[Chapter 8] Fading Hope

3774 Words
"คุณยังคิดถึงผมอยู่รึเปล่า สตีล?" "อีธาน?" ฉันหันกลับไปหาอีธานที่ยิ้มทักทายให้ฉันเหมือนอย่างที่เขาชอบทำ แต่ใบหน้าซีดไร้ชีวิตที่เปื้อนเลือดและแผลกระสุนทั้งห้านัดบนลำตัวที่ฉันมองอยู่นั้นทำให้ฉันกลัว...ไม่กล้าเดินไปหาเขาทั้งๆ ที่อยากทำใจจะขาด จนเมื่ออีธานพุ่งมาในระยะประชิด นั่นทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายก่อนจะรวบรวมสติได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน...บาร์แถบชานเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากโบสถ์ โดยมีนีโอนั่งอยู่ข้างๆ อ่านเมนูอาหารโดยไม่ได้สนใจฉันที่สตินีออกจากร่างไปเมื่อครู่ ล่าสุดที่พอจะจำได้ นีโอโผล่มาหาฉันที่โบสถ์ แล้วเขาก็พูดว่าอยากจะคุยกับฉัน รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่นี่แล้ว นีโอละสายตาจากเมนูตรงหน้าและสังเกตเห็นว่าฉันดูตื่นตระหนกจากการที่ใจลอยเรื่องอีธาน "หน้าซีดอย่างกับเห็นผีมา" นีโอกล่าวด้วยประโยคตลกร้ายออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่ได้ดูเป็นห่วงขนาดนั้น คิดว่าเขาคงพยายามไม่ทำตัวให้ฉันเดาออกเกินไป "...คงงั้น" ฉันตอบกลับ นีโอรับแก้ววิสกี้ขึ้นจิบก่อนจะวางแก้วลง และเขาก็หยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมา ฉันเลิกคิ้วใส่เขาด้วยความสงสัย "เอาไอ้นั่นมาทำอะไร?" "ฉันอยากรู้เรื่องทุกอย่างของเธอ รวมถึงเรื่องขององค์กรนั่นด้วย" "แล้วทำไมฉันต้องเล่าล่ะ?" ฉันถามด้วยสีหน้าและปฏิกิริยาที่อยากให้นีโอรู้ว่าฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เขาขยับหน้าเข้ามาใกล้เหมือนจะกระซิบ "ก็นึกว่าเธออยากหาพันธมิตรช่วยซะอีก" ฉันแค่นหัวเราะเพราะความไร้เดียงสาของเขา คงคิดว่าตำรวจจะช่วยฉันได้ เอาจริงๆ ถ้าฉันได้เจอนีโอก่อนหน้านี้คงจะปลื้มความเป็นเด็กใหม่ไฟแรงของเขาจนอยากเก็บไปฝันเลยล่ะ แต่ครู่หนึ่งที่ฉันได้เห็นแววตาจริงจังที่ฉายผ่านดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้น ฉันจึงคิดว่าเขาไม่ได้พูดเล่น "ไม่มีใครทำอะไรพวกเขาได้หรอกนีโอ ฉันคิดว่านายจะรู้ดีซะอีก" "ก็จริง" นีโอถอยกลับไปและเก็บเครื่องอัดเสียงเข้ากระเป๋า แต่ท่าทางของเขาไม่ได้ดูผิดหวัง เหมือนเขาจะรู้ดีว่าฉันจะให้คำตอบอะไรกลับไป จนเมื่อบาร์เทนเดอร์วางแก้วมาร์ตินี่ที่ฉันไม่ได้สั่งบนเคาท์เตอร์ไม้ขัดสีเข้ม ตลกร้ายจริงๆ นะ...ฉันยกแก้วจิบ รสชาติของจินที่แตะปลายลิ้นทำฉันมึนไปครู่หนึ่ง แอลกอฮอล์เป็นแรงขับเคลื่อนรูปแบบหนึ่งที่ทำให้คนมีความกล้าที่จะทำบางอย่าง ฉันจึงยอมที่จะให้นีโอรู้จักฉันบ้าง สักห้าเปอร์เซ็นต์ก็ยังดี "งั้นก็ลองถามมาสิ" ฉันหันไปสบตานีโอที่ดูแปลกใจ "อยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?" "พวกคนในองค์กร ทำไมถึงมีอิทธิพลในเมืองขนาดนี้? ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกนะจนลองไปหาประวัติของพ่อหนุ่มผมบลอนด์เพื่อนเธอ แทบจะไม่มีอะไรอยู่ในระบบเหมือนกัน" "...องค์กรเราจะแบ่งเป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนดูแลธุรกิจ ดูแลอำนาจและอิทธิพลในเมือง ดูแลตลาดมืด และดูแลคนแบบฉัน แต่ส่วนใหญ่ทุกฝ่ายจะมีนักฆ่าปะปนดูแลอยู่แล้ว และแน่นอน ถ้านายมีเงินและอำนาจมากขนาดนั้นสิ่งแรกที่นายจะซื้อคือพวกตำรวจใช่มั้ยล่ะ" นีโอนั่งฟังอย่างตั้งใจ ที่จริงฉันไม่อยากพูดเรื่ององค์กรให้เขาฟังหรอกเพราะกฎขององค์กรที่มีคนพูดทิ้งท้ายก่อนที่ฉันจะออกมา 'ห้ามแพร่งพรายความลับขององค์กรให้คนภายนอกฟัง' ช่างหัวมันสิ ไหนๆ วิกโก้ก็อยากจะฆ่าฉันให้ตายอยู่แล้ว แต่ลึกๆ แล้วฉันก็กลัวเขานะ วิกโก้และคีปเปอร์ผมบลอนด์คนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้เขาจะยังอยู่รึเปล่า การที่ฉันฝันเห็นเขาแทบจะทุกครั้งเมื่อฉันนึกถึงเรื่องในองค์กรมันก็ไม่ใช่เค้าลางที่ดีเท่าไหร่ จนเมื่อมีเลเซอร์สีแดงเล็งที่ขมับขวาของนีโอจากด้านนอกขัดการสนทนาของเรา นั่นทำให้ฉันรีบพุ่งไปคว้าร่างนีโอไว้จนเราทั้งคู่ล้มลง กระสุนปริศนาพุ่งใส่แก้วมาร์ตินี่ของฉันเหมือนจงใจ ฉันที่เห็นดังนั้นจึงรู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ต้องการปลิดชีพนีโอ "เฮ่" นีโอแตะไหล่ฉันเพื่อให้เห็นสภาพที่เขานอนอยู่บนพื้นเปียกๆ โดยมีฉันนอนทับร่างเขาอยู่ "หนักใช้ได้อยู่นะ" "ขอโทษที" ฉันลุกก่อนจะดึงตัวนีโอขึ้นมา เขายิ้มแห้งและสะบัดเสื้อโค้ทชุ่มน้ำ ฉันมองรอบๆ เห็นทุกคนในร้านที่นอนคว่ำบนพื้น ไม่มีกระสุนนัดที่สองและสามตามมา สายตาฉันจ้องไปยังรูกระสุนบนกระจกและเห็นเงาของใครบางคนยืนจ้องมองฉันอยู่ก่อนที่บุคคลปริศนาจะหายเข้าไปในเงามืด ฉันมองปืนพกที่ยู่ในซองปืนของนีโอ "ขอยืมได้รึเปล่า?" "จับไอ้บ้าที่เกือบจะฆ่าฉันให้ได้ก็พอ" ฉันคว้าเอาปืนของนีโอมาโดยไม่สนคำที่นีโอบอกให้จับมา เดี๋ยวฉันก็แค่ไปเค้นคนที่ยิงว่าเป็นใครและต้องการอะไร พอได้ทุกอย่างที่อยากรู้ก็แค่เป่าหัวไอ้คนๆ นั้นให้จบเรื่องไป ค่อยไปบอกนีโออีกทีว่าฉันทำเพื่อป้องกันตัว แต่เขาจะเชื่อรึเปล่ามันก็อีกเรื่องหนึ่ง คิดได้แบบนั้นฉันจึงคว้าปืนพกของนีโอและวิ่งออกไปจากร้าน ฉันเดินไปตามทางข้างถนนอีกฝั่งซึ่งเป็นพื้นที่หญ้าขึ้นสูงที่มีคนจงใจทิ้งร่องรอยไว้ คอยมองซ้ายมองขวาตลอดเผื่อว่าจะมีกับดัก เพราะยังไงเขาหรือเธอคนนั้นก็เห็นฉันแน่ๆ แต่ไม่อยากจะฆ่า ต้องการอะไรกันนะ? ทันใดนั้นก็มีมีดขว้างพุ่งมาปักที่ต้นไม้ด้านขวามือฉันในระยะที่เฉียดหน้าฉันไปนิดเดียว ฉันมองบุคคลภายใต้เงามืดที่ค่อยๆ เผยตัวออกมา...ยัยเด็กหน้าม้าเฉิ่มคนนั้น แน่นอนว่าฉันลืมวีรกรรมของแม่สาวคนนี้ไปไม่ได้หรอก โดยเฉพาะเรื่องที่เธอทำไว้กับฉันไว้เมื่อตอนยังอยู่ในองค์กร ยังคิดแปลกใจอยู่ว่าทำไมคนหัวรั้นอย่างเธอถึงมาอยู่จุดที่ไกลขนาดนี้ได้โดยไม่โดนคนอื่นฆ่าตายไปซะก่อน "ไงมาร์ตินี่ ไม่สิ...ต้องเรียกสตีลถึงจะถูก คุณเป็นแค่อดีตไปแล้วนี่นา" "ยูกะ นึกว่าจะออกจากวงการไปแล้วซะอีก" ฉันยิ้มทักทายพลางดึงมีดขว้างที่ปักคาต้นไม้ เด็กสาวลูกครึ่งอเมริกัน-ญี่ปุ่นอายุย่างเข้ายี่สิบคนนี้อันตรายกว่าที่เห็นจากนอก เชื่อฉันเถอะ ตอนนี้เราต่างยืนจ้องหน้ากันโดยที่กำปืนในมือไว้แน่น ยูกะจะฆ่าฉันฉันเลยก็ได้ แต่ถ้าทำแบบนั้นเธอคงไม่รู้สึกภูมิใจหรอกมั้งเพราะเธอคิดว่าตัวเองเป็นพวก 'มือโปร' ยูกะดูจะภูมิใจกับคำนี้มากตอนที่ฉันยังอยู่ในองค์กร "งานแบบนี้สนุกสำหรับหนู คุณก็น่าจะรู้ดีนี่คะ" เธอพูดและฉีกยิ้มกว้างจนริมฝีปากเกือบจะถึงหู "อีกอย่าง ถ้าเป็นแบบนั้นจริงหนูก็ไม่ใช่ยัยหน้าโง่ที่ออกจากงานเพราะผู้ชายหรอก" เออ...นั่นฉันเอง "ทำไมไม่ฆ่าฉันตั้งแต่ตอนอยู่ในร้านล่ะ? ความสามารถเธอก็ไม่ได้กระจอกขนาดนั้นซะหน่อย" "ไม่งอนสิสตีล" เธอเดินมาหาฉันพร้อมรอยยิ้มใสซื่ออันเป็นเอกลักษณ์ จะมีอะไรน่ากลัวไปกว่าการเสแสร้งแกล้งไรเดียงสาอีกล่ะ เธอเก่งเรื่องนี้มากกว่าฉันซะอีก คงไม่แปลกที่คนในองค์กรชอบสไตล์ของยูกะมากกว่าฉันในบางช่วงของการทำงาน "หนูจะเก็บคุณไว้เฉือนแบบส่วนตัวต่างหากล่ะ หลังจากเรื่องที่คุณทำไว้ก่อนจะออกจากองค์กรน่ะ" ฉันเนี่ยนะไปทำอะไรให้เธอ? กับยัยโรคจิตนี่น่ะหรอ? ฉันไม่เห็นจะจำได้เลยว่าไปทำอะไรให้ยูกะโกรธหรือเหม็นขี้หน้า ฉันไม่เคยได้ร่วมงานกับเธอเลยซักครั้ง แล้วฉันจะไปทำให้เธอหมั่นไส้ได้ยังไง "โทษทีนะ แต่ฉันทำให้เธอโกรธตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?" "จำไม่ได้หรอ งานที่คุณแย่งหนูไปน่ะ ดีแลน นาส หนูไม่ได้ทำงานนั้นก็เพราะคุณ" งานนั้นเอง​ ฉันคิด มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นยูกะเพิ่งเข้ามาเป็นเด็กใหม่เพียงแค่สองเดือน งานสังหารที่เธออยากทำใจจะขาดคือการไปจัดการเป้าหมายที่เป็นหัวหน้าแก๊งเล็กๆ ในเมือง ด้วยความที่เธอเป็นเด็กใหม่อยู่ฉันจึงไม่ยอมให้เธอได้งานนั้น ความเสี่ยงทางธุรกิจที่เธอบอกว่าเธอเข้าใจดีและไม่ได้โกรธอะไร แสดงว่าเธอโกหกฉันมาตลอดเลยสิ ​"ไหนบอกว่าเข้าใจดีไง" "เปล่า หนูโกหก" จากนั้นยูกะก็หยิบปืนกลเก็บเสียงที่ซ่อนอยู่ด้านหลังยิงกราดใส่ฉันทันที ฉันแกล้งล้มลงก่อนจะหยิบปืนพกของนีโอยิงสวนยูกะ เธอรีบหลบหลังต้นไม้ก่อนที่ฉันจะทันได้ยิงเธออีกครั้ง "แน่จริงก็ฆ่าฉันให้ได้สิ ยัยเด็กบ้าเอ๊ย" ฉันท้าให้ยูกะโมโห "ระวังตาคู่นั้นของคุณไว้ให้ดีล่ะ หนูไม่อยากเห็นมันโบ๋ไปซะก่อน" ยูกะพูดขู่ก่อนจะโผล่ออกมา เป็นจังหวะที่ฉันจะยิงสวนแต่ว่าไม่ทัน ตอนนี้ต้นไม้ที่หลบอยู่เต็มไปด้วยรอยพรุนจากกระสุน มีกระสุนนัดนึงถากแขนฉัน ความร้อนของมันทำเอาฉันสะดุ้งด้วยความเจ็บ รอให้กระสุนหมดก่อนเถอะ และสองสามวิหลังจากนั้นเสียงปืนก็เงียบไป ฉันถือปืนพกไว้โดยพยายามไม่ให้เหงื่อบนมือทำให้ปืนหลุดไป พอฉันโผล่หน้าออกไปยูกะก็ใช้มีดพกเล่มโปรดของเธอแทงเฉียดที่แขนขวาจนปืนหล่น ฉันที่ถูกกระตุ้นประสาทสัมผัสจากความเจ็บปวดรีบแย่งมีดที่ยูกะถืออยู่ เธอสกัดขาจนฉันล้มลง สายตาอาฆาตแค้นของเธอทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ใจ สายตาที่ไร้ซึ่งความปราณีต่อศัตรูหรือเหยื่อ เด็กน้อยที่เคยใสซื่อตอนนี้เธอกลายเป็นนักฆ่าที่ไร้จิตใจไปแล้ว อะไรกันนะที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้? ​"ไม่น่าสตีล...อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ รู้มั้ยว่าหนูฝันที่จะเชือดคอคุณทุกคืน ตาสีเทานั่นอีก" ยูกะบีบบังคับให้ฉันมองหน้าเธอ "อืม...มันน่าควักออกมาจริงๆ" ฉันพยายามผลักเธอออกไป ยูกะใช้เท้าข้างนึงเหยียบแผลที่แขนขวาจนฉันดิ้นไม่หลุด เธอจิกหัวฉันขึ้น ก่อนจะใช้มีดในมือจ่อเข้าหาตาขวาของฉันช้าๆ ฉันที่กลัวใจจะขาดไม่กล้าขยับหรือแม้กระทั่งจะหายใจ และแล้วยูกะก็ชะงักไปเพราะโทรศัพท์ของเธอที่สั่นเรียก ขอบคุณพระเจ้า...แต่สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้เธอลังเลใจเลยแม้แต่น้อย "ธ--เธอควรจะรับสายนะ" ฉันที่ยื้อยุดมีดพูดตะกุกตะกักพลางใช้สองมือยื้อมีดไว้ ยูกะุถอนหายใจและหยิบโทรศัพท์ออกมา โดยที่ในมือเธอจ่อมีดที่คอฉันไว้ "ค่ะ...โมจิโต้พูดค่ะ" ฉันไม่รู้ว่าเธอคุยอะไรกับปลายสายบ้าง แหงล่ะ ใครจะมีสมาธิได้โดยที่มีมีดจ่อคออยู่กัน ยูกะคุยกับปลายสายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางโทรศัพท์และมองที่ฉันอีกครั้ง "คุณนี่โชคดีนะ" ยูกะยิ้มเจ้าเล่ห์ "เสียดายที่หนูขัดคำสั่งคนพวกนั้นไม่ได้ ไม่งั้นคงได้สนุกกันมากกว่านี้" ยุกะยืนขึ้นก่อนจะเก็บมีดเข้ากระเป๋า ฉันที่นึกว่าเธอจะยอมเดินจากไปอย่างสันติถูกเตะสวนเข้าที่กลางหน้าผากจนร่างกระแทกกับพื้น เมื่อลุกขึ้นยูกะก็หายไปแล้ว "ยัยเด็กเวรเอ้ย…" ฉันมองสภาพตัวเองที่เลือดไหลบนแขนขวา ไม่รู้ว่าบาดแผลที่ยูกะทำไว้จะสร้างความเสียหายขนาดไหน เจ็บเป็นบ้า ฉันเก็บปืนพกของนีโอซ่อนไว้ด้านในเสื้อก่อนจะเดินออกมา ใช้เวลาไม่นานฉันเก็ดินตัวโชกเลือดมาถึงร้าน นีโอนั่งรอฉันอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม เขาจิบเบียร์อุ่นๆ ก่อนจะชายตามองฉัน "นึกว่าจะโดนฆ่าแล้วซะอีก" นีโอถามด้วยน้ำเสียงยียวน แต่แล้วเขาก็แสดงความเป็นห่วงโดยการหันมาดูจริงจัง "ให้ช่วยทำแผลมั้ย?" "ยังก่อน...ฉันขอพักแป๊บนึง" ฉันเดินโซซัดโซไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ นีโอก่อนจะสั่งวิสกี้กับหนุ่มบาร์เทนเดอร์ จากนั้นเราก็ไม่พูดอะไรอีก ฉันใช้ผ้าเช็ดเคาท์เตอร์บาร์ที่ขอกับสาวบาร์เทนเดอร์อีกคนมาห้ามเลือดชั่วคราว หันไปสบตานีโอที่ไม่พูดอะไรพลางจิบเบียร์อีกหนึ่งอึก ฉันวางปืนบนโต๊ะและถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะมองเมนูอาหารด้านหน้า เมื่อตัดสินใจเลือกได้แล้วฉันจึงกวักมือเรียกบาร์เทนเดอร์สาว "ฉันอยากสั่งเบอร์เกอร์น่ะค่ะ?" เธอยิ้มอย่างเป็นมิตร "ค่ะ ต้องการเป็นเนื้ออะไรดีคะ? หมู ไก่ หรือว่าเนื้อวัว" "ไก่ค่ะ ขอบคุณนะคะ" เธอยิ้มตอบก่อนจะหายเข้าไปหลังร้านพร้อมใบเมนูที่จดไว้ นีโอมองกลับมาอย่างแปลกใจ "ชอบเบอร์เกอร์หรอ?" ฉันพยักหน้า "ทำไมถึงชอบล่ะ?" "ถามเหมือนนายจะสนใจ ไม่มีเรื่องอื่นให้คุยรึไง?" นีโอที่ได้รับคำตอบแบบนั้นแสดงสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน เหมือนรู้สึกผิดที่เขามาถามเรื่องส่วนตัวของฉันมากเกินไป คงจะพูดแรงไปจริงๆ "เรื่องสมัยเด็กน่ะ มันไม่สำคัญหรอก" ฉันหยิบแก้ววิสกี้ที่บาร์เทนเดอร์เสิร์ฟให้ขึ้นมาจิบ "แค่ความทรงจำไร้เดียงสาที่ยังไม่สูญสลาย" เขาแค่นหัวเราะและพยักหน้าเป็นการตอบกลับ ฉันกระดกวิสกี้อึกสุดท้ายก่อนจะมองแผลที่แขนขวาอีกครั้ง เลือดยังไม่หยุดไหล ดูเหมือนฉันคงต้องเย็บแผลเองจริงๆ นีโอคงจะรู้เหมือนกันว่าเขาควรจะช่วยยังไง "กลับกันเถอะ" เขากระดกเบียร์อึกสุดท้าย "เดี๋ยวฉันทำแผลให้"​ ฉันพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะรอเบอร์เกอร์ที่สั่งไว้ หลังจากนั้นเบอร์เกอร์ไก่ที่ห่อฟรอยไว้อย่างดีก็มาเสิร์ฟตรงหน้า ฉันเดินออกจากร้านพร้อมกับนีโอที่ส่ายหน้าเบื่อๆ ข้างนอกยังฝนตกอยู่ เราสองคนเดินฝ่าสายฝนกันมาจนถึงรถมัสแตงสีแดงที่นีโอนั่งมากับฉันด้วย ฉันสตาร์ทรถและขับออกจากร้าน สามชั่วโมงหลังจากนั้นเราสองคนก็กลับมาถึงโรงแรม ตอนแรกฉันจะเรียกหมอคนเดิมมาทำแผลให้แต่นีโออาสาที่จะทำให้ ฉันจึงยอมเขา อีกอย่างลุงหมอคนนั้นก็เป็นพวกโลกส่วนตัวสูงซะด้วย นั่นทำให้ฉันไม่ค่อยอยากยุ่งกับเขาเท่าไหร่ ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องของนีโอ ไม่เห็นจะรู้เลยว่านักสืบหน้าใหม่อย่างเขาจะรู้วิธีเย็บแผลด้วย เขาดูอ่อนโยนเหลือเกินเวลาที่ค่อยๆ ใช้เข็มแทงเข้าไปในผิวฉัน ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายมองที่แผลฉันด้วยความระมัดระวัง "เจ็บรึเปล่า?" "เจ็บสิ" ฉันตอบกลับ "แต่ก็ดีกว่าเลือดหมดตัวตาย" "อย่าหาว่าก้าวก่ายอะไรเลยนะ แต่คาร์ลเล่าให้ฟังเรื่องที่เกิดกับเธอ...ฉันเลยคิดว่าจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง" "ทำไมนายถึงแคร์ขนาดนั้นล่ะ ทั้งที่สองวันก่อนยังอยากจะโยนฉันเข้าคุกอยู่เลย" นีโอไม่ได้ให้คำตอบและสนใจที่แผลบนแขนขวาฉัน ดังนั้นแล้วฉันจึงเลือกที่จะไม่คาดคั้นคำตอบจากเขา อีกสิบนาทีต่อมานีโอก็ถอนหายใจและวางเข็มเย็บแผลบนโต๊ะ "เสร็จแล้ว” ฉันมองแผลที่เขาจัดการซึ่งไม่ได้ดูแย่เท่าไหร่นัก ฉันจึงพยักหน้าให้นีโอเพื่อให้เขาจัดการพันผ้าพันแผลเป็นอันจบ "ขอบใจ..." "ถือว่าหายกันแล้วนะ" เขาพูดและยืนขึ้นเพื่อเหยียดกล้ามเนื้อ จากนั้นนีโอก็ถอดเสื้อเชิ้ตออก กล้ามเนื้อแขนกับท้องที่เป็นมัดๆ ซึ่งถูกผ้าพันแผลคลุมไว้ทำให้ฉันเสียสมาธิไปครู่หนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้ฉันกลับมามีสติคือรอยแผลเป็นบนหลังเขา รอยกรีดที่ยาวจากท้ายทอยไปจนถึงช่วงกลางหลัง มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องสมัยเด็ก ความทรงจำอันไร้เดียงสา ขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฉันยังเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่ ตอนนั้นฉันใช้เวลาทั้งวันในการหางานทำ แต่แน่นอนว่าไม่มีใครอยากรับเด็กอายุเพียงสิบสองสภาพเหมือนศพเดินได้อย่างฉันไปทำงานหรอก ฉันหมดแรงและนั่งพักบนริมถนน แต่กลิ่นเนื้อไก่ย่างบนเตาร้อนๆ ดึงความสนใจให้ฉันเดินตามไปจนเจอร้านเบอร์เกอร์ที่ถัดไปสองช่วงตึก มันน่ากินเหลือเกิน...ฉันยืนมองจากด้านหลังร้านที่เป็นป่าทึบ จากนั้นหญิงสาววัยกลางคนก็เปิดหน้าต่างชั้นสองและโยนเศษอาหารลงมาที่ฉัน และเธอก็เอาแต่พูดวนซ้ำๆ ว่าเธอเอือมระอาขนาดไหนกับการที่มีเด็กเร่ร่อนแบบฉันมายืนส่งสายตาขออาหารแบบนี้ทุกวัน จากนั้นเธอก็ปิดหน้าต่างอย่างแรง ฉันพาตัวเองเดินไปนั่งที่ต้นไม้ต้นหนึ่งี่พอจะช่วยบังฝนที่ตกกระหน่ำลงมาและทรุดลงบนพื้นดินเปียกๆ ฉันลุกไม่ไหว…ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมว่าตัวเองกำลังจะตาย โสตประสาทที่ยังพอใช้การได้รับรู้ถึงเสียงคนทะเลาะกันในบ้าน ซักพักเสียงฝีเท้าของเด็กคนหนึ่งก็วิ่งออกมาพร้อมกับห่อฟรอยสองห่อในมือ เขามาหยุดที่ตรงหน้าฉันและโยนมันลงบนตัก ฉันจึงลืมตามองด้วยความสงสัย เขาส่งรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะหันกลับไป ฉันที่ทันสังเกตแผลบนแผ่นหลังรีบดึงมือเด็กคนนั้นไว้ "มีอะไรหรอ?" หนุ่มผมบลอนด์หันกลับมาและถามอย่างใสซื่อ "นายเลือดออก" "อ๋อ…" เขาพูดและแตะที่หลัง เลือดชุ่มมือเด็กคนนั้น "ขยับมานี่เร็ว" ฉันหยิบผ้าพันแผลและผ้าก๊อซจากในกระเป๋าออกมาจัดการแผลที่เลือดอาบ เขาเป็นเด็กตัวผอมสูง ผมบลอนด์ที่ยาวปรกจนบังใบหน้าและการที่เขาไม่ยิ้มหรือแสดงอารมณ์ใดๆ ทำให้เขาดูเป็นเด็กขี้อายและเก็บตัวในสายตาฉัน เราน่าจะอายุไม่ห่างกันมากนัก "ไปโดนอะไรมาน่ะ?" ฉันถามอย่างสงสัย "เข็มขัดด้านหัวเหล็กน่ะ" เขาบอกรายละเอียดชัดเจนที่ฟังแล้วดูเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผลแบบนี้จริงๆ "แม่คงเมาน่ะ" ฉันไม่กล้าแสดงความสงสาร ไม่กล้าจะพูดอะไรด้วยซ้ำจนกระทั่งพันแผลให้เขาเรียบร้อย จากนั้นก็มีคนเดินออกจากร้านมาและมุ่งหน้ามาหาเราสองคน จังหวะที่พ่อหนุ่มคนนั้นกำลังมองคนที่เดินเข้ามาฉันก็รีบวิ่งไปหลบหลังพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก ไม่กล้าส่งเสียงหรือทำอะไรให้เขาและผู้ใหญ่คนนั้นรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ "นีล ลูกเจ็บมามั้ย?" "ไม่เป็นไรฮะ พอดีว่ามีคน..." เขาหันกลับมาแต่ก็เห็นว่าฉันหายตัวไปซะแล้ว นีลพยายามมองเข้ามาในพุ่มไม้ แต่ฉันไม่กล้าที่จะโผล่หน้าออกไปเพราะความหวาดกลัวว่าผู้ชายคนนั้นอาจจะปฏิบัติกับฉันเช่นเดียวกับที่คนรักของเขาทำ "เข้าบ้านกันเถอะ" นีลพยักหน้าก่อนจะจูงมือผู้เป็นพ่อกลับเข้าไปในบ้าน และฉันก็ค่อยๆ มุดตัวออกจากพุ่มไม้ รีบเก็บเบอร์เกอร์ที่ได้มาเข้ากระเป๋าและวิ่งออกจากร้านนั้นทันที หลังจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในใจฉันก็นึกอยากขอบคุณเด็กน้อยคนนั้น แผลเป็นนั้นยังติดตาฉันและอยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำมาโดยตลอด แต่ทั้งชื่อทั้งผมของนีโอมันไม่เหมือน 'นีล' ที่ฉันรู้จักเลยซักนิด แถมนิสัยกวนประสาทของเขาอีกล่ะ ไม่มีประกายในตัวเขาที่ทำให้ฉันนึกถึงเด็กน้อยคนนั้นเลย เพื่อความแน่ใจฉันจึงตัดสินใจถามเขา "แผลนั่น…นายได้มายังไงน่ะ?" "อุบัติเหตุน่ะ ตอนช่วงมัธยม" ฉันที่ได้ยินคำตอบพอจะโล่งใจไปได้บ้าง แต่ถึงนีโอจะเป็นเด็กคนนั้นจริงๆ มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความรู้สึกของฉันเท่าไหร่นัก “แล้ว…ยังไงต่อล่ะ? ฉันคิดว่าเธอหมดธุระในห้องฉันแล้วนะ" "ทำไมล่ะ? ฉันจะอยู่นานกว่านี้ไม่ได้รึไง" ฉันแกล้งหยอกเพราะรู้ว่าเขาอยากจะไล่ฉันออกไป "ก็เพราะถ้าเธอไม่ไป...ฉันอาจจะถอดอย่างอื่นที่นกเหนือจากเสื้อน่ะสิ" นีโอพูดเท่านั้นก่อนจะปลดซิปกางเกงของเขาลงช้าๆ เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้สติฉันเตลิดหายไปแล้ว จากนั้นฉันก็พยายามก้าวขาที่แทบจะอ่อนแรงออกจากห้องและปิดประตูใส่หน้าเขา ฉันได้ยินเสียงเสียงหัวเราของนีโออยู่พักนึงก่อนที่เขาจะเงียบไป นั่นไม่ใช่เด็กคนนั้นหรอก ฉันย้ำคิดกับตัวเองจนกลับมาถึงห้อง ก่อนจะมองมองชุดและปืนที่วางเตรียมพร้อมบนโต๊ะ น่าแปลกที่การฆ่าทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขได้มากกว่าการนึกถึงเรื่องในวัยเด็กซะอีก [End of Chapter 8]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD