บทที่ 02
สัญญาณเตือน [2]
“สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง”
แม้จะพยายามพูดเบาแค่ไหนแต่พาขวัญก็คิดว่าคนที่น่าจะกำลังแอบฟังอยู่ในห้องคงได้ยินอยู่ดี เพราะห้องพักของเธอขนาดไม่ได้ใหญ่มาก
“มีธุระอะไรกับขวัญเหรอคะ แวะมาแต่เช้าเลย”
“พี่เอาของฝากมาฝากน่ะ ขอเข้าไปได้หรือเปล่า”
เห็นเขาหอบถุงของฝากมาเต็มสองมือขนาดนี้เธอจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน ไม่ได้เห็นแก่ของฝากและไม่ได้อยากจะได้ แต่มันคงจะดูเสียมารยาทและดูผิดปกติเกินไปหากจะไม่เปิดประตูต้อนรับ
“เชิญค่ะ” พาขวัญยิ้มกว้างพร้อมกับเปิดประตูต้อนรับ รอจนเป็นหนึ่งเดินเข้ามาด้านในเธอจึงปิดประตูห้องลงแล้วเดินเลยไปเปิดตู้เย็นเพื่อเตรียมน้ำเย็นออกมารับแขกที่นั่งรออยู่ที่โซฟา
แล้วก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเธอยังไม่ได้พับผ้าห่มเลย ตื่นมาเพราะเห็นหน้าศรุตม์แล้วก็มัวแต่ไปรีดเสื้อให้เขาจนยังไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่าง
“เมื่อคืนหลังจากที่พี่พาแป้งกลับไปแล้ว ขวัญกลับเลยหรือเปล่า แล้วนั่นหน้าผากไปโดนอะไรมา”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ ขวัญชะโงกหน้าไปชนขอบตู้แขวน ไม่มีอะไร เมื่อคืนหลังจากที่พี่หนึ่งกับพี่แป้งกลับ คุณศรุตม์เขาก็กลับเข้าไปคุยกับเพื่อนต่อค่ะ ขวัญก็เลยยังกลับไม่ได้ รอกลับพร้อมเขาน่ะค่ะ” พาขวัญอธิบายอย่างละเอียด พยายามจะไม่ใส่ใจกับคำถามของอีกฝ่ายให้มากเพราะไม่อยากให้เขาใส่ใจกับเธอมากเหมือนกัน
“แล้วกลับกี่โมงล่ะ”
“ดึกค่ะ ไม่แน่ใจเพราะขวัญไม่ได้ดูเวลา ว่าแต่พี่หนึ่งซื้ออะไรมาฝากขวัญบ้างเหรอคะ แล้วนี่แค่กลับมาพักผ่อนหรือว่าจะย้ายกลับมาอยู่ที่ไทยเลย” เปลี่ยนเรื่องมันดื้อๆ ทำทีเป็นสนใจของฝากทั้งที่มันไม่ได้อยู่ในความสนใจของเธอมาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
“พี่ตั้งใจจะย้ายกลับมาอยู่ที่ไทยเลยน่ะ ต้นเดือนหน้าจะเข้าไปช่วยงานที่บริษัทของคุณพ่อ นี่ก็เพิ่งจะหลอกล่อให้แป้งไปเป็นผู้ช่วยได้สำเร็จ”
ได้ยินแบบนั้นแล้วพาขวัญก็ได้แต่ยิ้มแห้ง คิดว่านอกจากเธอแล้ว คนในห้องก็น่าจะได้ยินด้วยเหมือนกัน
เป็นหนึ่งไปเรียนต่อเมืองนอกหลังจากจบชั้นมัธยม พอเรียนจบก็ทำงานที่นั่นต่อเลย แต่เธอไม่แน่ใจนักว่าทำไมอยู่ๆ เขาถึงได้ตัดสินใจจะย้ายกลับมาช่วยงานที่บริษัทของพ่อเขาทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ยินแม่ของเธอพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ ว่าเขาไม่ยอมกลับมา เดิมทีเธอคิดว่าเขาอาจจะมีลูกมีเมียอยู่ที่อเมริกาแล้วด้วยซ้ำไป
“ต่อไปนี้คุณลุงกับคุณป้าก็คงไม่เหงาแล้วสินะคะ”
“พี่กลัวแต่จะไล่พี่กลับเมื่อไรก็ไม่รู้น่ะสิ นี่ก็ยังบ่นอยู่ว่าน้องขวัญไม่ค่อยแวะไปเยี่ยม วันก่อนพี่เอาของฝากไปให้คุณลุงกับคุณป้า ก็ได้ยินคุณป้าบ่นว่าช่วงนี้น้องขวัญไม่ค่อยกลับบ้าน ตอนแรกพี่ว่าจะรอน้องขวัญกลับแล้วค่อยเอาของฝากไปให้แต่ก็กลัวว่าขนมบางอย่างมันจะหมดอายุเสียก่อน เลยถามที่อยู่กับคุณป้ามาแล้วรีบเอามาให้ก่อนน่ะ” เป็นหนึ่งถือโอกาสอธิบาย
“ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่งน่ะค่ะ”
“ดูจากทำโอทีเมื่อวานแล้วก็น่าเชื่อว่างานคงยุ่งมากจริงๆ”
“เรื่องเมื่อคืนไม่เกี่ยวกับเรื่องงานหรอกค่ะ แต่มันติดพันก็เลยเกินเวลาไปหน่อย อ้อ พูดถึงแล้วขวัญก็ต้องขอโทษพี่หนึ่งแทนคุณศรุตม์ด้วยก็แล้วกันนะคะ เขาไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนใจร้อนวู่วาม แต่คงเพราะโดยปกติไม่เคยเห็นพี่แป้งสนิทกับใครมากกว่าตัวเอง และไม่มีใครเข้าใกล้พี่แป้งได้อย่างพี่หนึ่ง เขาก็เลยเกรี้ยวกราดไปหน่อย” พาขวัญใช้โอกาสที่เป็นหนึ่งเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอ่ยปากขอโทษเขาแทนศรุตม์เสียเลย
“ช่างเถอะ เรื่องนั้นพี่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจหรอก แต่พี่กับแป้งก็คนละคนกัน”
“เรื่องนั้นขวัญรู้ค่ะ แต่พี่หนึ่งคะ”
“ว่าไง”
“คือว่าขวัญ...” พาขวัญลังเลที่จะเอ่ยปากถาม แต่จากเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้เธอรู้สึกเห็นใจศรัณย์มากจริงๆ
“ขวัญทำไม”
“ขวัญมีเรื่องอยากจะถามค่ะ”
“ถามมาสิ”
“พี่หนึ่งแน่ใจเหรอคะว่าพี่หนึ่งไม่รู้ว่าขวัญจะถามอะไร”
“ไม่รู้” เป็นหนึ่งแสร้งทำเป็นไม่รู้
พาขวัญมองออกว่าเขาคงตั้งใจจะปิดปากเงียบเรื่องของปั้นแป้ง เพราะไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อก่อน ไม่ว่าปั้นแป้งกับเป็นหนึ่งจะรวมหัวกันทำอะไร เธอก็มักจะเป็นคนที่รู้เป็นคนสุดท้ายเสมอ ตอนนี้ก็คงไม่ต่างกันเท่าไร
ภาวนาขอแค่อย่างเดียวคืออย่าให้ปั้นแป้งใช้เป็นหนึ่งเป็นเครื่องมือในการไล่ศรุตม์ออกไปเลย เพราะหากเป็นอย่างนั้นเธอคงอดที่จะรู้สึกสงสารศรุตม์ไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะค่ะ แต่ไหนแต่ไรมา ในสายตาของพี่หนึ่งกับพี่แป้ง ขวัญก็เป็นแค่เด็กโง่อยู่แล้ว”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยน่า แต่ว่า...”
Rrrr
พูดไม่ทันจบ โทรศัพท์มือถือของเป็นหนึ่งก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน
“ว่าไงแป้ง”
และคนที่โทรหาเขาตั้งแต่เช้าก็ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหน เป็นปั้นแป้งที่ทำให้พาขวัญรีบหันไปประตูห้องนอนของตัวเองในทันที
“ฉันแวะเอาของฝากมาให้ขวัญน่ะ คุณป้าบอกว่าช่วงนี้ขวัญยุ่งๆ ไม่ค่อยกลับบ้าน กลัวว่าขนมจะเสียก็เลยแวะมาให้ก่อน สักพักก็กลับแล้ว เธอจะเอาอะไรหรือเปล่าล่ะ”
ได้ยินคำถามแล้วพาขวัญก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจคนในห้องเหลือเกิน แต่เธอจะทำอะไรได้ในเมื่อคนตัดสินใจคือปั้นแป้ง
“ได้สิ แล้วจะรีบกลับ แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวกลับจากคอนโดขวัญแล้วฉันแวะไปหาที่ร้านเลย” เป็นหนึ่งตัดบทแล้วกดวางสาย
“พี่หนึ่งนัดกับพี่แป้งไว้เหรอคะ” พาขวัญรีบถามด้วยความอยากรู้
“อืม แป้งบอกให้แวะไปหาน่ะ แต่ไม่ได้บอกว่ามีเรื่องอะไร อยากรู้เหรอ ไปด้วยกันไหม”
“ไม่ไปหรอกค่ะ ขวัญไปพี่แป้งก็ไม่พูดกันพอดี ยิ่งรู้ว่าขวัญเป็นผู้ช่วยพี่ตาร์แบบนี้ต่อไปนี้คงยิ่งไม่พูดกับขวัญแน่ๆ”
“ขวัญก็เลยคิดจะมาหลอกถามเอาจากพี่งั้นสิ” เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ มีเหรอที่เขาจะไม่รู้ทันเธอ
“แล้วขวัญเคยหลอกพี่ได้เสียที่ไหนกันล่ะคะ”
“เหอะ เอาแบบนี้ไหมล่ะ ถ้าขวัญอยากรู้ว่าพี่กับแป้งมีความลับอะไร พี่จะยอมบอกขวัญก็ได้”
สายตาของเป็นหนึ่งวิบวับเจ้าเล่ห์ แต่เพราะเขาเองก็เหนื่อยกับปัญหาหนักใจของปั้นแป้งมานานพอสมควรแล้ว นึกอยากจะช่วยแต่ก็ไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน กระทั่งเมื่อวานที่ได้มีโอกาสเจอศรุตม์ตัวจริง หลังจากที่ฟังจากคำบอกเล่าของปั้นแป้งมาหลายปี
ตลอดระยะเวลาที่เขาจะอยู่อเมริกา ปั้นแป้งก็มักจะโทรไปปรึกษาเรื่องของศรุตม์ด้วยเสมอ และคงจะมีเพียงแค่เขาที่เป็นที่ปรึกษาให้เธอมาตลอด
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิ แต่ต้องแลกกับที่ขวัญยอมคบกับพี่”
ข้อเสนอของเป็นหนึ่งทำให้พาขวัญได้แต่นั่งอึ้งเพราะไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยปากออกมาตรงๆ
“ตัดสินใจได้แล้วโทรหาพี่ก็แล้วกัน วันนี้ต้องรีบกลับแล้ว ไปละ” เป็นหนึ่งบอกลายิ้มๆ เห็นได้ชัดว่าเขามีท่าทีรีบร้อนซึ่งพาขวัญมองว่าเป็นเรื่องดีที่เขาจะรีบไป เพราะเธอกลัวเหลือเกินว่าศรุตม์จะเปิดประตูออกมา
“ขับรถดีๆ นะคะ” บอกลาแล้วยืนรอจนกระทั่งเป็นหนึ่งเดินไปลับสายตาจึงปิดประตูลง หันหลังพิงประตูหน้าห้องแล้วถอนหายใจ หากแต่สายตากลับยังเฝ้ามองไปที่ประตูห้องนอนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้คนด้านในกำลังทำอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ คิดว่าเขาคงจะได้ยินทุกอย่างแล้ว
ยืนรวบรวมสติอยู่สักพักเธอจึงเดินกลับไปเคาะประตูเพื่อส่งสัญญาณให้คนด้านในรับรู้ว่าเป็นหนึ่งกลับไปแล้ว พอเขาเปิดประตูห้องออกมาเธอก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตลอดเวลา
“พี่หนึ่งกลับไปแล้วค่ะ”
“เขาชอบน้องขวัญเหรอครับ”
คำถามแบบจู่โจมทำให้พาขวัญรู้สึกตกใจเล็กน้อย ใครจะไปคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เขาสนใจกันล่ะ
“ก็...ไม่รู้สิคะ”
บ่ายเบี่ยงที่จะตอบแล้วเดินหนีทันที แต่ศรุตม์กลับก้าวมาขวางทางเธอเอาไว้อย่างตั้งใจ
“เขาพูดชัดเจนออกขนาดนั้น น้องขวัญไม่รู้จริงๆ เหรอครับ ถ้าเขาไม่ชอบ ทำไมเขาถึงอยากจะคบกันน้องขวัญ”
ทำไมอยู่ๆ เธอถึงได้กลายเป็นผู้ต้องหาของเขาไปได้ล่ะเนี่ย
“ก็ขวัญไม่รู้จริงๆ นี่คะ”
“น้องขวัญครับ”
“ขวัญไม่ทราบค่ะ ก่อนหน้านี้พี่หนึ่งเขาไปอยู่อเมริกามาตั้งหลายปี ขวัญเพิ่งทราบว่าเขากลับมาก็ตอนที่เจอเขากับพี่แป้งที่ร้านอาหารพร้อมๆ กับพี่ตาร์นั่นแหละค่ะ”
“แล้วก่อนหน้าที่เขาจะไปอเมริกาล่ะครับ”
“จำไม่ได้ค่ะ” พาขวัญยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เอาเถอะครับ ถ้าน้องขวัญไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยๆ ตอนนี้พี่ก็สบายใจขึ้นแล้วที่รู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับแป้ง” ศรุตม์บอกพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กๆ
“อ้อ แบบนี้นี่เอง”
“แต่จะดีกว่านี้ถ้าหากพี่ว่ามั่นใจกับความรู้สึกของอีกคนได้เหมือนกัน” รอยยิ้มของศรุตม์เศร้าลงเล็กน้อย พาขวัญแอบมองอยู่แต่พอเห็นว่าเขามองกลับมาเธอก็รีบมองไปทางอื่นทันที
“พี่ตาร์อยากกินอะไรคะ เดี๋ยวขวัญสั่งให้” ถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องอีกเหมือนเดิม
“เอาไว้เป็นวันหลังแล้วกันนะครับ มื้อนี้พี่ขอติดเอาไว้ก่อน พี่เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระ” ศรุตม์รีบบอก
เมื่อครู่เขาได้ยินว่าเป็นหนึ่งกำลังจะไปหาปั้นแป้งที่ร้านหนังสือ ซึ่งต่อให้เขาจะรู้ว่าเป็นหนึ่งไม่ได้คิดอะไรกับปั้นแป้ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะวางใจ เพราะปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ใครคิดอะไรกับปั้นแป้ง แต่มันอยู่ที่ปั้นแป้งคิดอะไรกับใครมากกว่า
“เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ” พาขวัญตอบยิ้มๆ พลางวางโทรศัพท์มือถือเอาไว้บนโต๊ะ เพราะเธอไม่จำเป็นจะต้องกดสั่งอาหารแล้ว หากไม่ต้องสั่งเผื่อศรุตม์ เดี๋ยวเธอค่อยหาอะไรในตู้เย็นมากินทีหลังก็ได้
“ถ้าอย่างนั้นพี่กลับเลยนะครับ”
“ค่ะ รองเท้าอยู่ในตู้รองเท้านะคะ กุญแจรถอยู่ในตู้กุญแจข้างประตูห้อง” พาขวัญบอกทิ้งท้ายก่อนจะเดินมาพับผ้าห่มที่โซฟา
ศรุตม์เปิดตู้กุญแจเพื่อหยิบกุญแจรถของเขาออกมา เปิดตู้รองเท้าหยิบรองเท้าของตัวเองลงวางบนพื้น สวมมันเสร็จสรรพจึงหันกลับไปมองพาขวัญที่กำลังพับผ้าห่มอยู่ด้านใน รอยช้ำบนหน้าผากนั่นสะดุดตาเขาเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้อยากจะทักหรือพูดถึงให้มากเพราะกลัวว่าจะคำพูดของเขาจะทำให้เธอเสียความมั่นใจ
“น้องขวัญครับ”
“คะ” พาขวัญเงยหน้าจากหมอนที่เพิ่งจะหยิบขึ้นมามองสบตาเขาอีกรอบ
“ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อคืนนะครับ” ศรุตม์ถือโอกาสขอบคุณก่อนยิ้มลา พูดจบก็ก้าวออกจากห้องไปแล้วหันกลับมาปิดประตูห้องลงอย่างเบามือ
คล้อยหลังศรุตม์พาขวัญจึงทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา อยู่ดีๆ ก็รู้สึกแข้งขาอ่อนแรงไปเสียอย่างนั้น จากที่ตั้งใจจะหอบหมอนกับผ้าห่มกลับเข้าไปไว้ในห้องแต่อยู่ๆ เธอก็รู้สึกขี้เกียจแม้แต่จะเคลื่อนไหว
เธอดูออกว่าเขารีบกลับ และก็พอจะเดาได้ว่าเขากำลังจะรีบไปที่ไหน ธุระที่เขาเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้มันจะเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างไรกันในเมื่อคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขามาตลอดก็คือปั้นแป้ง
แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่าหัวใจของเขามีแต่ปั้นแป้งอยู่จนเต็มพื้นที่ ทำไมเธอถึงยังอดที่จะรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้ หรือจะเป็นเพราะจูบที่เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจ ที่แม้แต่ตัวของเขาเองก็คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีเรื่องนั้นเกิดขึ้น
“ตื่นได้แล้วยัยขวัญ”
ก่นด่าตัวเองพลางยกมือขึ้นตบหน้าผากหวังจะดึงสติตัวเองกลับมา แต่กลับกลายเป็นว่าตีโดนรอยช้ำเป็นการซ้ำเติมตัวเองเข้าพอดิบพอดี มิหนำซ้ำหางตายังเหลือบไปเห็นเจลประคบบนโต๊ะที่เขาเป็นคนเดินไปหยิบมาให้อีกต่างหาก ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกละอายแก่ใจตัวเองที่ดันเผลอหวั่นไหวไปกับเขาโดยไม่รู้ตัว
“แค่เริ่มต้นแกก็เจ็บตัวเพราะเขาแล้วใช่ไหม ทำไมยังจะคิดถึงเรื่องบ้าๆ นั่นอีก หยุดคิด แกต้องหยุดคิดเดี๋ยวนี้ยัยขวัญไม่อย่างนั้นแกเอาตัวไม่รอดแน่”
สัญญาณเตือนหลายๆ อย่างยิ่งทำให้พาขวัญต้องย้ำเพื่อเตือนสติตัวเองอยู่หลายรอบ แต่หัวใจเจ้ากรรมกลับยิ่งเต้นแรงราวกับว่ามันไม่อยากจะรับฟังคำสั่งจากสมองอีกแล้ว
ใครจะไปคาดคิดกันล่ะว่าความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที จะทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาเปลี่ยนไปได้ถึงพขนาดนี้ เห็นทีว่าหลังจากวันนี้ไป เธอจะต้องหาวิธีรับมือกับเขาให้ดีกว่านี้เสียแล้ว เริ่มต้นจากการอยู่ให้ห่างจากเขาให้ได้มากที่สุดเลยก็แล้วกัน