ตอนที่1
คฤหาสน์หลังใหญ่ย่านสาธรบนพื้นที่สิบไร่ของตระกูลศิริพงษ์พิสุทธิ์ ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีฐานะมั่งคั่งมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษมีที่ดินแถวนี้กว่าสองร้อยไร่ก็ขายให้นักธุรกิจไปห้าสิบไร่เพื่อสร้างโรงแรมหรูแต่สุดท้ายไปไม่รอดจึงซื้อคืนและบริหารเองจนกระทั่งกลับมาปกติจึงขยายสร้างบ้านและคอนโดขายจนเหลือพื้นที่ไว้สำหรับครอบครัวสิบไร่เพื่อสร้างบ้านให้ลูกๆทั้งสองอยู่ในละแวกเดียวกันและแบ่งเขตกันชัดเจนแต่มีรั้วเปิดหากันได้และวันนี้เป็นวันเกิดของเจ้าสัวกำจร ศิริพงษ์พิสุทธิ์ ทายาทสายตรงของตระกูลศิริพงษ์พิสุทธิ์ที่แต่งานกับคุณผกามาศ พิมานรังสรรค์ ลูกสาวของมล.กาบและคุณทรงชัย พิมานรังสรรค์ มีเชื้อมีสายแต่ก็ปลายแถวแต่มีฐานะมั่งคั่งเหมือนกันพอแต่งงานกันก็ยิ่งทำให้สองตระกูลยิ่งใหญ่และเกื้อหนุนธุรกิจกันจนเจริญรุ่งเรืองจากรุ่นสู่รุ่น
“นี่เจ้ากรันต์ยังไม่มาอีกหรือไงแม่วนีย์” เจ้าสัวกำจรถามถึงหลานชายคนโตที่กลับมาจากอเมริกาหลังจากไปเรียนต่อที่บอสตันตั้งแต่อายุสิบสองปีและกลับมาวันเกิดท่านกับภรรยาทุกปีและตอนนี้อายุสิบห้าโตเป็นหนุ่มแล้ว
“เดี๋ยวคงมาค่ะ เห็นว่ากำลังรื้อกระเป๋าหาของขวัญให้คุณพ่ออยู่ค่ะ” คุณเยาวนีย์ตอบพ่อยิ้มๆเพราะลูกชายบอกว่าซื้อของขวัญให้ตาแต่ก็ใช้เงินของตาซื้อเพราะเขายังเรียนอยู่หาเงินไม่ได้ คุณเยาวนีย์หรือ วนีย์เป็นลูกสาวคนโตแต่งงานกับอีริค บอนเน็ตนักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งสเปนกับฮ่องกงมีลูกชายด้วยกันสองคน
“สุขสันวันเกิดคร้าบคุณตา” เด็กชายฉัตรชัยวัยเก้าขวบถือกล่องของขวัญขนาดเท่าฝ่ามือมาให้ตา
“ขอบใจมากลูก” เจ้าสัวกำจรยิ้มให้หลานชายคนที่สามก่อนจะแจกซองสีแดงซึ่งเป็นสีมงคลเพราะท่านมีเชื้อสายจีน
“ขอบคุณครับคุณตา” เด็กชายฉัตรชัยรับซองแดงจากคุณตาด้วยความดีใจ
“ของผมล่ะครับคุณตา” เด็กชายอนุวัตวัยเจ็ดขวบเดินตามหลังพี่ชายมาแล้วทวงซองแดงจากตา
“แล้วไหนของขวัญตาล่ะ” เจ้าสัวทวงของขวัญจากหลานชายขำๆ
“นี่ครับคุณตา” อนุวัตยื่นกระดาษเอสีให้ตา
“อะไรล่ะเนี่ย” เจ้าสัวรับกระดาษไปดูแล้วยิ้ม
“ครอบครัวของเราไงครับคุณตา ป้องวาดรูปครอบครัวของเราทุกคนครับ” อนุวัตบอกตาแล้วชี้ให้ดูว่ามีใครบ้างและครบทุกคนจริงอย่างที่เจ้าตัวพูด
“เดี๋ยวตาให้เลขาเอาไปใส่กรอบแล้วติดไว้บนผนังห้องรับแขกเลยดีกว่า นี่ของป้องนะลูก” คุณตาของหลานยื่นซองแดงให้หลานชายคนเล็ก
“ขอบคุณครับคุณตา” เมื่อได้ซองรางวัลเหมือนพี่ชายก็ยิ้มมดีใจแล้วเดินออกไปเล่นหน้าบ้านกับพี่ชาย
“ถ้าตาป้องโตมาพี่ว่าต้องรีบเก็บรูปลงแทบไม่ทันแน่เลยนะวภา” เยาวนีย์พูดกับน้องสาวยิ้มๆ
“วภาก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะพี่วนีย์ คิกๆๆ..” คนเป็นแม่อดขำลูกชายไม่ได้ เยาวภาเป็นลูกสาวคนเล็กของเจ้าสัวกำจรกับคุณหญิงผกามาศและแต่งงานกับชัยกรคนสนิทของสามีของพี่สาวและเขาเป็นลูกกำพร้าแต่ขยันเรียนเก่งสอบชิงทุนได้ไปเรียนที่ประเทศอังกฤษและรูจักรุ่นพี่หนุ่มหล่อทายาทนักธุรกิจชื่อดังจึงได้ทำงานด้วยตั้งแต่สมันเรียนพอเรียนจบก็เป็นเลขาให้อีริคจนกระทั่งเจ้านายหนุ่มแต่งงานก็มาช่วยงานที่เมืองไทยพบรักกับดอกฟ้า และโชคดีที่พ่อแม่ของเยาวภาไม่มีใครรังเกียจเพราะเขาขยันสร้างบริษัทสื่อสารร่วมหุ้นกับพี่เขยเพื่อให้พ่อตาเห็นว่าเขาไม่ได้เกาะลูกสาวและทั้งสองมีลูกชายด้วยกันสองคนคือฉัตรชัยหรือปกวัยเก้าขวบและอนุวัตรหรือป้องวัยเจ็ดขวบ และวันนี้ทุกคนมาร่วมงานวันเกิดของเจ้าสัวกำจรลูกหลานจึงอยู่กันพร้อมหน้า
“คุณวนีย์คะ คุณโตกับคุณดุจมาถึงแล้วค่ะ” สาวใช้เดินมาบอกเจ้านายสาวตามที่ได้รับแจ้งจากรปภ.ว่าเพื่อนของเจ้านายสาวมาถึงแล้วและจอดรถที่บ้านของเธอ
“เดียววนีย์มานะคะ” เยาวนีย์ลุกขึ้นเดินออกจากห้องรับแขกไปที่บ้านของเธอเพราะเพื่อนทั้งสองมาถึงแล้วงานนี่เธอไม่ได้เชิญแขกมากจะมีก็แค่ญาติๆและเพื่อนสนิทของเธอที่รู้จักกันมานานเท่านั้น
“งั้นวภาไปดูอาหารก่อนนะคะ” เยาวภาลุกเดินไปในครัวเพื่อดูแม่บ้านแม่ครัวจัดเตรียมอาหารสำหรับคืนนี้และเรียกเชฟจากโรงแรมมาทำให้โดยเฉพาะ
เยาวนีย์เดินผ่านประตูรั้วเข้าไปบ้านของเธอที่อยู่ติดกับคฤหาสน์หลังใหญ่ที่พ่อแม่อยู่กับครอบครัวของน้องสาวเพราะเธอขอออกมาสร้างบ้านเองพ่อจึงแบ่งที่ดินให้ห้าไร่และสร้างบ้านให้ใหญ่พอกับบ้านของท่านเพื่อให้เท่าเทียมกัน
“สวัสดีค่ะคุณป้าวนีย์” เสียงเล็กพูดขึ้นแล้วยกมือไหว้ป้าวนีย์แสนใจดีของเธอ
“สวัสดีจ้ะน้ำหนึ่ง น้ำริน มาให้ป้ากอดหน่อยสิลูกไม่เจอกันแป๊บเดียวโตขึ้นเยอะเลยนะจ้ะ” เยาวนีย์กอดหลานสาวทั้งสองอย่างรักใคร่เอ็นดู
“นานที่ไหนกันล่ะวนีย์ เราเพิ่งเจอกันเมื่อต้นเดือนเองนะจ้ะ” ดุจเดือนท้วงเพื่อนที่เจอกันทุกเดือนแล้วเยาวนีย์รักและเอ็นดูลูกสาวทั้งสองของเธอมากเพราะเพื่อนมีแต่ลูกชายสองคน ไม่มีลูกสาวส่วนน้องสาวก็มีลูกชายเหมือนกันทำให้พ่อแม่ของเพื่อนรักและเอ็นดูลูกสาวของเธอ
ดุจเดือนเป็นเด็กบ้านนอกเข้ามาเรียนโรงเรียนในกรุงเทพอาศัยอยู่กับลุงที่เป็นข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศและเป็นเพื่อนกับเยาวนีย์มาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นที่เรียนโรงเรียนสตรีชื่อดังจนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันแล้วรู้จักชลิตที่มาตามจีบเธอจนกระทั่งคบหาเป็นแฟนกันและสัญญาจะแต่งงานกันหลังจากเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศแล้วชลิตก็ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ส่วนเยาวนีย์ก็ไปต่อปริญญาโทที่อังกฤษแต่คนละมหาวิทยาลัยแล้วพบรักกับนักธุรกิจหนุ่มหล่อชาวสเปนพอเรียนจบกลับมาช่วยงานครอบครัวแล้วอีริคก็มาทำธุรกิจที่เมืองไทยจนกระทั่งแต่งงาน ส่วนดุจเดือนจบปริญาโทจากประเทศออสเตรเลียก็ทำงานบริษัทในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการในบริษัทของชลิตและแอบคบหากับลูกชายท่านประธานบริษัทแต่ไม่มีใครรู้จนกระทั่งความรักสุกงอมทั้งสองก็เปิดตัวแล้วแม่สามีไม่ยอมเธอเพราะได้ทาบทามไฮโซสาวเป็นลูกสะใภ้ไว้แล้ว แต่ขัดลูกชายคนโตกับสามีไม่ได้เพราะดุจเดือนท้องจึงยอมให้แต่งงานแต่ไม่ให้อยู่ร่วมบ้านและยังไม่ให้สร้างบ้านใกล้บ้านของเธอ เจ้าสัวธีระก็ซื้อบ้านให้ลูกชายซึ่งอยู่ไม่ไกลกันจากบ้านของท่านและทุกวันนี้แม่ของสามีก็ยังไม่ยอมรับเธอกับลูกสาวและพูดตลอดว่าเธอกับลูกสาวเป็นตัวกาลกินีทำให้แม่ลูกทะเลาะกัน
“แหมดุจก็ ฉันมีแต่ลูกชายนะเธอแล้วไปเรียนกันหมดฉันก็เหงาน่ะสิก็มีแต่น้ำหนึ่งกับน้ำรินนี่แหละที่ทำให้ฉันหายเหงาจริงมั้ยคะที่รัก” เยาวนีย์หันไปพูดกับสามีที่คุยกับสามีของเพื่อนอยู่ที่บาร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแม้จะสงสัยแต่ไม่พูดอะไรเพราะมีเด็กๆอยู่ด้วย
“งั้นเรามีลูกกันอีกสักคนดีมั้ยครับที่รัก จะได้มาเป็นน้องของน้ำหนึ่งกับน้ำริน” อีริคพูดหยอกเย้าภรรยาที่บอกว่าขอมีลูกแค่สองคนและเลี้ยงดูให้ความรักเต็มที่ก็พอ ส่วนเขาก็ตามใจภรรยาอยากมีกี่คนเขาก็พร้อมเสมอ
“ดีค่ะคุณลุงอีริค น้ำอยากมีน้องสาวอีกหลายๆคนค่ะ” เด็กหญิงน้ำหนึ่งพูดขึ้นทำให้ผู้ใหญ่ยิ้ม
“สงสัยต้องรอลูกของพี่กรันต์แล้วล่ะลูก” เยาวนีย์ตอบหลานสาวหากเธอมีลูกตอนนี้คงไม่ทันเห็นลูกสาวโตเป็นสาวแน่
“มัมต้องรออีกนานครับ เพราะผมเพิ่งสิบห้าเองเอาไว้สามสิบเมื่อไหร่ผมถึงจะแต่งงานครับ” หนุ่มหล่อลูกเสี้ยวที่ได้เลือดพ่อมาเยอะลงมาได้ยินก็ตอบแม่ทันที กรันต์ เดนิส บอนเน็ต ลูกชายคนโตของอีริคกับเยาวนีย์ บอนเน็ต วัย15ปีกำลังแตกเนื้อหนุ่มและดูท่าในอนาคตจะหล่อมากด้วย
“ผมก็จะแต่งงานอายุสามสิบเหมือนพี่กรันต์ครับ” คนเป็นน้องก็พูดเหมือนพี่ชายเพราะพี่ชายเป็นไอดอลของเขาและไปเรียนที่อเมริกากับพี่ชายได้หนึ่งปี กวิน เดวิน บอนเน็ต วัย13ปีลูกชายคนเล็กที่ได้เลือดพ่อมามากกว่าพี่ชายมีผมสีทองส่วนผมของกรัตน์สีน้ำตาลเข้มตาสีเฮเซลซึ่งจะรวมสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้มและสีฟ้าพอเจอแสงแดดก็จะเปล่งประกายโดดเด่นเจิดจ้าน่าหลงใหล
“พี่กรันต์ พี่กวิน” น้ำหนึ่งเรียกพี่ชายใจดีของเธอด้วยความคิดถึงเพราะพี่กรันต์ของเธอไปเรียนอเมริกากว่าจะได้เจอกันตอนวันเกิดของคุณตาคุณยายของพี่กรันต์ทุกปี
“เป็นไงยัยตัวเล็กปีนี้สูงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย พี่มีของฝากมาให้น้ำหนึ่งกับน้ำรินด้วยแต่พี่ยังไม่ได้รื้อกระเป๋าเลยเดี๋ยวค่อยเอาวันพรุ่งนี้นะ” กรันต์บอกสาวน้อยทั้งสองที่เขารักและเอ็นดูเหมือนน้องสาวเพราะพ่อแม่เป็นเพื่อนกันไปมาหาสู่กันตลอด
“ขอบคุณค่ะ หนึ่งจะรอของฝากของพี่กรันต์นะคะ” น้ำหนึ่งยกมือไหว้ขอบคุณพี่ชายใจดีและน้ำรินก็ยกมือไหว้ตามพี่สาว
“ฉันว่าเราไปบ้านใหญ่กันดีกว่านะดุจ โต ไปจ้ะเด็กๆตอนนี้คุณตาคุณยายรอนานแล้วลูก” เยาวนีย์พูดกับเพื่อนและลูกหลานก่อนจะจูงมือเด็กหญิงทั้งสองเดินไปพร้อมกับเพื่อน
กรันต์กับกวินเดินตามแม่และอาดุจกันน้องสาวทั้งสองไปบ้านของตาที่ไฟสนามหน้าบ้านสว่างจ้าเพราะเป็นวันเกิดของท่านจึงมีลูกหลานและญาติสนิทมาร่วมอวยพรและสังสรรค์ร่วมกันเหมือนทุกปี ส่วนอีริคกับชลิตเดินรั้งท้าย
“ผมจะให้คนของผมตามดูแลอยู่ห่างๆนะโต ช่วงนี้ก็ทำตัวปกติก่อนหากมีคนคิดร้ายจริงเดี๋ยวพวกเขาจะไหวตัวทัน” อีริคไม่อยากพูดว่าญาติพี่น้องของชลิตปองร้ายเขาเพราะผลประโยชน์และความโลภและยังมีคนนอกร่วมด้วยก็คือญาติของภรรยาและน้องเขยที่ต้องการร่วมหุ้นด้วย แต่เจ้าสัวธีระยกให้ลูกชายคนโตบริหารเต็มตัวมาตั้งแต่เปิดบริษัทจนกระทั่งติดตลาดและชลิตก็ชวนเขาร่วมหุ้น จากนั้นก็ขยายตลายส่งออกไปหลายประเทศและยังมีฐานผลิตอยู่ประเทศเพื่อนบ้านทำกำไรแต่ละปีหลักพันล้านจนเข้าตลาดหลักทรัพย์ทำให้มีคนอยากร่วมหุ้นแต่เจ้าสัวอยากให้เป็นธุรกิจของครอบครัวแม้จะมีคนนอกอย่างอีริคแต่เขาก็ไม่ด้มายุ่งเกี่ยวแค่รอรับผลประโยชน์เท่านั้นและเจ้าสัวก็รักษาการประธานบริษัทเพื่อคานอำนาจไว้ให้ลูกชายคนโตทำให้ลูกชายคนรองกับลูกสาวคนเล็กไม่พอใจเพราะพวกเขาได้ดูแลบริษัทเล็กๆแม้จะได้เงินปันผลทุกปีแต่มันไม่พอเพราะเม็ดเงินในบริษัทKKวันซ์คอร์เปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) มากมายจนทำให้พี่น้องอิจฉาริษยากัน
“ขอบคุณมากนะอีริค” ชลิตขอบคุณอีริคที่ช่วยเหลือเพราะเขาห่วงภรรยากับลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจของเขาซึ่งพ่อของเขาก็ได้ทำพินัยกรรมไว้เรียบร้อยหากท่านเป็นอะไรไปเขาจะมีอำนาจสูงสุดและถ้าเขากับภรรยาเป็นอะไรไปทุกอย่างของเขาจะตกเป็นของลูกสาวทั้งสองเช่นกันคนอื่นไม่มีสิทธิ์เช่นกันและถ้าเขากับพ่อไม่อยู่ก็ให้อีริคเป็นที่ปรึกษาและรักษาการตำแหน่งประธานบริษัทแทนลูกสาวจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะเพราะเขาไว้ใจอีริคกับเยาวนีย์มากกว่าพี่น้องส่วนพ่อตาแม่ยายเขาไม่อยากดึงท่านมายุ่งด้วยเพราะห่วงความปลอดภัยของพวกท่าน
“จะขอบคุณทำไมโต เราเป็นเพื่อนกันนะถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้วจะเรียกว่าเพื่อนหรือไง” อีริคตบไหล่ลิตเบาๆเขากับชลิตสนิทกันเพราะภรรยาเป็นเพื่อนรักกันทำให้เขากับชลิตกลายมาเป็นเพื่อนรักกันแต่เขาแก่กว่าแต่ให้ชลิตเรียกแค่ชื่อ
“ถ้าผมเป็นอะไรไปก็ฝากลูกเมียผมด้วยนะอีริค”
“เฮ้ย อย่าพูดอย่างนี้สิโต ลูกเมียนายก็ต้องดูแลเองสิ”
“ผมแค่พูดเผื่อไว้น่ะ” ชลิตยิ้มให้เพื่อนที่เป็นที่ปรึกษาให้เขารองจากพ่อเพราะเขาไม่ไว้ใจใครแม้แต่แม่ที่เข้าข้างน้องชายน้องสาวทั้งที่เมื่อก่อนเขาเป็นลูกรักแต่พอเขาเลือกคู่ชีวิตเองกลับกลายเป็นลูกชังและยังเกลียดชังไปถึงลูกสาวทั้งสองของเขานั่นทำให้เขาเสียใจ
ทั้งสองเดินตามทุกคนไปถึงบ้านใหญ่และทักทายพ่อแม่ของเยาวนีย์และน้องสาวน้องเขยรวมถึงญาติพี่น้องที่ทยอยมากันมากว่าสิบคนและรู้จักกันดีทำให้เขาอดอิจฉาครอบครัวของเยาวนีย์ไม่ได้ที่พี่น้องสนิทสนมรักใคร่กันดี จากนั้นก็มีญาติสนิทและคนที่รักเคารพเจ้าสัวกำจรก็มาร่วมงานมากกว่าห้าสิบคนแล้วทุกคนก็ร่วมรับประทานอาหารและตัดเค้กตอนสองทุ่มซึ่งผู้ใหญ่ก็ดื่มกันส่วนเด็กๆก็กินข้าวกินขนมแล้วก็วิ่งเล่นในสนามหญ้ากันอย่างสนุกสนานมีกรันต์พี่ใหญ่นั่งมองน้องๆวิ่งเล่นกัน
“เป็นไงเราเหนื่อยแล้วเหรอ ดื่มช้าๆเดี๋วสำลัก” น้ำหนึ่งเดินเหงื่อแตกกลับมานั่งที่โต้ะแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่มด้วยความกระหายแล้วพยักหน้าให้พี่กรันต์
“แค่กกๆๆ..”
“พูดยังไม่ทันขาดคำเลยยัยเด็กดื้อ” กรันต์ว่าสาวน้อยน่ารักแล้วลูบหลังไปมาเบาๆ
“ก็ แค่กๆๆ..”
“อย่าเพิ่งพูดสิ หายใจเข้าลึกๆก่อน”
“ขอบคุณค่ะพี่กรันต์ หนึ่งรักพี่กรันต์ค่ะ พี่กรันต์ใจดีที่สุดในโลกเลยค่ะ” น้ำหนึ่งยิ้มตาหยีให้พี่กรันต์แต่เธอก็มีลูกพี่ลูกน้องหลายคนแต่ไม่มีใครเล่นกับเธอและน้องสาวทุกคนเกลียดเธอกับน้องสาวยกเว้นคุณปู่ที่รักเธอกับน้องสาว
“รักพี่เพราะใจดีนี่นะ” กรันต์แกล้งสาวน้อยที่ยิ้มตาหยีน่ารักน่าชังยิ่งเหมือนเจ้าหญิงน้อยอย่างหั่นเขี้ยว
“ก็พี่รันใจดีกว่าพี่พริมพี่มาร์คและเมย์อีกค่ะ” เสียงใสเบาลงเมื่อพูดถึงญาติพี่น้องของตัวเอง
“พวกนั้นแกล้งน้ำหนึ่งเหรอ” กรันต์รู้ว่าญาติของน้ำหนึ่งมักจะแก้งเธอและถ้าเขาอยู่ไม่มีใครแกล้ง
“ค่ะ”
“ถ้าแกล้งอีกให้มาฟ้องพี่ เดี๋ยวพี่จัดการให้เอง”
“จริงนะคะ แต่ว่าพี่กรันต์ต้องไปเรียนเมกานี่คะจะช่วยหนึ่งได้ยังไงคะ”
“พี่ก็โทรบอกคุณปู่ธีระให้ไง ไม่ต้องกลัวนะพี่จะปกป้องน้ำหนึ่งกับน้ำรินไม่ให้ใครมารังแกอีกนะครับ” กรันต์ให้สัญญากับน้องสาวตัวน้อยเขารู้เรื่องที่ย่าอาและลูกไม่ชอบน้ำหนึ่งกับน้ำรินและอาดุจแค่อาดุจไม่ได้อยู่ในสังคมไม่มีชื่อเสียงเป็นแค่ลูกสาวกำนันบ้านนอกไม่เหมาสมกับลูกชายเจ้าสัวกับคุณหญิงตราตั้งอย่างคุณหญิงพิราอร
"พี่กรันต์สัญญานะคะ"
"สัญญาครับ"
"งั้นเรามาทำสัญญากันนะคะ" น้ำหนึ่งยกมือขึ้นยื่นนิิ้วก้อยให้พี่กรันต์
"สัญญาครับ พี่จะดูแลน้ำหนึ่งครับ" กรันต์ยิ้มให้น้องสาวแล้วยกนิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วก้อยเล็กแล้วเอานิ้วโป้งชนกันเป็นสัญญาของพวกเขาสองคน
“ขอบคุณค่ะพี่กรันต์” น้ำหนึ่งดีใจที่พี่กรันต์สัญญาจะปกป้องเธอ
“คุยอะไรกันอยู่ลูก ดูสิน้ำหนึ่งเหงื่อเต็มเลยสนุกล่ะสิเรา” คุณเยาวนีย์ยิ้มให้ลูกชายกับหลานสาวตัวน้อย
“พี่กรันต์สัญญาว่าจะปกป้องน้ำหนึ่งค่ะคุณป้า” น้ำหนึ่งบอกคุณป้าวนีย์ด้วยความดีใจที่มีพี่ชายปกป้องเธอ
“งั้นเหรอลูก แต่ว่าพี่กรันต์ไปเรียนที่เมกาแล้วจะปกป้องน้ำหนึ่งยังไงล่ะลูก”
“พี่กรันต์บอกว่าถ้ามีใครรังแกหนึ่งกับน้ำรินให้บอกพี่กรันต์แล้วพี่กรันต์จะโทรบอกคุณปู่จัดการให้ค่ะ” เสียงใสตอบคุณป้าวนียแล้วยิ้มตาหยีอย่างน่ารัก
“ดีลูก แต่ถ้าใครรังแกน้ำหนึ่งกับน้ำรินก็มาบอกป้ากับลุงอีริคได้เลยนะลูกเดี๋ยวลุงกับป้าจะจัดการให้” คุณเยาวนีย์พูดเอาใจหลานสาวเพราะรู้ว่าน้ำหนึ่งกับน้ำรินไม่ได้รับความรักจากย่าและอารวมถึงลูกพี่ลูกน้องที่ถูกย่าและพ่อแม่สอนมาให้เกลียดกันซึ่งมันไม่ถูกต้องและเธอไม่ได้สนิทกับคนบ้านนั้นแต่พ่อของเธอสนิทกับเจ้าสัวธีระส่วนแม่ของเธอก็รู้จักับคุณหญิงพีรยาแต่ไม่ได้สนิทกัน
“ค่ะคุณป้าวนีย์ หนึ่งรักคุณป้าวนีย์ม้ากมากค่า” น้ำหนึ่งกอดผู้เป็นป้าที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันด้วยความรักเพราะท่านดีกับเธอมากกว่าญาติพี่น้องของเธอและคุณย่า
“อ้อนเก่งนะเราเนี่ย” กรันต์บีบแก้มสาวน้อยอย่างหมั่นเขี้ยว
“พี่กรันต์ หนึ่งเจ็บนะคะ คุณป้าขาพี่กรันต์แกล้งหนึ่งค่า”
“ยัยเด็กขี้ฟ้อง ทีเมื่อกี้ใครกันอ้อนพี่เดี๋ยวได้อดของฝากแน่ๆ”
“ไม่ได้นะคะพี่กรันต์ขา หนึ่งล้อเล่นค่า คุณป้ายังไม่ได้ดุพี่กรันต์เลยนะคะ” เด็กหญิงน้ำหนึ่งอ้อนพี่ชายทำให้เสองแม่ลูกหัวเราะ
“อ้อนพี่กรันต์อีกแล้วนะลูก ดึกแล้วเราต้องกลับบ้านแล้วจ้ะ” ดุจเดือนเดินมาตามลูกสาวทั้งสองกลับบ้านเพราะตอนนี้เลยเวลานอนของลูกสาวทั้งสองแต่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดเธอจึงหยวนๆให้และนานๆลูกๆจะได้สนุกสนานจึงปล่อยให้วิ่งเล่นเต็มที่
“ค่ะคุณแม่ งั้นหนึ่งไปตามน้ำรินก่อนนะคะ” น้ำหนึ่งบอกแม่แล้ววิ่งไปหาน้องสาวที่เล่นวิ่งไล่จับกับพี่ปกพี่ป้องและพี่น้องอีกสามสี่คนหลานของเจ้าสัวกำจรและคุณผกามาศ
“ช่วงปิดเทอมเธอก็ให้เด็กๆมาเล่นกับตากรันต์ตากวินที่นี่ก็ได้นะดุจ เดี๋ยวพี่ๆไปเรียนต่อแล้วน้ำหนึ่งกับน้ำรินคงจะเหงา” คุณเยาวนีย์บอกเพื่อนเพราะสงสารหลานที่ไม่มีเพื่อนเล่น
“รบกวนเธอกับหลานกรันต์หลานกวินน่ะสิ”
“ไม่เป็นไรครับอาดุจ น้องมาเล่นด้วยก็สนุกดีเหมือนกันครับ” เขาก็ไม่ได้ไปหนอยู่แล้วเพราะเพื่อนๆก็ไปเรียนต่างประเทศกันหมดและกลับบ้านไม่ตรงกันแต่คุยกันตลอดมีแค่ดนุรุทที่เรียนบอสตันด้วยกันแต่เพื่อนไม่กลับบ้านเพราะครอบครัวมีปัญหา
“แต่ช่วงเช้าน้ำหนึ่งกับน้ำรินมีเรียนดนตรีสองชั่วโมงเสร็จสิบเอ็ดโมง ถ้าไม่รบกวนหลานกรันต์อาจะพามาน้องมาฝากนะจ้ะ” ดุจเดือนมองเพื่อนกับลูกชายอย่างขอบคุณที่รักใคร่เอ็นดูลูกสาวของเธอทั้งสอง
“ฉันจะให้แม่บ้านเตรียมอาหารกลางวันให้เด็กละกัน”
“ขอบใจมากนะวนีย์” คุณดุจเดือนขอบใจเพื่อนที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอดเป็นโชคดีของเธอที่ได้รู้จักเยาวนีย์กับเยาวภาทั้งสองคบกับเธอด้วยความจริงใจไม่ได้ดูถูกว่าเธอเป็นเด็กบ้านนอกแม้พ่อแม่จะมีฐานะดีสามารถส่งเสียเธอมาเรียนในโรงเรียนสตรีชื่อดังในเมืองหลวงได้ แต่ในสังคมก็มีแบ่งชั้นวรรณะกันแยกแยะระหว่างคนจนคนรวยไฮโซและลูกท่านหลานเธอแต่กลุ่มของเธอก็คบกันอย่างเหนียวแน่นยังมีเพื่อนอีกสามคนที่แต่งงานมีครอบครัวและย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดและต่างประเทศนานๆจะเจอกันแต่เล่นเฟสเล่นไลน์พูดคุยทักทายกันตลอด
“คุณแม่ขาน้ำรินกำลังสนุกเลยค่ะ ยังไม่กลับได้มั้ยคะ” น้ำรินอ้อนแม่เพราะกำลังสนุกนานๆเด็กหญิงจะได้วิ่งเล่นเต็มที่กับพี่ๆ
“ตอนนี้ดึกแล้วจ้ะ เดี๋ยวพี่ๆก็ต้องไปนอนเหมือนกันเอาไว้พรุ่งนี้น้ำหนึ่งกับน้ำรินเรียนพิเศษเสร็จแล้วแม่จะมาส่งเล่นกับพี่กรันต์พี่กวินดีมั้ยคะ” ดุจเดือนพูดกับลูกสาวอย่างอ่อนโยนเพราะญาติพี่น้องไม่เล่นด้วยเธอจึงหากิจกรรมให้ลูกทำในวันหยุดและให้ลูกเลือกทำให้สิ่งที่ชอบและลุกทั้งสองก็เลือกเรียนดนตรีในวันหยุด
“ดีค่าคุณแม่ งั้นน้ำกลับบ้านก่อนนะคะพี่กรันต์พี่กวินพรุ่งนี้น้ำรินกับพี่น้ำหนึ่งจะมาเล่นด้วยนะคะ” เด็กหญิงน้ำรินยิ้มให้พี่ชายใจดีทั้งสองที่เล่นกับเธอรวมถึงพี่ปกพี่ป้อง
“งั้นบอกลาคุณป้ากับพี่กรันต์พี่กวินและคุณตาคุณยายคุณน้าด้วยจ้ะ” ดุจเดือนบอกลูกสาวทั้งสองที่บอกราตรีสวัสดิ์ทุกคนก่อนกลับบ้าน
รถตูคันใหญ่ของครอบครัวชลิตกับดุดเดือนแล่นออกไปจากบ้านของเยาวนีย์แล้วเจ้าของบ้านทั้งสองก็เดินเข้าบ้านเพราะลูกชายทั้งสองยังอยู่ที่บ้านตายาย