"อืม…"
ผมลืมตาขึ้นพร้อมความรู้สึกปวดไปทั้งตัว เมื่อได้สติก็เห็นว่าข้อมือและข้อเท้าถูกมัดติดกับหัวเตียงในห้องของใครบางคน ชายจีนมีอายุนั่งอยู่ข้างเตียงพร้อมกับเครื่องมือผ่าตัด ผมมีสติแทบจะทันทีเมื่อเห็นคีมรูปร่างโค้งที่อยู่ในมือของเขา
"ด-เดี๋ยวก่อน!" ผมตะโกนลั่นด้วยความตกใจในขณะที่เขากำลังจะใช้คีมผ่าตัดล้วงเข้าไปในแผล
"กัดนี่ไว้"
เขาส่งผ้าพันแผลที่ม้วนเป็นก้อนให้ผม ซึ่งผมที่ทำอะไรได้ไม่มากถูกคีมหัวโค้งสอดเข้าไปในบาดแผลเพื่อคว้านหาหัวกระสุน จากนั้นหัวตะกั่วเก้าม.ม. ก็ถูกคีบออกมา ผมโล่งใจนิดๆ ก่อนจะเป่าผ้าพันแผลก้อนนั้นทิ้ง แต่นั่นยังไม่จบ…เข็มเย็บแผล สิ่งที่ผมกลัวที่สุด เขาสอดไหมเย็บแผลเข้าไปและจ้องที่แผลของผม คิดผิดซะจริงที่รีบถุยผ้าพันแผลออก
"ตัดสินใจพลาดนะ แย่หน่อย"
"จะทำอะไรก็รีบเถอะ"
ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็จัดการเย็บแผลให้ผมเรียบร้อย รู้สึกเจ็บเหมือนจะขาดใจ หมอคนนั้นเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างลงกระเป๋าก่อนจะเดินออกไป…โดยไม่พูดอะไรซักคำ ผมมองผ้าพันแผลที่ถูกพันไว้ที่ลำตัวด้านบนและช่วงท้อง
"เฮ้อ…"
ฉันลงลิฟท์มายังชั้นใต้ดินหลังจากที่คาร์ลบอกว่าอันเดรย์มีเรื่องจะคุยด้วย เขาคงอยากจะรู้ว่าทำไมถึงมีนักฆ่าบุกเข้ามาเพื่อจะสังหารฉันนั่นแหละ ภาพเจ้าหน้าที่นีโอที่นอนจมกองเลือดทำให้ฉันนึกถึงอีธาน…พยายามบังคับให้ตัวเองไล่ความคิดในหัวนั้นออกไป ฉันเดินมาเรื่อยๆ จนเจอเครนที่ยืนรออยู่หน้าประตู ฉันโบกมือทักทายเขาด้วยความแปลกใจ
"อันเดรย์รออยู่แล้วครับ"
เขาเปิดประตูและให้ฉันเดินตามเข้าไป อันเดรย์กำลังรินว๊อดก้าลงแก้วทั้งสองอย่างใจเย็นก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟา จากนั้นเครนก็ปิดประตูจนเหลือเพียงฉันและอันเดรย์อยู่กันแบบส่วนตัว
"วุ่นวายล่ะสิ" เขาถาม
"ใช่ ครั้งแรกรึเปล่าที่มีคนมาดักบุกมาฆ่าในโรงแรม?"
"ไม่หรอก…แต่เธอก็รู้นี่ว่าพวกนั้นทำเสร็จมันจะจบยังไง" อันเดรย์พูด น้ำเสียงนิ่งเฉย "รู้มั้ยว่าส่วนนึงพวกเขาก็หมั่นไส้เธอ แต่เรื่องค่าหัวฉันต้องยอมรับเลยว่าวิกโก้น่ะเล่นใหญ่จริงๆ ตอนนี้ราคาหยุดที่ห้าล้านเหรียญแล้ว" ฉันนิ่งไปพักนึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากค่าหัวหนึ่งล้านเหรียญที่ตอนนี้ผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์ ค่าหัวฉันขึ้นสูงถึงห้าล้านเหรียญแล้ว คำตอบที่ชัดเจนว่าวิกโก้คงไม่ปล่อยฉันไปง่ายๆ
"แล้วจะเล่าให้ฉันฟังได้รึยังว่าไปทำอะไรผิดใจวิกโก้น่ะ"
"ลูคัสข่มขืนฉัน" อันเดรย์ที่กำลังยกแก้วกระดกชะงักไปและวางแก้วลง ฉันจึงพูดต่อ "ฆ่าสามีฉันในวันที่เขาขอฉันแต่งงาน คุณเข้าใจความรู้สึกแค้นที่ฉันอยากฆ่าเขาให้ตายรึยังคะ?"
อันเดรย์ไม่พูดอะไร เราทั้งสองเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศภายในห้อง ฉันจึงยกแก้วกระดกว๊อดก้าที่เขาวางไว้ให้จนเกลี้ยง
"งั้นที่ฉันจะเตือนเธอก็ได้ก็คง...อย่าสร้างปัญหาในโรงแรมล่ะ ฉันจะพยายามปิดการมีอยู่ของเธอที่นี่เท่าที่ทำได้ละกัน โชคดีนะสตีล"
อันเดรย์พูดอวยพรให้ฉันเท่านั้นก่อนที่เครนเปิดประตูและพาฉันออกไปจากห้อง เมื่อเสร็จธุระแล้วฉันจึงกลับมายังห้องพักของตัวเอง ได้ยินเสียงกรนหลับของเจ้าหน้าที่คนนั้นดังมาแต่ไกล ฉันวางกุญแจห้องพลางมองของทั้งหมดที่มาส่งตามเวลาและเดินเข้าไปที่ห้องนอนที่เขาถูกมัดไว้กับเตียง ฉันมองผ้าพันแผลที่ถูกพันไว้และนึกถึงอีธานที่กำลังจะตายบนม้านั่งโบสถ์ ภาพที่ซ้อนทับของคนรักของฉันและเจ้าหน้าที่คนนี้ แต่เสียงโอดโอยของนีโอดึงสติฉันกลับมา
"รู้สึกดีขึ้นมั้ย?"
"คงจะดีกว่านี้ถ้าเธอช่วยแก้มัดออก"
ฉันหยิบมีดพกที่วางอยู่บนลิ้นชักหัวเตียง เสียงใบมีดที่ถูกดีดขึ้นทำให้นีโอสะดุ้งตกใจ ฉันมองสีหน้าซีดเซียวที่เกิดจากการเสียเลือดมองฉันด้วยความหวาดกลัว ฉันยกมีดตัดเชือกที่ข้อเท้าทั้งสองข้างและยกมีดขู่เขาโดยไม่พูดอะไรเพื่อเป็นการบอกให้เขาอย่าคิดสู้ จากนั้นฉันจึงตัดเชือกที่ข้อมือทั้งสอง
"ขอบคุณ..."
ฉันเดินไปนั่งที่โซฟาติดริมระเบียงพร้อมส่งสายตาพิฆาตกลับเป็นการบอกว่าฉันสามารถเป่าหัวเขาได้ทุกเมื่อถ้าหากเขาทำให้ฉันไม่พอใจ นีโอมองปืนเก็บเสียงที่ฉันวางไว้ข้างตัวก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
"ทำไมถึงไม่ปล่อยให้ฉันตาย?"
"แค่เรื่องที่ฉันเจอวันนี้ก็น่าปวดหัวตายแล้ว มีเจ้าหน้าที่โดนฆ่าในโรงแรมจะยิ่งไปกันใหญ่" นีโอพยายามจะยันตัวนั่งโดยการใช้หมอนรองหลังไว้ "เล่าให้ฟังได้มั้ยว่าทำไมนายมาอยู่ผิดที่ผิดเวลาแบบนี้ แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นใคร?"
"ก็แค่พ่อหนุ่มจากหลุยส์เซียน่าที่ย้ายมาเป็นตำรวจใหม่ที่นี่ อยากสูบบุหรี่ผิดที่ผิดเวลาล่ะมั้ง?" เขาพูดและแค่นหัวเราะออกมา แต่ด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีนักเสียงหัวเราะในตอนแรกจึงเปลี่ยนเป็นเสียงไอแห้งที่ฟังดูทรมาน "และนิสัยเด็กใหม่ การที่ได้อ่านแฟ้มอาชญากรรมของเธอแล้วเจอกัน...ทำฉันประหลาดใจนะว่าทำไมเธอถึงยังเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในเมืองได้โดยที่ยังไม่โดนจับ"
"ที่นี่มันบ้านของฉันนี่...หมายถึงเคยเป็น พวกมือปืนรับจ้างกับนักฆ่าเห็นที่นี่เป็นบ้านของพวกเขาทั้งนั้นแหละ"
"แล้วอะไรที่พาเธอกลับมาล่ะ?" ฉันรู้ว่าคำว่ากลับมาของนีโอมีความหมายอย่างไร แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามออกมาแบบนั้น "ในแฟ้มรายงานว่าเห็นเธอก่อคดีครั้งสุดท้ายเมื่อสามปีก่อน ฉันแค่สงสัยน่ะ...หลังจากคนพวกนั้นบุกมาจะฆ่าเธอ"
คำถามนั้นทำให้กระอักกระอ่วนไปครู่หนึ่ง ไม่…ไม่มีทางที่ฉันจะบอกเขาแน่ ในใจฉันค้านกับการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงปริปากบอกเรื่องที่เขาอยากรู้ออกไป
"คนรักของฉันถูกฆ่า ลูกคนใหญ่คนโตของพวกนักฆ่าเป็นคนทำน่ะ จริงๆ แปลกใจมากกว่าที่เขาส่งคนมากน้อยกว่าที่ฉันคิดไว้"
"...เสียใจด้วยนะ"
ฉันถอนหายใจก่อนจะลุกออกจากโซฟาเพื่อเดินไปหานีโอ ฉันมองหน้าเขา คิดว่าควรรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ต่อ
"เข้าเรื่องข้อตกลงของฉัน นายจะต้องไม่พูดเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กับใครก็ตามที่ถามว่านายไปโดนยิงจากไหน สิ่งที่นายได้ยินจากฉันจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"
"แล้วฉันจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ" ฉันเลิกคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น "เธอพูดว่าข้อตกลง แสดงว่าฉันก็ต้องได้ประโยชน์เหมือนกันสิใช่มั้ย?"
"การไม่เป่าหัวนายทิ้งตอนนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ที่ดีพอรึเปล่าล่ะ?"
ฉันยิ้มกว้างและนึกขำที่ได้เห็นสีหน้ามั่นใจในตอนแรกของเขาถอดสีไปเมื่อได้ยินการตอบกลับจากฉัน นีโอจึงเบือนหน้าหนีและหยิบเสื้อเชิ้ตที่พาดไว้ข้างเตียงมาสวมก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบรองเท้าหนังของเขาที่วางอยู่ปลายเตียง เขาพยายามก้มตัวลง แต่ด้วยพิษบาดแผลทำให้นีโอล้มลงแทบจะทันที ฉันรีบเดินไปหยิบรองเท้าคู่นั้นและนั่งลงที่ปลายเท้าเขา นีโอแสดงท่าทางไม่เต็มใจจะให้ฉันช่วยเท่าไหร่นัก
"ให้ช่วยมันจะตายรึไง? อย่าทำตัวดื้อให้น่าฆ่ากว่านี้ได้มั้ย?"
นีโอไม่ขัดขืนหลังจากนั้น ฉันสวมรองเท้าให้เรียบร้อยและพยุงเขาให้ลุกขึ้น
"รักษาตัวล่ะ ฉันยังไม่อยากเห็นรูพรุนๆ บนหน้านาย ถ้ามีปัญหาเรื่องแผลก็โทรมาที่ห้องฉันได้เลย ฉันจะส่งคนไปดูแลนายเอง"
นีโอพยักหน้าเบาๆ และพยุงตัวเองออกจากห้องไป ฉันเดินตามมาถึงหน้าประตู เฝ้ามองเขาอย่างระมัดระวังจนนีโอเลี้ยวไปยังหัวมุมขวามือ จนเสียงลิฟท์ที่มาถึงดังขึ้นและตามมาด้วยเสียงประตูเหล็กปิดทำให้ฉันแน่ใจว่านีโอคงจะกลับถึงห้องอย่างปลอดภัยได้ ฉันถอนหายใจและสบถออกมาเบาๆ
"ตางั่งเอ้ย..."
"ตางั่งที่เธอช่วยชีวิตไว้น่ะหรอ?"
ฉันหันกลับไปมองประตูห้องนอนที่คาร์ลกำลังยืนพิงกำแพงรอ การยิ้มเยาะของเขาทำให้ฉันงุนงงไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาแอบมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ คาร์ลเดินมาและหยุดนั่งบนขอบโซฟาห้องนั่งเล่น
"ทำไมถึงปล่อยเขาไปล่ะ?" ฉันมองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบปิดประตู
"เดี๋ยวนี้ผลุบๆ โผล่ๆ จนเป็นนิสัยแล้วหรอ?"
"ก็ทำจนชินแล้วนี่นา ตอบฉันสิทำไมถึงปล่อยเขาไป"
"เขาซื่อบื้อดี" ฉันพูด "อีกอย่างถ้าพวกเจ้าหน้าที่ตายในโรงแรมนี้นายก็รู้ว่ามันจะมีปัญหาตามมา"
คาร์ลหัวเราะ ฉันยิ่งขมวดคิ้วสงสัยกับท่าทางของเขา
"ตอนที่ฉันแบกหมอนั่นเข้าห้องมา เขากวนประสาทจนฉันต้องใช้หมัดสยบเลยนะ ฉันเลยสงสัยว่าทำไมตอนคุยกับเธอถึงกลัวหัวหดแบบนั้น"
"เขาอยู่มานานรึยัง?"
"เกือบๆ เดือนได้ กลิ่นตำรวจหึ่งซะจนทุกคนไม่อยากยุ่งกับเขา แต่ดีแล้วล่ะที่เธอมาคุยให้ ไม่งั้นฉันคงต้องฆ่าเขาเองแน่ๆ"
คาร์ลหันไปเปิดกล่องปืนที่วางอยู่บนโต๊ะ ปืนกล็อกสองกระบอก ลูกซองและปืนกลกึ่งอัตโนมัติอีกอย่างละหนึ่ง คาร์ลส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะหยิบปืนกล็อกยี่สิบหกขึ้นมาเช็คสภาพ เด็กน้อยฝึกหัดเมื่อสิบกว่าปีก่อนในตอนนี้ใช้ปืนอย่างคล่องแคล่วมากกว่าฉันเสียอีก
"คิดถึงชะมัด..." คาร์ลพูดพลางมองที่ศูนย์ยิง จากนั้นจึงเก็บปืนใส่กล่องเช่นเดิม
"ได้ข่าวว่าตั้งแต่ฉันไม่อยู่นายก็รับงานเดี่ยวตลอดเลยหรอ?"
"ฉันก็ไม่ถูกขี้หน้ากับนักฆ่าพวกนั้นอยู่แล้ว อีกอย่างทำงานคนเดียวมันลื่นไหลจะตายจะตาย เธอน่าจะเข้าใจดีนะ"
คาร์ลลุกขึ้นและเดินใกล้เข้ามา เขาโน้มตัวลงก่อนจะหยุดสายตาของเขาที่ผ้าพันแผลของฉัน คาร์ลใช้มือซ้ายข้างถนัดแกะผ้าพันแผลที่ตาขวาช้าๆ ฉันพยายามจะหันหน้าหนีเพราะไม่อยากให้เขาเห็น แต่พอตาสีฟ้าคู่นั้นมองที่ฉัน นั่นทำให้ฉันไม่กล้าขัดขืนเขา
"ให้ฉันดูเถอะนะ ฉันไม่ทำอะไรหรอก"
คาร์ลพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนในแบบที่ฉันไม่เคยได้ยิน ฉันจึงยอมให้เขาแกะผ้าพันแผล สีหน้าแรกที่ฉันเห็นหลังจากที่คาร์ลแกะผ้าพันแผลออกคือ มันแย่มาก...ใช่ ฉันรู้สึกได้ว่ามันแย่จริงๆ ภาพเบื้องหน้าที่ฉันเห็นมันเบลอไปหมดจนฉันคิดว่าตาอาจจะบอดไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ผ่านไปซักพักตาขวาของฉันก็กลับมามองเห็นเหมือนปกติ แต่ยังรู้สึกเบลออยู่บ้าง
"เป็นไง? ดีขึ้นหรือแย่ลง"
"ดีขึ้น" ฉันพูดและลองกระพริบตาเพื่อทำแน่ใจว่ามันดีขึ้นจริงๆ คาร์ลจึงถอยออกจากฉัน
"จะไปแล้วหรอ?"
"เดี๋ยววิกโก้จะสงสัยเอา" คาร์ลที่เดินไปเปิดประตูแล้วหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง "เธอก็เตรียมตัวไว้ล่ะสตีล วิกโก้ไม่ปล่อยเธอไว้แน่"
คาร์ลทิ้งท้ายคำเตือนนั้นไว้ก่อนจะเดินออกไป ฉันถอนหายใจ เงาสะท้อนตัวฉันในกระจกยังเผยให้เห็นรอยช้ำและรอยแผลเป็นอยู่ แต่มันเบาบางลงไปมาก ที่คาร์ลพูดมันก็จริงที่ว่าฉันต้องเตรียมตัวไว้ แต่ไหนๆ ชีวิตฉันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว มันจะน่าประหลาดใจตรงไหนล่ะ?
ผมเดินทุลักทุเลกลับมาที่ห้อง อยากหนีออกมาให้ไกลที่สุด ไม่รู้ว่าเธอจะรู้มั้ยว่าผมอยู่ที่ห้องนี้ มือผมสั่นไปหมดจนแค่ไขกุญแจเข้าห้องยังจะลำบาก เมื่อไขกุญแจได้แล้วผมก็โยนทุกอย่างทิ้งไปอีกทางและปิดประตูอย่างโล่งอก
"ไงคุณเจ้าหน้าที่ วันนี้หนักเลยใช่มั้ยครับ?"
ผมสะดุ้งเฮือก แต่แค่รู้ว่าไม่ใช่เสียงสตีลก็ดีใจแล้ว ผมจึงหันไปยังต้นเสียงที่มาจากห้องนอน หวังว่าเขาจะมาเพื่อเจรจาหรือทำอะไรก็ตามที่ไม่ใช่การเป่าสมองผมแบบที่เธอขู่ไว้ ชายหนุ่มผมน้ำตาลออกบลอนด์ยิ้มและมองมาที่ผม เขายืนพิงกำแพงอย่างสบายใจ แต่การที่เขาแอบเข้าห้องผมแบบนี้ก็ทำให้ตกใจอยู่เหมือนกัน
"นายเข้ามาได้ไง?"
"คุณก็น่าจะรู้นี่" เขาพูดและยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนรอคำตอบจากผม แต่ผมเดาไม่ออก "ที่นี่เป็นถิ่นของเราคุณก็น่าจะรู้ใช่มั้ย?"
"ประตูลับ…"
"ใช่ ประตูลับ" คาร์ลเดินออกจากเงามืดและมองผม "รู้รึเปล่าว่าทำไมผมถึงมาหาถึงห้อง?"
"เรื่องสตีลน่ะหรอ?"
"ผมจะเล่าอะไรให้ฟังนะ แต่ไม่ได้หวังว่าคุณจะเข้าใจมากขึ้นหรอก"
เขานั่งที่โซฟา ผมมองเพื่อรอคำตอบจากเขา ท่าทางเขาสบายใจและเป็นมิตรเกินไปจนผมแปลกใจว่าเขาเป็นนักฆ่าจริงๆ รึเปล่า แต่ผมจะไปตัดสินอะไรได้ล่ะ ขนาดสตีลที่ดูเป็นมิตรมากกว่าเขายังขู่ผมจนกลัวได้เลย
"เธอบอกแค่ว่าสามีเธอโดนฆ่าตายใช่มั้ย?" ผมพยักหน้าช้าๆ ชายคนนั้นจึงพูดต่อ "แต่สตีลคงไม่ได้บอกเรื่องที่เธอถูกข่มขืนต่อหน้าเขาใช่มั้ย? คิดว่าคุณคงรู้ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงกลัวเธอนักจนรีบส่งคนมาฆ่าแบบนี้"
ผมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดในแววตาของเขา รู้สึกถึงความเจ็บปวดของเธอเช่นกัน ไม่รู้สิ…แต่จะมีนักฆ่ากี่คนกันที่โชคดีที่ได้ใช้ชีวิตแบบปกติเหมือนทั่วไป จนพระเจ้าวางแผนตลกร้ายที่ทำให้เธอต้องกลับมาอยู่ในเส้นทางเดิมอีกครั้ง หรืออาจจะเป็นคำสาปที่ทำให้คนพวกนี้ไม่สามารถมีความสุขตลอดไปได้และกลับมาสู่วังวนเดิม
"แล้วมาบอกฉันทำไม...นายต้องการอะไรกันแน่?"
"บอกให้รู้เฉยๆ ว่าคุณอย่าคิดจะทรยศเธอเชียว ผมเคยเห็นปีศาจในตัวเธอมาแล้วจนอยากจะลบมันออกไป คิดว่าคุณคงไม่อยากเห็นเหมือนกัน"
เขาลุกขึ้นและมองผมเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่ได้ทำอะไรก่อนจะเดินผ่านผม เปิดประตูออกจากห้องไปดื้อๆ และทิ้งผมไว้ในความสับสนจากเรื่องทั้งหมด แต่ความเจ็บปวดดึงผมกลับมายังปัจจุบันและปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน
ฉันขับรถมาที่โบสถ์โดยที่คราวนี้ไม่ได้มามือเปล่า ฉันมีเรื่องอยากระบายกับพวกเขามากมายแต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง กระทั่งฉันจอดรถที่หน้ารั้วโบสถ์และยกถุงเสบียงเดินเข้าไปด้านใน สายตาของฉันหยุดมองหลุมศพของอีธานที่อยู่ทางขวามือ เงียบสงบ…หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกับช่วงเวลาก่อนที่เขาจะจากไป อีธานเคยพูดกับฉันไว้ ‘ความเงียบสงบสามารถเยียวยาความว้าวุ่นใจได้เสมอ' แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้วสำหรับฉัน
"หลวงพ่อคะ?" ฉันลองเคาะประตูอีกรอบจนมีคนเปิดประตู
"อ้าวสตีล…เข้ามาก่อนสิ"
บาทหลวงวัยกลางคนออกมาต้อนรับฉันที่หน้าประตูก่อนจะอ้าประตูค้างไว้ให้ฉันเดินเข้าไป ฉันจึงมายังห้องทานข้าวพร้อมถุงเสบียงที่พะรุงพะรังอยู่และแทบจะทุ่มมันลงทันทีหลังจากเดินมาถึงโต๊ะแล้ว
"หลวงพ่อชื่ออะไรหรอคะ?"
"ซามูเอล เรียกพ่อแซมก็ได้ ส่วนคนนี้หลวงพ่อออสก้า"
ฉันมอง เขายิ้มให้ฉันก่อนจะกลับไปหั่นผักต่อ ฉันมองหลวงพ่อซามูเอลที่ยิ้มแห้งให้ฉัน คงเพราะหลวงพ่อออสก้าไม่ได้แสดงท่าทีเป็นเช่นเดียวกับคราวก่อน
"ถ้าไม่ได้รีบร้อนอะไร ลูกอาจจะอยากหาคนที่คุยด้วยได้นะ"
"อะไรนะคะ?"
"เอาเป็นว่าพ่อไปรอที่ห้องโถงละกันนะ"
และเขาก็เดินออกไป ฉันมองหลวงพ่อออสก้าที่ยังยืนหั่นผักโดยไม่สนใจที่จะพูดกับฉัน สิ่งที่เขาหมายถึงน่าจะเป็นเรื่องสารภาพบาป...อันที่จริงฉันไม่ใช่คนเคร่งศาสนาหรอก แต่เพื่อความสบายใจของหลวงพ่อฉันจึงยอมเดินออกไปหาเขา
ฉันเดินออกจากห้องครัวจนมาถึงโถงใหญ่ วันอาทิตย์อันแสนเงียบเหงาที่มีคนนั่งอยู่บางตา ซึ่งส่วนใหญ่...ฉันหมายถึงทั้งหมดเป็นคนวัยชราที่คงจะเป็นคนในละแวกนี้ ฉันมักจะกลัวการเติบโตที่หาปลายทางไม่ได้จนคิดได้ว่าฉันอาจจะอยู่ไม่ยาวขนาดนั้น ประตูห้องสารภาพบาปเปิดอ้ารอฉันอยู่ จนเมื่อฉันปิดประตูลงความเงียบก็เข้าปกคลุมแทนที่ ฉันมองเงาสะท้อนของหลวงพ่อซามูเอลจากห้องอีกฝั่งและไม่รู้ว่าควรส่งสัญญาณออกมายังไง
"พร้อมแล้วใช่มั้ย?"
"ค่ะ"
"งั้นก็เริ่มเลย" ฉันสูดลมหายใจเข้าไปฟอดใหญ่และพยายามนึกขั้นตอนที่คริสต์ศาสนิกชนปกติเขาทำกัน
"ลูก...ไม่ได้สารภาพบาปมานานมาก ลูกรู้สึกโกรธ อยากจะฆ่าคนที่ทำกับอีธานอย่างโหดร้ายแบบนั้น...ทำกับลูกอย่างโหดร้าย ลูกเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน ลูกฆ่าคนไปเยอะ ลูกเสียใจที่ทำบาปลงไป ลูกขออภัยต่อหน้าพระบิดาและขอให้ท่านอภัยให้ลูกด้วย"
หลวงพ่อซามูเอลเงียบไป ฉันไม่รู้ว่าการที่พูดเรื่องอดีตของตัวเองออกไปแบบนั้นไปจะส่งผลดีหรือไม่ เรื่องที่ฉันเป็นนักฆ่ามันไม่ควรจะออกจากปากด้วยซ้ำ ฉันเพียงแค่รู้สึกเชื่อใจบาทหลวงคนนี้มากพอที่จะระบายความดำมืดในจิตใจออกไปหากมันจะช่วยให้ฉันหลุดจากความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นได้
"ลูกเคยได้ยินรึเปล่าว่าพระเจ้ามีแผนให้เราทุกคน? ลูกเคยเดินออกไปได้แล้วแต่สุดท้ายก็กลับมาอยู่จุดเดิม"
"พระเจ้าออกจะตลกร้ายดีนะคะที่มีแผนแบบนี้ให้ลูก"
"ท่านทำแบบนี้กับเราทุกคนนั่นแหละสตีล แต่อย่างน้อยลูกก็ยังมีชีวิตต่อเพื่อทำบางสิ่งที่ติดค้างในจิตใจ นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่พระเจ้าวางแผนไว้ให้ลูกก็ได้"
หลังจากการสารภาพบาปเเสร็จสิ้น ฉันกับหลวงพ่อทั้งสองก็ทานข้าวด้วยกันจนถึงช่วงใกล้ค่ำ หลังจากบอกลาพวกเขาและเดินออกจากโบสถ์ ฉันเดินตรงมาที่หลุมศพของอีธาน ดอกเดชี่ที่วางทิ้งไว้ตั้งแต่คราวก่อนแห้งกรอบไปแล้ว ฉันจึงหยิบดอกกุหลาบขาวที่ซื้อมาจากร้านวางแทนดอกไม้ช่อเดิมและคุกเข่าลง
"หวังว่าบนนั้นจะสุขสบายอย่างที่คุณชอบเล่าให้ฟังนะ" ฉันวางมือไว้บนหลุมและลูบมันด้วยสัมผัสเดียวกับตอนที่รู้ว่ายังมีเขาอยู่ข้างกาย "ฉันขอโทษนะ สำหรับเรื่องทุกอย่าง"
"ผมเข้าใจคุณแล้วล่ะ"
ฉันหันกลับไปด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเสียงเขา นีโอ? เขาตามฉันมาที่นี่ได้ยังไง? ในช่วงหนึ่งที่สายตาของฉันหันไปเจอเจ้าหน้าที่คนนี้ ฉันกลับเห็นนีโอเป็นอีธานแทน หุ่นสูงกำยำและแววตาแบบนั้นเหมือนของเขาไม่มีผิด ฉันลุกขึ้นมองนีโอที่กำลังจ้องหลุมศพของอีธานด้วยแววตาอ่อนโยน
"จะรังเกียจรึเปล่าถ้าฉันอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้?"
[End of Chapter 7]