ตอนที่ 1 สตรีมเมอร์ตกอับ แต่ใครดูผมนะครับ คนดังงั้นเหรอ?
“นี่คือบทเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้นะครับ ผมหวังว่าทุกคนที่ได้รับฟังจะนอนหลับฝันดี วันนี้ผมต้องขอตัวไปก่อนไว้เจอกันใหม่ ราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน”
‘พะพาย’ สตรีมเมอร์สายร้องเพลงกล่าวลาผู้ชมซึ่งมีไม่ถึง 20 คน ด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนจะปิดการสตรีมและนั่งอ่านคอมเมนต์[1]จากผู้ชมที่ส่งเข้ามาเพียงสองสามข้อความ ถึงแม้มันจะน้อยนิดเมื่อเทียบกับวันวานอันรุ่งโรจน์ของเขา แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอให้เกิดรอยบนใบหน้าได้
[BestPapie: ขอให้คืนนี้คุณพะพายฝันดีนะครับ พรุ่งนี้เจอกันใหม่ ผมจะรอดูคุณเสมอครับ]
[พะพาย no.1: ฝันดีนะคะน้องพะพาย ขอบคุณสำหรับเพลงเพราะ ๆ นะคะ พี่หายเหนื่อยจากงานเพราะเสียงของน้องเลยค่ะ]
พะพายยิ้มบาง ๆ ขณะอ่านข้อความให้กำลังใจจากแฟนคลับ ก่อนจะกดปิดไลฟ์ที่ยาวนานถึง 5 ชั่วโมง เมื่อหน้าจอดับลงกล่องข้อความสรุปสถิติของไลฟ์ในวันนั้นก็ปรากฏขึ้น แต่ทั้งยอดคนดูและยอดผู้ติดตาม มันช่างน้อยนิดเสียจนน่าใจหาย
เขามองตัวเลขเหล่านั้นด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น จากสตรีมเมอร์ที่เคยมียอดผู้ชมหลักแสน ต้องกลายมาเป็นคนที่แทบไม่มีใครเข้ามาดูนอกจากแฟนคลับที่ติดตามกันมานาน ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนมีคอมเมนต์มากมายไหลมาไม่หยุดจนอ่านแทบไม่ทัน แต่บัดนี้เขาต้องนั่งจ้องมองอยู่นานว่าจะมีใครส่งข้อความมาพูดคุยด้วยไหม
ในสมัยที่เริ่มเป็นสตรีมเมอร์แรก ๆ เขามีผู้คนให้ความสนใจมากมาย และเมื่อยอดคนดูเพิ่มขึ้น ความคาดหวังและผลประโยชน์ก็ตามมา บริษัทต้นสังกัดจึงเริ่มพยายามปรับภาพลักษณ์ของเขาให้ “ขายได้” มากขึ้น
ทว่านั่นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ ภาพลักษณ์ใหม่ที่คิดว่าจะสามารถเพิ่มยอดผู้ติดตาม กลับผลักแฟนคลับกลุ่มเดิมให้ลดลงไปเรื่อย ๆ จากภาพลักษณ์ใหม่ที่ไม่ใช่ตัวตนของพะพายเลย แม้ตอนนี้พะพายจะพยายามไลฟ์ทุกวัน หรือทำทุกอย่างแล้วก็ตาม ผลลัพธ์ก็ยังคงย่ำแย่ลงจนไม่อาจกอบกู้ขึ้นมาได้อีกต่อไป
Rrrrr...
เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ทำเอาโต๊ะสะเทือน พร้อมกับชื่อบนหน้าจอที่ปรากฏขึ้น ทำให้พะพายต้องหยิบมันขึ้นมาด้วยความคาดหวังว่า อาจมีข่าวดีสักอย่างจากคนปลายสาย แม้จะรู้ว่าผลงานของตนในตอนนี้ไม่น่าจะได้รับอะไรแบบนั้นแล้วก็ตาม
“ครับ พี่พิมพ์”
[คือพี่คุยกับทางบริษัทแล้วนะพาย...]
“เขาไม่ต่อสัญญากับพายใช่ไหมครับ”
พะพายถามอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขารู้อยู่แก่ใจดีว่าไม่มีทางที่บริษัทจะต่อสัญญากับคนที่ไม่สามารถทำรายได้ให้พวกเขาได้อีก พะพายทำใจไว้ล่วงหน้านานหลายวันแล้ว พร้อมเก็บของส่งกลับบ้านเกิดไปแล้วบางส่วน เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจนัก แต่รู้สึกผิดหวังในตัวเองมากกว่าที่ฝันไกลเกินไป...แต่สุดท้ายกลับไปไม่ถึงไหนเลย
[ค่ะ... เขาเลือกที่จะไม่ต่อสัญญา พี่ขอโทษจริง ๆ นะพาย พี่พยายามแล้วแต่เปลี่ยนใจเขาไม่ได้จริง ๆ]
“พายคิดไว้แล้วครับว่าทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ พี่พิมพ์ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกครับ ขอบคุณมากจริง ๆ ที่พี่พยายามเพื่อพาย”
ตอนเด็ก ๆ พะพายฝันอยากเป็นนักร้องหรือไอดอลชื่อดัง แต่เขาไปไม่ถึงฝัน ออดิชั่นที่ไหนก็ไม่ผ่าน จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัย จึงตระหนักว่าเขาอายุมากเกินไปสำหรับเส้นทางนั้นแล้ว
เด็กฝึกเดี๋ยวนี้เริ่มต้นกันตั้งแต่อายุยังน้อยและอายุ 22 ปี ของเขาถูกมองว่า "แก่เกินไป" จนไม่ผ่านแม้กระทั่งด่านแรกของการออดิชั่นเข้าค่ายเพลงใด ๆ ในขณะที่รอบข้างเต็มไปด้วยเด็กวัยสิบปีต้น ๆ มันช่างน่าหดหู่จนเขารู้สึกพ่ายแพ้และถอดใจจากความฝันเดิม
แต่พะพายยังคงร้องเพลงต่อไป เพราะเขารักในการร้องเพลง เขาจึงทำงานเป็นนักร้องกลางคืนในร้านอาหารระหว่างหางานประจำ จนได้เจอกับเจ้าของค่ายที่ดูแลสตรีมเมอร์ บอกว่าไม่ต้องฝึกอะไรมาก ขอแค่เปิดคอมพิวเตอร์กับมีอุปกรณ์นิดหน่อยก็สร้างฐานแฟนคลับได้เหมือนนักร้องอาชีพ
ช่วงแรกมันเป็นไปด้วยดี ยอดวิวพุ่งกระฉูด ยอดคนติดตามถล่มทลาย แฟนคลับสมัครสมาชิกกันอย่างล้นหลาม จนเขาเริ่มเชื่อว่านี่แหละคือ “ความสำเร็จ” ที่พะพายต้องการ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่ ๆ ทุกอย่างก็พังลงมาทั้งหมด เหมือนคนที่ได้อยู่บนสวรรค์และตกลงมา เขาเคยเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เริ่มต้นสตรีมร้องเพลงเป็นคนแรก ๆ ทุกวันนี้เขาร้องเพลงตามคำขอของผู้ชมที่ขอเข้ามาตามภาพลักษณ์อันแสนเรียบง่ายที่บริษัทได้กำหนดเอาไว้ แต่อาจจะเพราะความรู้สึกที่ว่า นี่ไม่ใช่ตัวตนของเขาเลยเขา จึงทำออกมาโดยที่ไม่ได้มีความสุขมากนัก และอาจจะทำแบบนี้เป็นประจำทุกวัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรใหม่ ๆ มันจึงทำให้พะพายดูน่าเบื่อ และผู้คนก็เริ่มลดลงไม่ดูไลฟ์สตรีมของคนน่าเบื่ออย่างเขาอีกต่อไปแล้วก็ได้
ล้มเหลวอีกครั้งแล้วสินะพะพาย...เขาเอาแต่คิดแบบนั้นและรู้สึกแย่กับตัวเอง
บางที สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เขาเป็น อาจเป็นแค่ลูกชายชาวสวนธรรมดาที่ต้องกลับไปช่วยงานไร่งานในฟาร์มของพ่อแม่ และคงสมใจพระองค์แล้ว เพราะตอนนี้เขากลายเป็นคนที่บริษัทไม่ต้องการอีกต่อไป ทั้งที่เขาทำงานหนักช่วยบริษัทปลดหนี้และกลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งด้านดูแลสตรีมเมอร์ แต่สุดท้าย...เขากลับถูกทิ้งในวันที่หมดประโยชน์
ขอบคุณนะโชคชะตาอันแสนระทมนี้ ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจว่าพระเจ้ามักจะสร้างเส้นทางให้เราเอาไว้เสมอ
เขาเคยเชื่อว่าแต่ถ้าพระเจ้าไม่ต้องการให้ผมประสบความสำเร็จในทางนี้ แล้วจะให้ผมรักการร้องเพลงทำไม? เราทุกคนถูกสอนมาว่าพระเจ้าสร้างเรามา พร้อมใส่สิ่งพิเศษลงในแต่ละคน แล้วทำไมต้องใส่ความฝันแบบนี้มาให้ ถ้าไม่ตั้งใจให้ผมไปให้ถึง...
ถ้าจะให้เลือกได้จริง ๆ ก็ขอเป็นคนรักสัตว์ อยากเป็นสัตวแพทย์ไปเลย อย่างน้อยก็จะได้อยู่กับฟาร์มทั้งวัน อยู่กับม้า อยู่กับวัว อยู่กับไก่ จะได้ไม่ต้องออกมาเผชิญโลกภายนอก และอาจจะประสบความสำเร็จในแบบนั้นไปแล้ว
ในวัย 28 ปี เขาต้องละทิ้งทั้งความหวังและความฝันที่แบกไว้ตั้งแต่เด็ก กลายเป็นคนที่หมดไฟ ไม่อยากแม้แต่จะเริ่มต้นใหม่
“ยังไงเสีย พายก็เริ่มหมดไฟแล้ว แถมยังกลับไปทำงานกับพ่อแม่ได้ พี่พิมพ์ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
[พี่ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอก พี่แค่ไม่อยากให้น้องพายต้องทิ้งความฝันเรื่องการร้องเพลง เราสู้มาด้วยกันมาตั้งหลายปี พายทำเงินให้บริษัทไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่สุดท้ายเขากลับทิ้งน้องพาย แล้วหันไปต่อสัญญากับพวกโชว์เนื้อหนัง พวกนั้นไม่เห็นค่าพายเลย พี่เจ็บใจ]
เสียงสะอึกสะอื้นจากปลายสายบ่งบอกว่าผู้จัดการที่อีกไม่นานจะกลายเป็น "อดีตผู้จัดการ" ของเขา กำลังร้องไห้อยู่แน่ ๆ
เขาเองก็เจ็บใจไม่แพ้กัน แต่เพราะความเหนื่อยล้าและหมดแรงจะไขว่คว้าความสำเร็จที่ยิ่งวิ่งไล่ก็ยิ่งห่างออกไป พะพายจึงคิดว่า...บางทีการหยุดพักอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้วในตอนนี้
“ถ้าว่าง ๆ จากการดูแลสตรีมเมอร์ตัวท็อป พี่พิมพ์แวะมาที่บ้านพายได้นะครับ พ่อแม่พึ่งเปิดรีสอร์ตจะขอไว้ให้พี่หนึ่งห้องเลย”
[โอ๊ย คนที่ลำบากจริง ๆ คงเป็นพี่นี่แหละ! ยังไงก็ขอให้น้องพายโชคดีกับเส้นทางใหม่นะคะ]
“ขอบคุณครับ”
เมื่อวางสายจากอดีตผู้จัดการ บรรยากาศในห้องขนาด 25 ตารางเมตรก็เงียบลง ทั้ง ๆ ที่พะพายก็อยู่คนเดียวแบบนี้มาตลอดห้าปี แต่คืนนี้...มันกลับเหงาเป็นพิเศษ
บางทีอาจเพราะคืนนี้คือ คืนสุดท้าย ที่เขาจะได้อยู่ที่นี่ก็เป็นได้ ห้องนี้ไม่ใช่ของเขา มันเป็นสิทธิพิเศษที่แนบมากับสัญญาของสังกัด และในอีก 24 ชั่วโมงข้างหน้า เขาจะหมดสิทธิ์ในทุกสิ่งที่เคยได้รับ
ของในห้องแห่งนี้เหลือไม่มากนัก มีเพียงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สตรีมที่ยังไม่ได้ถูกส่งกลับไปบ้านเกิดเหมือนของอย่างอื่น แต่รอบริษัทขนส่งมารับพรุ่งนี้เช้า ส่วนของชิ้นเล็กหรือไม่ได้ใช้ทุกวันก็ทยอยเก็บลงกล่องส่งไปหมดแล้ว เพราะเขาต้องคืนกุญแจตอนเที่ยง และเดินทางกลับบ้านในทันที
แม้ของจะไม่มาก แต่กว่าจะแพ็กของห่อกันกระแทกเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยจนเกือบตีสอง พะพายจึงรีบอาบน้ำแล้วเข้านอน เพราะพรุ่งนี้เช้าเขายังมีภารกิจรออยู่
มันน่าเสียดาย...ที่ต้องละทิ้งความฝัน แต่เขาก็ได้ทำเต็มที่แล้ว และไม่เสียใจเลยที่เคยพยายามอย่างหนักแม้ว่ามันจะไม่สำเร็จอย่างที่หวังก็ตาม
เขามองเพดานด้วยสายตาเหม่อลอย กำลังคิดว่าจะ “ถอยเพื่อวิ่งใหม่” หรือ “ถอยเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง” อะไรจะดีต่อตัวเองมากกว่ากันนะ?
แต่เอาไว้คิดพรุ่งนี้ก็แล้วกัน วันนี้เขาเหนื่อยมากพอแล้ว
___ᓚ₍⑅^..^₎♡___
Rrrrr...
“ฮัลโหลครับ...”
เสียงโทรศัพท์ปลุกอดีตสตรีมเมอร์ให้ตื่นขึ้นรับสาย พะพายเอื้อมมือกดรับโดยไม่ลืมตามองว่าเป็นใคร เพราะรู้ว่าคงมีแค่พี่พิมพ์หรือไม่ก็พ่อแม่เท่านั้นที่โทรมาเวลานี้
ดวงตาสีอัลมอนด์หรี่ลงมองนาฬิกา พบว่าตัวเองถูกปลุกก่อนเวลาที่ตั้งไว้ถึงครึ่งชั่วโมง แม้จะหงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
[พาย พายรู้จักคุณเซบบี้ด้วยเหรอ!?]
“เซบบี้? เซบบี้ไหนครับ”
คำถามจากอดีตผู้จัดการทำให้พะพายคิดหนัก ว่าตนเองเคยรู้จักใครชื่อนี้หรือไม่ แต่สมองกลับไม่สามารถดึงข้อมูลใด ๆ ที่มีข้อมูลของคนที่ชื่อเซบบี้ขึ้นมาได้เลย
[เซบบี้! ไอดอลวง AList ไง! คบกันอยู่เหรอ!? ทำไมถึงมีรูปพายอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ของเขาได้! ตอนนี้ข่าววอนไปทั้งเน็ตแล้วนะ!]
“ฮะ! ผมไม่ได้คบใคร และไม่รู้จักใครที่เป็นไอดอลจริง ๆ นะครับพี่พิมพ์! สาบานได้เลย!”
คำกล่าวหาที่เขาคบหากับ ‘เซบบี้’ หรือ ‘เซบาสเตียน’ ไอดอลหนุ่มชื่อดังแห่งวง AList ซึ่งกำลังโด่งดังที่สุดในขณะนี้ ทำเอาพะพายสะดุ้งโหยงตื่นเต็มตา ก่อนจะรีบลุกจากเตียงมาเปิดแท็บเล็ตเพื่อหาข่าว
คำบอกเล่าที่ว่าเขากำลังคบหากับไอดอลชื่อดังอย่าง ‘เซบบี้’ หรือ ‘เซบาสเตียน’ แห่งวง AList วงไอดอลที่กำลังมาแรงและโด่งดังที่สุดในยุคนี้ ทำเอาพะพายตาสว่างแทบทันที ความง่วงที่ยังเกาะติดอยู่จากเมื่อคืนหายวับไปกับตา เขาลุกจากเตียงทันที คว้าแท็บเล็ตขึ้นมาอย่างลนลาน หวังจะค้นหาความจริงด้วยตนเอง
แต่ยังไม่ทันจะได้พิมพ์คำว่า “เซบาสเตียน” ให้ครบ หัวข้อข่าวและกระทู้ที่เกี่ยวข้องกับเขาและไอดอลหนุ่มคนนั้นก็ผุดขึ้นมาเต็มหน้าจอแบบไม่ต้องเสียเวลาค้นหา ราวกับว่าอินเทอร์เน็ตทั้งโลกกำลังรอให้เขาเปิดอ่านอยู่ก่อนแล้ว
แม่เจ้าโว้ย… เขาตกอับยังไม่ทันข้ามวัน อยู่ ๆ ก็กลายเป็นชื่อที่ถูกค้นหาอันดับหนึ่งเสียอย่างนั้น นี่พระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรกับเขากันแน่? หรือสวรรค์จะรู้สึกเบื่อ ๆ แล้วอยากเติมสีสันให้ชีวิตของสตรีมเมอร์ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งอย่างเขา?
ยิ่งไปกว่านั้น เนื้อหาในข่าวยังระบุชัดว่า ‘เซบบี้ Alist ถูกจับตามอง! หลังมีคนตาไวแอบเห็นว่า ภาพพื้นหลังโทรศัพท์ของเขาคือรูปของสตรีมเมอร์ตกอับจากช่อง Papapie! แฟน ๆ พากันให้ความสนใจ ว่าทำไมไอดอลดังถึงคบหากับสตรีมเมอร์คนนี้’
พะพายอ่านจบแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น หัวใจเต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่ใช่เพราะความเขินอายหรือความรู้สึกฟุ้งซ่านจากการตกเป็นข่าวกับเซบบี้คนดัง แต่เพราะความโกรธปนหงุดหงิดที่ล้นขึ้นมาจุกอยู่กลางอก
“เดี๋ยวนี้นักข่าวเขาไม่มีจรรยาบรรณในการเขียนข่าวกันแล้วหรือไง!”
เขาพึมพำกับตัวเองอย่างขุ่นเคือง คิ้วขมวดจนแทบจะพันกันเป็นปม เพราะพาดหัวข่าวที่ทำให้เขารู้สึกแย่ แถมยังเป็นข่าวปลอมที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จอีกด้วย
เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังอยู่ในจุดที่เรียกว่า ‘แย่ที่สุดในชีวิต’ แต่จะพูดยังไงดีล่ะ ช่องก็ร้าง คนดูก็หาย ยอดซับเหลือแต่กระดูก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยคิดว่าจะตกต่ำจนกลายเป็นของเล่นให้สื่อเอาไปปั้นข่าวมั่วแบบนี้
“ขอบคุณก็ได้นะ ที่ยังมีคนสนใจอยู่บ้าง”
เขาพูดกับตัวเอง แล้วหัวเราะแห้ง ๆ
“แต่ถ้าจะเป็นแบบนี้ ทีหลังก็ไม่ต้องก็ได้!”
เขาไม่รู้ว่าเซบบี้คนดังในข่าวจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ แต่เขาเองเริ่มรู้สึกว่าโลกโซเชียลน่ะ... น่ากลัวกว่าที่คิดเสียอีก ที่ขุดทุกอย่างขึ้นมาได้แถมซูมเข้าไปดูก็แทบไม่เห็นหน้า แต่กลับรู้ได้ว่านั่นคือเขา ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารูปนั้นคือตอนไหน
เฮ้ย! ปีนี้มันเป็นปีซวยอะไรน้อ มีเรื่องให้คิดไม่ตกแทบทุกวันเนี่ย
[1] เขียนตามฐานระบบคำทับศัพท์ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา