Prologue
มีคนเคยบอกเอาไว้ ว่าชั่วเสี้ยววินาทีที่เราเห็นแสงดาวพาดผ่านบนท้องฟ้า ถ้าเราหลับตาและตั้งใจอธิษฐานให้ทันก่อนที่แสงดาวหายไป คำขอของเราจะเป็นจริง
และนี่เป็นอีกครั้งที่เขาหลับตาเพื่ออธิษฐานขอพรในใจ เมื่อมองเห็นดาวตกบนท้องฟ้า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มทำแบบนี้ จำได้แค่เพียงว่าเขาทำมันซ้ำๆ ทุกครั้งที่มองเห็นดาวตก และทำมาตลอดนับเป็นเวลาเกือบสี่ปีตั้งแต่ข้ามน้ำข้ามทะเลจากบ้านเกิดมายังที่นี่ ที่ที่ห่างออกมาแสนไกล ที่ที่ห่างจากใครคนนั้นนับพันไมล์
“เฮ้โดม! พวกเราจะไปกันแล้วนะ”
เสียงเรียกจากเพื่อนร่วมชั้น ทำให้คนที่กำลังหลับตาและตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองนั้นต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาสไตล์หนุ่มเอเชียจะหันไปตามเสียง และส่งยิ้มบางๆ แต่ดูอ่อนโยนไปให้คนเรียก
“ว่าไงนะ” เพราะเมื่อครู่ไม่ได้ใส่ใจจะฟังสักเท่าไร ทำให้โดมต้องเอ่ยปากถามย้ำออกไปอย่างช่วยไม่ได้
“นายนี่นะ ทำไมใจลอยให้ได้แบบนี้ตลอดเลย เฮ้อ! ฉันบอกว่าพวกเราจะไปกันแล้วนะ” คนที่ส่งเสียงเรียกหรือเจ้าของใบหน้าน่ารักลูกครึ่งญี่ปุ่น ที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนพ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทที่นี่นามว่า ‘อากิ’ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุๆ
แต่เพราะคนฟังก็รู้ว่าคนพูดไม่ได้จริงจังอะไรมากนักกับคำเหล่านั้น คำดุของอากิจึงกลายเป็นเรื่องขบขันสำหรับโดมไปเสียอย่างนั้น
“ฮะๆ โทษที ไปสิ” โดมว่าแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินนำทุกคนออกไป ทำเอาอากิได้แต่มองค้อนตามหลังก่อนจะวิ่งตามไปติดๆ
“เฮ้! นายจะกลับห้องเลยเหรอ แต่ถ้านายไม่รีบกลับ แวะไปเที่ยวที่ห้องฉันก่อนไหม” มือเล็กคว้าหมับเข้าที่ท่อนแขนคนตรงหน้า เอ่ยถามเสียงดังแล้วพึมพำแผ่วเบาในประโยคสุดท้าย ก่อนจะช้อนตามองคนที่ตัวสูงกว่าด้วยความเขินอาย แม้อากิจะรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แต่สายตาที่มองโดมกลับเต็มไปด้วยความหวัง เป็นสายตาที่บอกเล่าความรู้สึกในใจทุกอย่างออกมาอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งมันทำให้โดมลำบากใจอยู่ไม่น้อย คำปฏิเสธที่เตรียมจะเอ่ยออกไปเลยได้หยุดชะงักอยู่แค่ในลำคอ
“มันไปไม่ได้หรอก ต้องกลับไปเก็บของ คงไม่ลืมใช่ไหมว่าพรุ่งนี้มันต้องกลับไทยแล้ว” และคำพูดแทรกกลางขึ้นมาได้อย่างพอดิบพอดีราวกับรู้ใจของเพื่อนอีกคนในกลุ่ม ก็ทำให้โดมต้องลอบพรูลมหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก ที่ไม่ต้องกลายเป็นคนทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายด้วยตัวเอง ก่อนจะส่งสายตาเป็นเชิงขอบคุณให้กับอีกฝ่าย
“พรุ่งนี้แล้วเหรอ” อากิพึมพำออกมาเสียงแผ่วเมื่อได้ยินคำนั้น มือสองข้างที่เกาะเกี่ยวท่อนแขนของโดมไว้แน่นก็ค่อยๆ คลายออก และทิ้งลงข้างลำตัวคล้ายคนกำลังหมดแรง ใบหน้าร่าเริงจนถึงเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองในชั่วพริบตา
“ถึงจะกลับแล้ว นายก็แวะไปหาฉันได้ตลอดนะ เราเพื่อนกันนิ” โดมบอกออกไปอย่างใจดีเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความเศร้า ก่อนจะวางมือแหมะลงบนหัวของคนตรงหน้าและขยี้เบาๆ
“เป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่แย่ที่สุด” อากิพึมพำออกมาอย่างเศร้าหมอง แล้วช้อนตามองโดมอีกครั้งด้วยสายตาที่แสดงความรู้สึกไม่ต่างกัน ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหว
“จะกลับไปหาเขาเหรอ เป็นฉันไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม”
“เราเป็นเพื่อนกันน่ะดีที่สุดแล้วรู้ไหม”
“นายใจร้ายมากนะโดม” ได้แต่ตัดพ้อออกไปเท่านั้น ฝ่ามือที่วางอยู่บนหัวไม่ได้อบอุ่นอย่างที่ชอบอีกต่อไป และแม้จะยังสัมผัสได้ในความอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมอบให้มาอยู่เสมอ แต่ในเรื่องของหัวใจกลับไม่เคยได้เฉียดใกล้เข้าไปเลยสักนิด
“ขอโทษที่เป็นคนใจร้ายนะตัวเล็ก” มันเป็นคำปลอบใจเดียวเท่านั้นที่โดมจะมอบให้เพื่อนตัวเล็กผู้แสนดี คนที่คอยอยู่เคียงข้างมาตลอดระยะเวลาสี่ปีคนนี้ได้ แม้อีกฝ่ายจะไม่เคยเอ่ยปากบอกความในใจมาตรงๆ เลยสักครั้ง จนกระทั่งครั้งนี้ที่เจ้าตัวคงจะหมดความอดทนแล้วจริงๆ ถึงได้โพล่งประโยคนั้นออกมา โดมเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องเรียกว่ารู้มาตลอดต่างหาก
เพราะแม้จะไม่บอกแต่การกระทำของอากิมันก็ชัดเจนมาโดยตลอดอยู่แล้ว และนับวันจะยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเขาต้องเอ่ยปากเล่าเรื่องราวของคนในหัวใจให้อีกฝ่ายฟัง คอยเล่าซ้ำๆ ตอกย้ำทุกอย่างให้ฟังอยู่เสมอเพื่อทิ้งระยะห่างให้รับรู้ อาจจะมองว่าเขาใจร้ายที่ทำแบบนี้ซึ่งมันก็คงใช่ แต่เขาไม่อยากจะให้ความหวังใครจึงเลือกที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ถ้าหากสมมุติว่าเขาไม่มีใครที่ฝังอยู่ในหัวใจ และคิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก เขากับอากิอาจจะสานสัมพันธ์กันต่อไปได้ แต่มันติดที่พื้นที่ในหัวใจของเขาไม่ว่าจะตอนนี้หรือในตอนไหน มันคงให้ใครไม่ได้อีกแล้ว
โดมแหงนมองท้องฟ้า ท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย รอยยิ้มที่มาจากหัวใจอันแท้จริงได้เผยขึ้น ดวงดาวที่มองเห็นยังคงสวยงามเสมอ และดูจะสวยงามกว่าทุกครั้ง เพราะค่ำคืนนี้จะเป็นค่ำคืนสุดท้ายแห่งความอ้างว้างโดดเดี่ยว มันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องกลับไปรับหัวใจของเขาคืน