนตีนของมัน
“หึ!” ผมแสยะยิ้มออกมา จากนั้นไอ้ธูร์ก็ยื่นมือไปกดกริ่งหน้าบ้านทั้งๆ ที่เจ้าของบ้านก็ยืนอยู่ไม่ไกล ไม่เข้าใจมันเหมือนกันว่าทำไมไม่เรียกเอา
“พี่ธูร์!.... พี่เธียร์...” ไอริณหันมามองทางหน้าบ้านก่อนที่เสียงหวานจะตะโกนเรียกชื่อพวกผม แต่ชื่อผมนั้นกลับแผ่วเบามาก พร้อมกับสีหน้าที่เจื่อนไปของน้อง ก่อนจะเดินเข้ามาเปิดประตูรั้วให้พวกผม ผู้ชายคนนั้นก็เดินตามมาด้วย
“สวัสดีค่ะ มาหาไอแต่เช้าเลยมีอะไรหรือเปล่าค่ะ” ไอริณถามไอ้ธูร์โดยที่ไม่มองหน้าผมเลย ซึ่งต่างจากไอ้คนที่ยืนข้างๆ เธอที่เอาแต่มองหน้าพวกผมสลับกันไปมาและเหมือนไอริณจะรู้ว่าแขกของเธอกำลังมีคำถามอยู่ในหัว
“เออ พี่วินคะ...นี่พี่ธูร์กับพี่เธียร์ค่ะ พี่ชายที่อยู่บ้านข้างๆ ของไอเอง... แล้วก็พวกพี่ค่ะ... นี่พี่วินค่ะ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของไอค่ะ” แนะนำตัวให้พวกผมเสร็จสรรพ หมอนี่มันยิ้มให้พวกผมแต่พวกผมก็ทำแค่ยิ้มบางๆ กลับไป จากนั้นหมอนี่มันก็ละสายตาจากพวกผมก่อนจะหันไปพูดกับไอริณ
“ถ้างั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะครับ เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
“ค่ะ ขับรถกลับดีๆ นะค่ะ” ยิ้มกว้างเชียว
ไอริณเดินไปส่งแขกที่รถที่จอดอยู่เยื้องๆ หน้าบ้านออกไป ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในเขตรั้วบ้านแล้วมาหยุดยืนตรงหน้าพวกผม ก่อนที่น้องจะเชิญพวกผมเข้าบ้าน.... ไอ้ธูร์กับไอริณพูดคุยกันตลอดเวลา ไม่รู้หาเรื่องอะไรมาคุยกัน ส่วนผมก็เดินตามหลังสองคนนั้นไปเงียบๆ พอเข้ามาในบ้านเธอก็พาเดินไปหาแม่ของเธอที่กำลังวุ่นอยู่ในครัวกับป้าบัวแม่บ้านของเธอ
“แม่ค่ะป้าบัวค่ะ ดูสิค่ะว่าใครมา” เสียงหวานเอ่ยบอกผู้เป็นแม่ ก่อนที่น้ากิ่งแม่ของเธอจะหันมาแล้วยิ้มกว้างให้พวกผมทันทีที่เห็น หน้าตาของท่านดูตื่นเต้นเอามากๆ
“ธูร์ เธียร์... กลับมาตั้งแต่เมื่อไรลูก” ยิ้มกว้างพร้อมกับเดินเข้ามาหาพวกผม
“สวัสดีครับน้ากิ่ง สวัสดีครับป้าบัว” พวกผมไหว้ท่านทั้งสองคนพร้อมกัน ถึงป้าบัวจะเป็นแม่บ้านแต่ท่านก็เหมือนเป็นคนในครอบครัวของไอริณเพราะน้ากิ่งกับไอริณแล้วก็ป้าบัวอยู่ด้วยกันมานานมากแถมยังสนิทกันมากๆ ด้วย
“กลับมาตั้งแต่วันศุกร์แล้วครับ นี่ก็แวะเอาของฝากมาให้ครับ” ไอ้ธูร์เอ่ยออกไปพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่มันจะยื่นถุงกระดาษสีขาวสองถุงไปให้น้ากิ่งกับป้าบัว พวกท่านก็รับไปพร้อมรอยยิ้มและคำขอบคุณ
“แล้วทานข้าวเช้ามากันหรือยังจ้ะ วันนี้น้าทำแกงจืดหมูสับด้วยนะ ของโปรดของเธียร์นี่ใช่ไหมจ้ะ?” เสียงของน้ากิ่งถามออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“พวกผมทานมาแล้วครับ โดนคุณย่าปลุกให้มาทานด้วยกันแต่เช้า” ผมว่ายิ้มๆ น้ากิ่งเองก็ยิ้มขำๆ เหมือนกันเพราะท่านรู้จักคุณย่าของผมดีว่าเป็นคนยังไง
“ถ้างั้นหนูพาพี่ๆ เขาไปนั่งที่โต๊ะรับแขกก่อนนะลูกเดี๋ยวแม่ยกขนมไปให้”
“ค่ะ” น้ากิ่งหันไปพูดกับไอริณ แล้วไอริณก็พาพวกผมเดินออกมานั่งที่ห้องโถ่งหน้าทีวี ผมกับไอ้ธูร์นั่งข้างกัน ส่วนไอริณนั่งที่เก้าอี้อีกตัวฝั่งไอ้ธูร์ ผมรู้สึกว่าเธอพยายามหลบตาผมอยู่ตลอดเวลา
“นี่ครับของฝากที่พี่สัญญาไว้”
“ขอบคุณค่ะ” ไอริณยิ้มหวานพร้อมกับรับถุงกระดาษจากไอ้ธูร์ไปด้วย
“พี่หวังว่าเราจะชอบนะ พี่เลือกอยู่ตั้งนานแน่ะ”
“แค่พี่ซื้อมาฝากไอก็ดีใจแล้วค่ะ” ยิ้มกว้างอีกแล้ว ผมทำได้แค่มองเธอนิ่งๆ จนไอ้ธูร์หันมามองพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นคำถาม ผมรู้ว่ามันกำลังจะสื่ออะไร มันคงอยากถามว่าเมื่อไรจะเอาของให้น้อง แต่ผมยังไม่ให้หรอกครับ ขอดูหน้าหงอยๆ ของเด็กตรงหน้าก่อน แต่เหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจผมด้วยซ้ำจนน้ากิ่งเดินถือจานคุกกี้พร้อมกับน้ำเข้ามาให้
“น้าเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ เลย ลองชิมกันดูนะจ้ะ”
“ขอบคุณครับ” พวกผมยิ้มให้ท่าน แล้วท่านก็เดินจากไปเหมือนอยากให้พวกผมคุยกับไอริณตามลำพัง
“หมอนั่นมาหาบ่อยเหรอครับ?” เป็นไอ้ธูร์ที่ถามคำถามที่อยู่ในใจของผมออกมา
“คะ? อ๋อ หมายถึงพี่วินเหรอค่ะ?” เจ้าตัวทำหน้างง
“ครับ” ยังเป็นไอ้ธูร์ที่ตอบเธอ
“เขาไม่ได้มาหาไอหรอกค่ะ แต่เขาเป็นลูกค้าขนมของแม่”
“หึ!” ผมเปล่งเสียงได้เท่านั้นจริงๆ เพราะแค่เห็นสายตาของหมอนั้นก็รู้แล้วว่ามันคิดอะไรอยู่แต่คนตรงหน้ากลับทำหน้าตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่รู้ว่ามันกำลังจีบอยู่
“อะไรค่ะ?” และนี่ก็คือคำพูดแรกที่เธอพูดกับผมแต่มันมาพร้อมกับสายตาเย็นชาด้วยน่ะสิ
“เปล่า” ตอบออกไปพลางหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม พอปรายสายตาไปมองพี่ชายมันกลับยกยิ้มกวนมาให้ อยากเอาน้ำสาดหน้ามันนัก กวนตีนได้ตลอด
“ว่าแต่ไหนละครับขนมที่สัญญาว่าจะทำให้พี่ถ้าพี่กลับมาแล้ว” ไอ้ธูร์เลิกมองผมแล้วหันไปคุยกับไอริณต่อ
“แหะๆ ยังไม่ได้ทำเลยค่ะ ก็พี่ธูร์บอกว่าจะกลับอาทิตย์หน้าอ่ะ ไอไม่ผิดนะพี่อยากกลับมาเร็วเองทำไมหละค่ะ” ไอริณยิ้มขำๆ
“ครับๆ เดี๋ยวพี่จะมาทวงใหม่” สองคนยิ้มให้กันพร้อมกับพูดคุยกันไปเรื่อย นานๆ จะหันมาพูดกับผมที จนเสียงโทรศัพท์ของไอ้ธูร์ดังขึ้นแล้วมันก็ลุกเดินออกไปรับสายด้านนอกบ้าน ตอนนี้เลยเหลือแค่ผมกับไอริณที่นั่งกันอยู่เงียบๆ บรรยากาศอึดอัดพอสมควรและเหมือนน้องจะทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะเดินออกไป
“ไอขอตัวไปดูแม่ในครัวก่อนนะค่ะ” พูดจบก็หมุนตัวจะเดินออกไปแต่ผมไวกว่ารีบคร้ามือของน้องไว้ ไอริณหันมามองผมสายตาของเธอมันสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรค่ะ?” เธอพูดออกมาเสียงแผ่วเบาพร้อมกับหลบตาด้วย ผมไม่ได้ตอบอะไรก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบของที่ตั้งใจซื้อมาให้เธอออกมาแล้ววางลงไปบนฝ่ามือเล็กของเธอ ทำเอาเจ้าตัวขมวดเข้าหากันเลย
“ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อ แค่บังเอิญได้มา เก็บมันไว้ให้ดีๆ หละ ถ้าหายหละก็...เจอดีแน่!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบท้ายๆ ประโยคแอบขู่ไปด้วย คนตรงหน้าเองก็เหมือนจะอึ้งไปก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา ดวงตากลมโตจ้องมองมาที่ผม รอยยิ้มของเธอยังหวานเสมอสำหรับผม
“ไม่สัญญาหรอกค่ะว่าจะไม่หาย... เพราะไออาจจะลืมแล้วหยิบมันทิ้งลงขยะก็ได้” เชิดหน้าใส่ผมด้วย
“เดี๋ยวจะโดน!” ผมยกมือขึ้นไปขยี่ผมเธอเบาๆ รอยยิ้มของเธอยังไม่หายไปจากใบหน้าเลย
“ถ้างั้นพี่ไปหละ เบื่อเด็กแถวนี้แล้ว” ผมยกยิ้มให้เธอก่อนจะเดินออกมาหน้าบ้านแต่ก็ต้องชะงักไปครู่นึ่งเพราะเสียงของไอริณที่ดังมาจากด้านหลัง
“พี่เธียร์ค่ะ...” เธอเรียกชื่อผมแต่มันไม่ได้ดังมาก ผมจึงต้องหันไปหาเธออีกครั้ง
“หือ?” เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ขอบคุณนะค่ะ” คำขอบคุณพร้อมรอยยิ้มของไอริณทำเอาผมหลุดยิ้มออกมาเลย ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเดินออกมาจากบ้านของเธอ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นไอ้ธูร์แล้ว สงสัยมันจะหนีกลับไปแล้ว....
ผมเดินกลับเข้ามาในบ้านตัวเองก็เห็นพี่ชายนั่งอยู่บนโซฟากลางบ้านด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนที่มันจะปรายตามามองผมพร้อมรอยยิ้มกวนของมัน
“เป็นไง?” คำถามสั้นๆ ของมัน
“ก็ไม่เป็นไง” ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มัน พร้อมกับเอนตัวพิงพนักโซฟา
“มันก็ไม่ได้ยากใช่ไหมที่จะเริ่มต้นอีกครั้งน่ะ?” ไอ้ธูร์หันมามองผมพร้อมรอยยิ้ม ผมรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
“แต่กูยังไม่พร้อม” ผมพูดกับมันแต่สายตาเหม่อมองไปยังเพดานของบ้าน มือสองข้างประสานกันไว้ที่หน้าท้องของตัวเองอย่างใช้ความคิด
“มีอะไรที่มึงยังไม่พร้อมอีก? หกปีแล้วนะเว้ย” ไอ้ธูร์จ้องหน้าผมนิ่งพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“กูยังไม่แน่ใจในตัวเองเลย ว่าจริงๆ รู้สึกยังไงกันแน่แล้วมันมากพอที่จะให้เขาเดินเข้ามาในชีวิตได้หรือยัง”
“แล้วที่รีบไทยก่อนกำหนดนี่มึงยังเรียกไม่แน่ใจในตัวเองอีกเหรอ? กูคิดว่ามันชัดเจนมากพอแล้วนะ... จะทำอะไรก็รีบทำนะเมื่อเช้ามึงเห็นแล้วใช่ไหมว่าไอ้หมอนั่นมันดูจริงจังมากแค่ไหน”
“เออ! อย่าเร่งกูนักได้ไหม ขอกูพิสูจน์อะไรบางอย่างก่อน ถ้ากูพร้อมเดี๋ยวกูเริ่มต้นเองแหละ” ผมตอบมันไปก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน
“พลาดขึ้นมาเมื่อไรกูนี่แหละจะหัวเราะมึงให้ฟันโยกเลย”
“เดี๋ยวกูพาไปหาหมอฟัน”
“สัส!” แล้วมันก็ด่าผมทีหนึ่งแต่ผมไม่ได้สนใจมันหรอกก่อนจะเดินขึ้นห้องของตัวเองไป
[ ไอริณ ]....
หลังจากที่พี่ธูร์กับพี่เธียร์กลับไปแล้วฉันก็เดินขึ้นห้องนอนทันทีก่อนจะทิ้งตัวลงนอนราบไปกับเตียงแล้วยกกล่องกำมะหยี่สีกรมอันเล็กที่พี่เธียร์ให้มาพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงไปด้วย ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะตัดใจจากเขาแต่พอมาเจอกับเขาอีกครั้งกลับทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้ เฮ่อออ... ฉันยันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษสีขาวของพี่ธูร์ขึ้นมาเพื่อเปิดดูด้านในแทน พี่ธูร์ซื้อน้ำหอมฝาก ฉันลองฉีดมันเบาๆ กลิ่นของมันหอมมาก เป็นกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ แบบที่ฉันชอบ ก่อนจะหันมองกล่องกำมะหยี่อันเล็กที่วางอยู่ข้างๆ อีกครั้ง มือเล็กค่อยๆ เปิดกล่องกำมะหยี่สีกรมออก ด้านในมีสร้อยข้อมือเงินเส้นเล็กอยู่ มันน่ารักมากเลยแต่ก็ไม่กล้าหยิบออกมาใส่หรอกค่ะเพราะกลัวจะทำมันหาย คนให้ยิ่งขู่ไว้อยู่ด้วย... นั่งมองสร้อยข้อมืออยู่นานจนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำเอาฉันหลุดออกจากภวังค์เลย
Rrrrr… หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเห็นว่าเบอร์ขององศาก็เลยกดรับ
“ว่าไง”
“(พี่ไอ... คือ...เรื่องเมื่อคืนผมขอโทษนะครับ)” เสียงขององศาดูอ่อนลงไม่เหมือนองศาคนเดิมที่ฉันรู้จักเลย
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วหลังจากที่ฉันกลับมาแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกเปล่า?”
“(พอพี่กลับไปแล้วก็แยกย้ายอ่ะ พอดีการ์ดของร้านเข้ามาเคลียร์ แต่พวกพี่มะนาวกับพี่แพรดาวเป็นห่วงพี่มากเลยนะที่อยู่ๆ พี่ก็โดนลากออกไปแบบนั้นหนะ)” องศาอธิบายยาวเหยียด แต่ฉันก็เข้าใจแหละว่าเพื่อนต้องเป็นห่วงเอาไว้พรุ่งนี้ค่อยอธิบายให้พวกมันฟังทีหลังก็แล้วกัน
“ว่าแต่ ทำไมแกถึงไปบอกพวกนั้นว่าฉันเป็นคนสำคัญ ปกติเห็นหลอกว่าฉันเป็นแฟนตลอด?” ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อคนตอนที่มีเรื่องกันองศาบอกกับผู้หญิงพวกนั้นไปว่าฉันเป็นคนสำคัญ
“(ก็จริงนี่ครับ แต่ไม่ใช่ของผมหรอกนะ ฮ่าๆ)” มันว่าพลางหัวเราะกลบเกลื่อน แต่มันทำเอาฉันขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัยเลย
“หมายความว่าไง??”
“(ไม่มีอะไรหรอกครับ งั้นแค่นี้นะครับ เจอกันที่มหาลัยครับ)” ว่าแล้วมันก็ชิ่งวางสายหนีไปก่อน ทิ้งความสงสัยไว้ให้ฉันด้วย ...คนสำคัญเหรอ?...
คืนนี้ฉันอาบน้ำเตรียมตัวนอนตั้งแต่สามทุ่มเพราะพรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า แต่ก่อนจะนอนก็เอาผ้าเช็ดตัวออกไปตากที่ระเบียงตามปกติแต่ที่มันไม่ปกติก็คงจะเป็นสายตานิ่งๆ ของคนที่กำลังยืนอยู่ที่ระเบียงห้องของตัวเองของบ้านข้างๆ นี่แหละค่ะ... ฉันตากผ้าเช็ดตัวเสร็จแต่ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าห้องก็ต้องตกใจเมื่อเห็นพี่เธียร์กำลังยืนจ้องมองมาที่ฉันพร้อมกับสูบบุหรี่ไปด้วย ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเขาสูบเลย แต่ว่ามันก็ผ่านมาตั้งหกปีแล้วนี่เนอะอะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องธรรมดา... ฉันทำเป็นไม่สนใจเขาพร้อมกับตั้งท่าจะเดินเข้าห้องแต่เสียงทุ้มต่ำราบเรียบก็เอ่ยขึ้นผ่านความเงียบยามค่ำคืนมาซะก่อน
“ของที่ให้ไปใส่หรือยัง” ว่าพรางทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นก่อนจะขยี้มันด้วยเท้าแล้วจ้องหน้าฉันนิ่งอีกครั้ง ถึงจะอยู่ห่างกันพอสมควรแต่ฉันก็สังเกตุเห็นสีหน้าและแววตาของเขาได้ชัดเจน มันนิ่งมาก...มากซะจนฉันเดาไม่ออกเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ยังค่ะไม่รู้ว่าเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนแล้ว” เลือกที่จะพูดจากวนเขาออกไปพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อย แต่มันก็ทำให้คนอีกฝั่งของกำแพงบ้านหน้าตึงขึ้นกว่าเดิม พอเห็นแบบนั้นฉันก็แอบอมยิ้มกับท่าทางของเขา
“อย่ากวน! ไปเอาออกมาใส่ให้ดูสิ” เสียงเข้มแกมบังคับถูกส่งมาให้ แต่ไอริณซะอย่างไม่ทำตามหรอกค่ะ ในเมื่อเขาเลือกที่จะเย็นชาใส่ฉันก่อน ทีนี้ก็ตาของฉันบ้างแล้วที่จะเอาคืน
“ก็บอกแล้วไงค่ะว่าไม่รู้ว่าเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน .....ห้าวววว ง่วงจัง ....ไอไปนอนก่อนนะค่ะ”
“ไอริณ!!!” ฉันเฉไฉทำเป็นง่วงแล้วเดินกลับเข้าห้องมาทันทีแต่ก็ได้ยินเสียงพี่เธียร์ตะโกนเรียกมาแว่วๆ มันเป็นเสียงดุๆ ที่เขาชอบทำใส่ฉันแต่ครั้งนี้มันเพิ่งระดับถึงเลเวลสิบเห็นจะได้ ฮ่าๆ ....