[Chapter 9] Uninvited

4122 Words
หลังจากการวางแผนสังหารลูคัสเริ่มหลังจากที่ฉันกลับมาถึงห้อง ฉันได้แหล่งข่าวจากคนในโรงแรมว่าจะมีงานสังสรรค์ในคืนพรุ่งนี้ที่หอศิลป์แห่งหนึ่งในเมือง โดยที่วิกโก้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาจะไปด้วย ฉันไม่อยากจะเอ่ยชื่อเขาออกมา แต่คงไม่เสียหายนักหายอย่างน้อยจะได้เรียกชื่อเขาก่อนตายสักครั้ง ฉันวางอุปกรณ์ทุกอย่างไว้บนเตียงและเริ่มสวมชุดแนบเนื้อสีดำพรางตัวไว้ด้านในหากเกิดเรื่องฉุกเฉิน ปลายเท้าทั้งสองข้างสามารถถอดซิบออกและพับขึ้นได้เหมือนกางเกง ส่วนช่วงลำตัวด้านบนนั้นฉันก็พับซ่อนไว้ใต้ชุดชั้นใน และปืน...ปัญหาใหญ่สุดๆ ถ้าวิกโก้รู้ว่าฉันจะเข้าไปฆ่าลูคัสคงไม่มีทางที่จะปล่อยให้มีปืนสักกระบอกเข้าไปในงานแน่ ส้นสูงเก็บมีดคงจะพอจัดการพวกมันได้ซักสองสามคน แต่ฉันก็เหลือบไปเห็นปืนพกกระบอกจิ๋วที่มีคนจงใจทิ้งไว้พร้อมกระดาษโน้ตที่มีข้อความสั้นๆ ว่า ‘ใช้ยามจำเป็นล่ะ :) คาร์ล’ "ขอบใจนะ" ฉันยิ้มขอบคุณและเก็บปืนกระบอกนั้นไว้ตรงเข็มขัดรัดต้นขาขวา หวังว่าจะได้ใช้มันจริงๆ หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยฉันก็ลงลิฟท์มาโดยมีรอยยิ้มของลิซเป็นการบอกว่าฉันดูดีในชุดเดรสสีดำขนาดไหน "วันนี้คุณดูดีมากนะคะ คุณสตีล" เธอยิ้มอีกครั้งอย่างเป็นมิตร "คงจะเป็นงานใหญ่ใช่มั้ยคะ" ฉันพยักหน้าตอบก่อนจะเดินออกมาจากโรงแรม ฉันเลือกที่จะเรียกแท็กซี่ไปที่นั่นจนไม่กี่นาทีต่อฉันก็มาถึงหน้าหอศิลป์ ส่วนใหญ่คนที่มาที่นี่จะเป็นนักฆ่าและผู้ดูแลกิจการในองค์กรที่แฝงตัวเป็นนักธุรกิจ ฉันลงรถที่อีกฝั่งถนนและคิดวางแผนระหว่างที่กำลังจะเดินข้ามไปอีกฝั่ง ถ้าทุกอย่างเหมือนกับตอนที่ฉันยังอยู่ นักฆ่าและผู้ดูแลมักจะอยู่ตัวติดกันเป็นกลุ่ม ถ้าฉันเข้าไปในโซนปลอดภัยได้ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น แต่ก็เป็นเรื่องยากหากฉันจะเข้าไปในโซนวีไอพีที่เต็มไปด้วยพวกนักฆ่าคอยป้องกัน ฉันไม่มีทางเข้าไปได้แน่ ฉันคิดอยู่นานจนเมื่อเสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น "ฮัลโหล?" 'สวัสดียามเย็นสตีล 10 นาฬิกาชั้นสอง ลองมองขึ้นมาสิ' ฉันเงยหน้าขึ้นไป คาร์ลกำลังจ้องมองลงมาโดยที่มือซ้ายยังถือโทรศัพท์ไว้ ส่วนอีกข้างนั้นโบกทักทาย เขาสวมชุดสูทและผูกเนคไทสีดำแบบทางการ ผมที่ในปกติดูกระเซอะกระเซิงถูกปาดเจลรวบไปยังด้านหลัง อันที่จริงไม่ต้องแต่งอะไรเขาก็ดูดีมากอยู่แล้ว 'ชุดสวยดีนี่ ฉันชอบรองเท้าเธอนะ' การที่คาร์ลพูดแบบนี้เพราะเขารู้ว่าฉันสวมส้นสูงซ่อนมีดมาด้วยน่ะสิ สายตาของคาร์ลถือเป็นที่หนึ่งในองค์กร เขาสามารถมองเห็นมือสไนเปอร์ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตรด้วยตาคู่นั้นของเขา จนบางคนให้ฉายาเขาว่ามือเหยี่ยวแห่งตะวันตกเลยล่ะ ฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะสังเกตเห็นว่าฉันกำลังใส่อะไรมา "ฉันนึกว่านายจะอยู่ดูแลลูคัสอยู่ซะอีก" 'แค่หาเวลามาพักซะหน่อย วิกโก้คงไม่ว่าอะไรหรอก คราวนี้ฟังฉันให้ดีล่ะ ด้านหลังตึกมีทางเข้าที่ใช้ส่งของอยู่ จะมีรถขนของเข้าไปทุกสามชั่วโมง อีกสามนาทีจะมีรถขนไวน์เข้ามาที่ประตูฝั่งตะวันออก ฉันช่วยเธอได้แค่นี้แหละ’ เขาเพียงให้คำแนะนำเท่านั้นก่อนจะเดินหายไปจากสายตาฉัน "คาร์ล? เดี๋ยวสิ!" และเขาก็วางสายไป ฉันจึงรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ประตูด้านข้างตึก พอรู้จุดแล้วฉันก็เดินนำไปสองร้อยเมตรเพื่อดักรอรถขนไวน์ ฉันเพ่งสายตามอง…คงจะใช่นะ ฉันหายใจเข้าและออกอยู่หลายครั้งเพื่อเรียกสติ จากนั้นฉันก็วิ่งตัดหน้ารถทันทีตามที่คาดคะเนไว้ ล้อหน้าของรถขนไวน์คันนั้นห่างจากตัวไปนิดเดียวหลังจากที่ฉันแกล้งล้มลงไป และคนขับรถก็เดินลงมา เด็กหนุ่มผมทองอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ฉันแกล้งทำท่าเจ็บและบีบที่ข้อเท้าซ้าย "คุณโอเคมั้ยครับ?" "ขาพลิกนิดหน่อยน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ เพราะส้นสูงบ้านี่แท้ๆ เชียว..." เขาพยุงฉันพิงกับตัวรถ จนฉันเห็นแผลถลอกที่ข้อศอกซ้าย เล่นใหญ่เกินไปจริงๆ เด็กขับรถคนนั้นมองด้วยความตกใจ "ฉันต้องเข้าไปในงานน่ะค่ะ คุณพอจะช่วยได้มั้ยคะ?" เขาเกาหัว แสดงท่าทีลังเลใจ ฉันจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน "นะคะ" เขาถอนหายใจและคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า เด็กหนุ่มช่วยพยุงฉันขึ้นไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ เมื่อขึ้นมาแล้วรถขนไวน์ที่กำลังจะขับออกไปจากตึกก็ถอยเข้าไปด้านใน ฉันแกล้งนอนฟุบให้ผมปิดใบหน้า เขาหยิบบัตรขึ้นมาแตะที่เครื่องอ่านจนไม้กั้นรถยกขึ้น มีคนดูแลความปลอดภัยเพียงสองหรือสามคนเท่านั้น จนกระทั่งรถบรรทุกจอดนิ่งที่จุดส่งของ "คุณเดินได้นะ?" "จะพยายามนะคะ แต่คงรบกวนให้ช่วยพยุงฉันไปหน่อย...ได้มั้ยคะ?" เขาพยักหน้ารับ เด็กส่งของผมน้ำตาลแดงลงจากรถและช่วยเปิดประตูพยุงฉันลงจากประตูอีกฝั่ง ฉันแกล้งเดินกะเผลกไปทางเข้าอีกฝั่งโดยใช้ผมที่ยาวถึงหลังปรกหน้าตัวเองไม่ให้มีใครสังเกตเห็น แน่นอนว่าตอนนี้สภาพฉันเหมือนคนเมาที่กำลังขอให้ใครซักคนพากลับบ้านมากกว่าคนที่ซุ่มซ่ามและทำตัวเองเจ็บ "เดี๋ยวก่อน" ฉันลืมตาขึ้นหลังจากได้ยินเสียงที่คุ้นหู ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใคร จำได้แค่ว่าเขาเป็นนักฆ่าที่อยู่ในองค์กร ฉันนึกว่าพวกเขาต้องไปประชุมด้วยซะอีก แต่วิกโก้ก็มีอิทธิพลในที่แบบนี้อยู่เหมือนกัน การที่เขาจะแอบส่งนักฆ่าสักคนหรือสองคนมาแฝงตัวกับยามเฝ้าคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หรือไม่ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปแล้วหลังจากฉันไม่อยู่ งั้นคาร์ลก็โกหกฉันน่ะสิที่ว่าที่นี่ปลอดภัย "แขกไม่ควรจะเข้ามาในโซนนี้สิ เธอมาทำอะไรที่นี่?" "คือผมทำเธอขาพลิกก่อนจะออกไปจากที่นี่น่ะครับ ไหนๆ พวกคุณก็มาแล้ว ช่วยพยุงเธอเข้าไปในงานทีนะครับ" ฉันตัดสินในอยู่นิ่งๆ เมื่อเด็กส่งของปล่อยร่างฉันให้นักฆ่าคนนั้นอุ้มไปแทน จนเมื่อฉันและเขาสบตากันในระยะเผาขน ฉันที่ถูกจำได้จึงส่งรอยยิ้มให้เขา "สตีล?" ฉันใช้ขาที่ลอยจากพื้นเกี่ยวคอเขาไว้และใช้น้ำหนักของตัวเองกระชากเขาลง นักฆ่าคนนั้นดิ้นอยู่พักนึงก่อนจะหยิบมีดที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านในออกมา เด็กส่งไวน์คนนั้นยังยืนอึ้งทำตัวไม่ถูก ฉันใช้เข่ากดมือทั้งสองข้างของนักฆ่าคนนั้นไว้และคว้ามีดพับเล่มยาวออกจากมือเขาได้ทัน แต่ฉันไม่อยากให้มีเลือดเปื้อนตอนนี้ ฉันจึงพยายามใช้ข้อพับเข่ารัดให้เขารีบหมดสติ "เธอมาแล้ว!" นักฆ่าหนุ่มคนนั้นตะโกนสุดเสียง ฉันปล่อยให้เขาได้หายใจและขึ้นคร่อม ใช้หมัดขวาต่อยที่ลิ้นปี่นักฆ่าคนนั้นจนร้องไม่ออก จากนั้นจึงใช้มือทั้งสองข้างจิกผมเขาและทุบลงพื้นด้วยแรงที่เหลืออยู่ไม่มากกระทั่งเขาแน่นิ่งไป ฉันค้นตัวเขาอย่างใจเย็นระหว่างที่เสียงฝีเท้าของการ์ดอีกคนกำลังวิ่งตรงมาที่นี่ ปืนช็อตไฟฟ้า...ไม่ใช่ทางเลือกที่แย่เท่าไหร่ จนเมื่อเงาที่วิ่งมาจากหัวมุมใกล้เข้ามา ฉันจึงยิงปืนช็อตไฟฟ้าในมือไป เข้าเป้ากลางคอการ์ดคนนั้นพอดี ฉันลุกขึ้น มองเด็กหนุ่มคนนั้นที่ยืนสั่นอยู่ก่อนจะเดินไปหา "อ-อย่าฆ่าผมเลยนะ ผมมีแม่กับน้องต้องดูแล" ฆ่างั้นหรอ?…คิดไปได้ ฉันไม่ได้บ้าเลือดอยากจะฆ่าทุกคนขนาดนั้นซะหน่อย เด็กหนุ่มคนนั้นถอยจนหลังติดฝาผนัง ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นมองเหมือนพวกคนที่ฉันฆ่าไป สายตาหวาดกลัวเช่นนั้นที่แทบจะเหมือนกับแววตาสุดท้ายของพวกคนที่ฉันสังหาร คนเหล่านั้นมองแบบนั้นมาโดยตลอด "ฉันดูเหมือนคนที่อยากจะหักคอนายรึยังไง เฮ่!" ฉันตบหน้าเรียกสติพ่อหนุ่มผมแดงคนนั้นเบาๆ "ฉันไม่ทำร้ายนาย โอเคนะ นายไม่ใช่เป้าหมายของฉัน" "จริงหรอครับ?" ฉันพยักหน้า "ฟังนะ นายออกไปจากที่นี่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่ หยุดงานไปอยู่กับแม่นายซักสองสามวัน ถ้าฉันได้ยินเรื่องนี้จากปากใครเข้า ฉันจะตามหานายให้เจอแล้วทำให้แน่ใจว่านายจะไม่ปริปากบอกเรื่องนี้กับใครอีก เข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย?" "ครับ" "กลับไปได้แล้ว" เขาแทบจะวิ่งออกไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฉันย้ายร่างของการ์ดทั้งสองที่หมดสติไปไว้ในห้องเก็บของแถวนั้น จากนั้นฉันจึงมุ่งหน้าไปยังห้องโถงอย่างรวดเร็ว ผมเข้ามาที่สถานีตำรวจเพื่อทำงานกะดึกในสภาพที่ดีขึ้นหลังจากได้นอนพักผ่อนตั้งแต่ช่วงเย็น แผลที่ท้องพร้อมจะแสดงอาการปวดได้ทุกเมื่อถ้าไม่กินยาดักไว้ทุกๆ สองชั่วโมง ทำไมผมถึงมาที่สถานีดึกดื่นแบบนี้น่ะหรอ? ผมแค่มานั่งทำอะไรไปเรื่อย ดูแฟ้มเอกสาร พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานอย่างที่มนุษย์ปกติเขาทำกัน "อ้าวนีโอ ลมหอบมารึไง? มาซะดึกดื่นเชียวนะ" คิงส์ เรเมล เพื่อนนักสืบที่ผมทำงานกับมันมาได้สามเดือนพูดแซวเมื่อเห็นผมก้าวเข้ามาในห้องพักผ่อนของสถานี ผมเองก็ไม่ค่อยอยากต่อล้อต่อเถียงกับมันนักหรอก แต่ก็ดีกว่าทำให้ห้องนี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศเงียบๆ ที่มีเสียงฟุตบอลจากทีวีบนกำแพงขัดอารมณ์ "นอนไม่ค่อยหลับน่ะ ฉันวานนายชงกาแฟให้ซักแก้วได้มั้ย?" คิงส์ลุกออกไปที่เครื่องชงกาแฟ ผมนั่งลงช้าๆ อยากนอนใจจะขาดแต่ก็หยุดนึกถึงเรื่องสตีลไม่ได้ซักที เธอเป็นคนที่ซับซ้อน และผมเองก็อยากรู้จักกับเธอให้มากกว่านี้ แถมเธอก็สร้างเรื่องแปลกๆ มาทำให้ผมประหลาดใจได้อยู่เสมอ แต่ยังไงผมก็พูดได้เต็มปากว่าสตีลเป็นคนที่ดีคนนึงเลย ผมรู้ว่าผมยังรู้จักเธอไม่มากพอที่จะพูดเช่นนั้น เพียงแค่รู้สึกได้ว่าสตีลเป็นคนมีหัวใจและอ่อนไหว เธอแค่พยายามจะปิดบังมันเท่านั้น "ว่าแต่นายได้เรื่องอะไรมาบ้างล่ะ? เห็นว่าไปหลบอยู่ในโรงแรมนั้นมาเดือนกว่านี่" คิงส์ที่ถามเช่นนั้นทำผมนิ่งไปพักนึง นึกถึงคำขู่ที่สตีลเตือนได้ขึ้นใจ "...ไม่ค่อยเจออะไรที่จับต้องได้เท่าไหร่" "งานสายสืบมันก็แบบนี้แหละ แต่ก็ดีกว่าทำงานจราจรล่ะวะ" ผมพยักหน้าและรับกาแฟที่คิงส์ยื่นมาให้ กลิ่นกรุ่นๆ ของเมล็ดกาแฟบดนั้นทำให้ผมสดชื่นขึ้นหลังจากเจอเรื่องที่เกือบโดนฆ่าตั้งสองครั้ง อันที่จริงผมต้องไปเที่ยวผับตามประสาผู้ชายเหมือนทุกคืนวันศุกร์ ไปหาสาวอารมณ์เปลี่ยวสักคนแล้วก็แลกเบอร์ มันอาจจะโบราณไปหน่อย ผมรู้น่ะ แต่ผมเข้าไม่ถึงโซเชียลมีเดียหรืออะไรแบบนั้นจริงๆ ผมเปิดหน้าจอโทรศัพท์หลังจากมีเสียงข้อความดังขึ้นติดกันสามรอบ มันทำให้ผมสนใจมากพอจะกดเข้าไปดู 'งานฉลองที่หอศิลป์ฮามอน มิคค์ ใส่สูทมาด้วย จากคนที่นายเกลียดขี้หน้า :)' คงเป็นคาร์ลแน่นอน นักฆ่าที่มาขู่ผมถึงในห้อง แต่เขาต้องการอะไรจากผมกัน? ใจผมเดาว่าคงจะเป็นเรื่องสตีลและรู้ว่าตัวเองคิดถูก ผมจึงกระดกกาแฟไปสองสามอึกก่อนจะวางแก้วทิ้งไว้บนโต๊ะ จากที่นี่นั่งแท็กซี่ไปสิบนาทีก็น่าจะถึงแล้ว "ฉันฝากล้างทีนะ มีธุระด่วน" "ได้ดิ" คิงส์ตอบรับด้วยท่าทางสงสัย "ว่าแต่นายจะไปไหนน่ะ?" "มีคนอยากให้ฉันไปหาตอนนี้เลย ไว้เจอกันพรุ่งนี้จะเล่าให้ฟัง" คิงส์โบกมือไล่ให้ผมไปไกลๆ และหันกลับไปดูฟุตบอลต่อ ผมรีบเดินไปที่ห้องล็อกเกอร์ของสถานีและหยิบชุดสูทที่เก็บสำรองไว้ออกมา ผมรู้ว่ามันฟังดูแปลก แต่ผมอยู่กินที่สถานีตำรวจมากกว่าห้องตัวเองซะอีก เสื้อมีฝุ่นเกาะอยู่นิดหน่อย ผมจึงใช้มือปัดฝุ่นพวกนั้นและรีบถือชุดสูทนอกออกไปที่หอศิลป์ตามคำเชิญของคาร์ล ฉันเดินมาจนถึงโถงใหญ่โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น มีนักธุรกิจทั้งจากองค์กรและนอกองค์กรเดินกันเพ่นพ่านจนฉันแทบมองไม่เห็นทาง แต่มันก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่พวกนักฆ่าจะไม่สามารถเห็นฉันได้ พวกเขามัวแต่สนใจที่ประตูหน้าเพราะคิดว่าฉันจะเข้ามาทางนั้น แน่นอนพวกนั้นคิดว่าฉันต้องทำ เพราะสองคนที่เฝ้าทางด้านหลังไว้โดนฉันจัดการไปแล้วน่ะสิ และสายตาฉันก็เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มผมแดง...หนึ่งในคนที่ข่มขืนฉัน เป็นคนเดียวที่ฉันไม่ได้ยินคำพูดออกจากปากเขาแม้แแต่คำเดียว ฉันได้ยินเสียงภายในหัวที่กำลังกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ฉันอยากจะฉีกกระชากร่างเขา ทำให้รู้สึกตายทั้งเป็น ฉันมองเด็กผมแดงคนนั้นเข้าไปในห้องชั้นสองพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง ฉันเริ่มสังเกตเห็นว่าแขกบางคนมีการปิดบังหน้าตาจึงคิดหาทางที่จะทำแบบนั้นเช่นกัน โดยการหยิบผ้าเช็ดโต๊ะสีดำโทนเดียวกับชุดมัดเป็นผ้าปิดปาก ก่อนจะเริ่มคิดหาวิธีขึ้นไปยังชั้นสอง จะมีซักกี่วิธีกันนะที่จะขึ้นไปได้โดยไม่ถูกเห็น และโชคก็เข้าข้างฉัน...รถส่งอาหารที่สามารถขึ้นและลงได้ตามปกติ ปัญหาคือฉันสูงเกือบหกฟุต แค่ขดตัวยังไม่พอจะเอาขาเข้าได้ด้วยซ้ำ แต่ไม่มีทางรู้หรอกหากฉันไม่ลองดู เมื่อคิดแผนเฉพาะหน้าได้เช่นนั้นฉันจึงเดินไปหาสาวเสิร์ฟในชุดบริกรสีแดงพร้อมผูกไทคเหมือนผู้ชาย ผู้หญิงด้วยกันมักจะโน้มน้าวได้ง่ายเสมอ "ขอโทษนะคะ" ฉันถามอย่างสุภาพจนเธอหันมา "มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ?" สาวสวยร่างบางส่งรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา "คือฉันอยากขอให้ช่วยอะไรหน่อยน่ะค่ะ พอดีว่าฉันมีแผนจะเซอร์ไพรส์แฟนฉัน คุณพอจะช่วยได้มั้ยคะ?" หลังจากที่ฉันบอกแผนปลอมๆ ของฉันไป เธอดูตื่นเต้นมากในการมีส่วนร่วมกับแผนนี้ โดยฉันจะซ่อนตัวอยู่ใต้รถเข็นอาหารจนเธอพาฉันเข้าไปในห้อง และเธอก็จะแกล้งทำเป็นว่ามีคนสั่งอาหารมาให้เขาเพื่อเซอร์ไพรส์ แน่นอนว่าฉันขอให้เธอออกไปหลังจากที่เด็กหนุ่มผมแดงรับรถเข็นเข้ามาแล้ว "คุณโอเครึเปล่าคะ?" เธอแอบกระซิบระหว่างที่ลิฟท์กำลังขึ้นมาด้านบน "ข้างในเริ่มอุ่นแล้วค่ะ" ฉันพูด เหงื่อซกจนเสื้อเริ่มเปียก จนกระทั่งเสียงลิฟท์มายังชั้นสองดังขึ้น เธอยังเข็นรถต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทุกอย่างก็นิ่งสนิท เธอเคาะประตูห้องที่เด็กผมแดงคนนั้นอยู่ "ใครน่ะ?" "ฉันเอาอาหารมาเสิร์ฟค่ะ" "เข้ามาเลย" และประตูก็เปิดออก ฉันกำปืนกระบอกเล็กที่รัดอยู่ตรงขาไว้แน่น พยายามให้ตัวเองใจเย็นและมีสติที่สุดจนไม่เผลอทำอะไรวู่วาม ก่อนที่สาวเสิร์ฟคนนั้นจะปิดประตูห้องออกไปเงียบๆ ฉันได้ยินเสียงทีวี ไม่ยักรู้เลยว่าหอศิลป์จะมีห้องบริการแบบนี้ด้วย ฉันอยู่ใต้รถเข็นพักนึงจนตัดสินใจได้แล้วว่าจะฆ่าเขาจริงๆ จึงก้าวขาออกมาโดยมีปืนพกคู่ใจของคาร์ลนำหน้าไปก่อน ค่อยๆ คืบคลานไปหาจนปลายกระบอกหยุดที่ด้านหลังเด็กคนนั้น "อย่าหันมา" "...มาร์ตินี่ใช่มั้ย" "ฉันเอง" และเขาก็หันมาโดยไม่สนใจคำสั่งของฉัน ฉันถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อไม่ให้เขาคว้าปืนหรือทำอะไรก็ตามให้เรื่องนี้จบไวขึ้น "แล้วไงต่อล่ะ เธอคงไม่เหนี่ยวไกหรอก ข้างล่างคนอยู่เต็มไปหมด เธอคงจะไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นใช่มั้ยล่ะ?" ฉันฉีกยิ้มกว้างเยาะเย้ย "ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก แต่นึกว่านายจะรู้เวลาซะอีก ตอนนี้กี่โมงแล้วล่ะ?" เด็กผมแดงยิ้มและมองนาฬิกา แต่สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อตอนนี้เข็มยาวกำลังจะชี้ไปที่เลขสิบสองอีกครั้ง เขาและฉันรู้ดีว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น 'ห้า! สี่! สาม! สอง! หนึ่ง!' เขาส่งเสียงร้อง แต่ไม่ทันกับฉันที่ลั่นไกทันทีเมื่อเสียงพลุเอฟเฟคภายในโถงถูกจุดออกมา เป็นจังหวะเหมาะที่เสียงพลุดังกลบเสียงปืนพอดี และเด็กผมแดงคนนั้นก็นอนจมกองเลือด ไม่คิดเลยว่ามันจะง่ายขนาดนี้…ฉันรีบเก็บปืนและถ่มน้ำลายใส่ร่างไร้วิญญาณบนโซฟา ฉันรีบออกจากห้องและอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังสนใจงานลงมาจากชั้นสองอย่างรวดเร็ว และฉันก็ชะงักไปเมื่อมือของใครบางคนคว้าข้อมือฉันไว้ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลภายใต้หน้ากากและรอยยิ้มนั้นทำให้ฉันประหลาดใจ "นีโอ? นายมาได้--" "ชู่ว..." เขาโน้มตัวกระซิบ "ไปเต้นรำกันเถอะ" และเขาก็ลากฉันไปที่กลางโถงใหญ่ ฉันตื่นตระหนกอยู่ครู่นึงก่อนจะนึกได้ว่าจุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่ปลอดภัยที่สุดเช่นกัน แถมยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งเต้นอยู่รอบๆ อีกต่างหาก เขาคงตั้งใจลากฉันมาซ่อนตัวตรงนี้เพื่อหลบสายตาการ์ดคนอื่นๆ "นายมาทำอะไรที่นี่?" "คาร์ลส่งข้อความมาน่ะ แล้วเธอล่ะ? ที่นี่ดูไม่ใช่งานสำหรับเธอเลยนะ" "...จัดการธุระนิดหน่อย" นีโอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย จนเมื่อเสียงประกาศจากพิธีกรดังขึ้น ฉันจึงไม่พูดอะไรต่อและหันไปสนใจที่เวที นอกจากที่พิธีกรพูดถึงความสำคัญของงานนี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก ฉันหันไปดูที่ห้องชั้นสองเพื่อสังเกตว่าพวกนักฆ่าจะเริ่มเอะใจพอขึ้นไปดูด้านบนรึเปล่า แต่ด้านบนยังเงียบเชียบ ฉันจึงหันกลับมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นีโอดูดีไม่เบาเลยเวลาแต่งสูทแบบนี้ ผมสีน้ำตาลที่ปัดข้างเป็นทรงสมบูรณ์แบบ ใบหน้าที่ดูดีเช่นนั้น เขาเอาเวลาที่ไหนทำให้ตัวเองดูน่าดึงดูดได้ขนาดนะ? เมื่อเสียงดนตรีเริ่มบรรเลงคู่เต้นรำชายและหญิงก็ก้าวเท้าและโอบเอวเดินไปมาตามจังหวะ เราสองคนยังยืนนิ่งและมองหน้ากัน "เต้นสิ" นีโอพูดด้วยสีหน้าจริงจังและรีบโน้มตัวเข้ามาโอบฉันไว้ "ยังไง? ฉันไม่เคยเต้นเลยนะ" นั่นเป็นความจริง ฉันไม่เคยเต้นมาก่อน และฉันอาจจะทำแผนพังได้ทุกเมื่อโดยที่กำลังจะสติแตกแบบนี้ นีโอกระชับเอวฉันให้แนบชิดกับเขามากกว่าเดิมและก้มลงกระซิบ "ปล่อยวางหน่อยสิ ปล่อยวาง" นีโอนำมือขวาของฉันให้ยกตามจังหวะของเขา "ไว้ใจฉัน...โอเคนะ?" ฉันพยักหน้ารับ และนีโอก็จับมือฉันให้ไปพาดไว้ที่ไหล่ขวาของเขา เราเริ่มเต้นกันอย่างเชื่องช้าในตอนแรกจนฉันเริ่มเข้าจังหวะได้ เพลงยังบรรเลงต่อไปพร้อมกับฉันที่ยังขยับตัวเกร็ง "จะเต้นท่าหุ่นยนต์รึไง? เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก" นีโอกระซิบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด "ก็...ฉันไม่เคยเต้นรำนี่" "งั้นลองคิดว่าผมคืออีธานสิ" ครู่หนึ่งที่นีโอพูดออกมาแบบนั้นปละฉันมองหน้าเขา ดวงตาสีห้าคู่นั้นทำให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับอีธาน มื้อสังสรรค์ของเราสองคนและเสียงดนตรีที่พาให้เราเต้นระบำกันเหมือนเด็กน้อย นั่นจึงทำให้ฉันเริ่มที่จะเต้นรำตามจังหวะของนีโอ ระหว่างที่ออกท่าทางฉันนึกถึงตอนที่อีธานนั้นพยายามที่จะสอนฉันเต้นลีลาศครั้งแรก ฉันปิดตาลงและรู้สึกถึงอีธาน รู้สึกว่าเขากำลังโอบกอดฉัน ฉันและนีโออยู่ในโลกที่มีแค่เราสองคน อาจจะรู้สึกโรแมนติกกว่านี้ก็ได้ถ้าไม่มัวคิดถึงเรื่องนักฆ่าที่จะตามมาเป่าหัวหากพวกนั้นรู้ว่าเด็กผมแดงตายไปแล้ว จนเมื่อสายตาฉันเหลือบไปเห็นยูกะที่กำลังหัวเราะและดื่มสังสรรค์กับคนในองค์กร เธอจิบมาจิโต้แก้วโปรดอยู่บนชั้นสอง นั่นแหละสิ่งที่ฉันควรต้องกลัวจริงๆ "นีโอ ไปกันเถอะ" ฉันลากเขาออกมาจากฝูงชนในเพลงเต้นรำ จากที่ฉันคำนวณนักฆ่าหรือคนในงานน่าจะเริ่มเอะใจแล้วว่าเด็กผมแดงนั้นหายไปไหน โดยฉันพานีโอมายังทางหลังร้าน "จะรีบไปไหนน่ะ?" นีโอสะบัดมือออกเมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมตอบคำถามเขา "บอกฉันมาว่าเธอมาทำอะไรที่นี่" "รีบไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง" ฉันจูงมือนีโอมาถึงประตูด้านหลังที่แอบเข้ามาโดยที่มีรถตู้คันหนึ่งจอดขวางไว้ ฉันรู้ในทันทีว่าต้องเป็นคนขององค์กรแน่ๆ แต่ฉันรู้ว่านั่นไม่ใช่คนของวิกโก้เพราะยี่ห้อรถคนนั้น ฉันจึงถอยหลังหนึ่งก้าวและตั้งท่าพร้อมยิงหากอีกฝ่ายโต้ตอบกลับ "ขึ้นมา" เสียงนั้นเชื้อเชิญอย่างไร้อารมณ์ก่อนที่หญิงสาวผมบลอนด์จะเปิดกระจกข้างประตูคนขับ เธอทำเหมือนว่าการชวนคนไม่รู้จักขึ้นรถมันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ ฉันคงจะยอมขึ้นไปโดยง่ายถ้านีโอไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่นีโอแตะไหล่ฉันและแสดงสีหน้ายอมจำนนกับคำของสาวผมบลอนด์ ฉันและนีโอจึงขึ้นไปบนเบาะหลังรถที่ถูกกั้นระหว่างกลางด้วยกระจกนิรภัยซึ่งฉันรู้ดีว่ามันมีไว้ทำไม ประตูถูกปิดลงก่อนจะตามมาด้วยแก๊สยาสลบ ฉันเสียท่าให้คนพวกนี้ซะแล้ว... "ไม่ต้องห่วงคุณสตีล ถือว่าเป็นทริปพักผ่อนระยะสั้นนะคะ" ฉันแค่นหัวเราะกับคำพูดของสาวคนนั้นพลางมองนีโอที่ฟุบหมดสติไปแล้ว ทริปพักผ่อนระยะสั้นงั้นหรอ? ดูแล้วคงได้เป็นทริปพักผ่อนตลอดกาลซะมากกว่า ฉันนึกตลกก่อนที่ภาพตรงหน้าจะค่อยๆ มืดลงไป [End of Chapter 9]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD