[Chapter 5] Ready or Not?

3791 Words
'อย่าจับปืนแบบนั้นสิสตีล' ฉันเงยหน้ามองพ่อ ดวงตาสีฟ้าของเขาให้โลกสดใสได้เสมอ พ่อย่อตัวลงมาและจัดท่าทางในการถือปืนของฉันใหม่ เป้าหมายคือขวดเบียร์ที่อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยเมตร ยังดีที่ว่าแม่ไม่ได้อยู่บ้านตอนนี้ ไม่งั้นพ่อคงได้โดนไล่ออกมานอนนอกบ้านอีกแน่ การที่พ่อเป็นทหารนาวิกนั้นทำให้ฉันได้เล่นอะไรแผลงๆ แบบนี้ตลอด และแน่นอนว่าฉันสนุกกับมัน 'เอาล่ะ กลั้นหายใจ มองที่ศูนย์เล็ง' ฉันกลั้นหายใจและหลับตาข้างซ้ายไว้ 'ยิง!' ฉันตื่นขึ้น สายตามองรอบห้องนอนก่อนจะลุกขึ้นยืน ฉันจัดการถอดเสื้อแขนยาวสีขาวและกางเกงชั้นในโยนลงไปในตะกร้า เป็นอีกวันที่ผ่านไปโดยไม่มีอีธานข้างกาย ในใจก็ยังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ฉันทำอะไรลงไปนะ?...ฉันเคยให้สัญญากับอีธานว่าจะไม่กลับไปฆ่าคนอีก แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้วล่ะ โรงแรมควอซ์ในตัวเมืองทางเหนือเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ให้บริการนักฆ่าอย่างพวกเรา ที่นั่นค่อนข้างปลอดภัย และแน่นอนว่ามันปลอดภัยกว่าที่บ้านมาก อีกอย่างกฎของโรงแรมก็เคร่งเป็นพิเศษซะด้วย การฆ่ากันในโรงแรมถือเป็นกฎต้องห้าม ผู้ฝ่าฝืนจะโดนโทษร้ายแรง...เป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตายซะอีก ฉันรู้ๆ มันฟังดูเหมือนหนังนักฆ่าซักเรื่องใช่มั้ยล่ะ? ฉันเคยเห็นพวกคีปเปอร์จัดการนักฆ่าคนหนึ่งที่ละเมิดกฎ เขาถูกควักลูกตาทั้งสองข้างและถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพแบบนั้น แต่เราก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดจะปล่อยให้เขาทรมานหรอก เพราะไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเราก็จัดการจบความทรมานให้เขาโดยมีภาพเหตุการณ์ฉายในห้องประชุมเพื่อไม่ให้ใครกล้าแหกกฎของโรงแรมอีก พูดถึงพวกคีปเปอร์...นักฆ่าในองค์กร ทุกๆ อย่างทำให้ฉันนึกถึงเรื่องในอดีต สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาล... บ่ายวันนึง ในวันที่สายฝนอันหนาวเหน็บกระหน่ำลงมาอย่างไร้ปรานี ฉันในวัยสิบขวบเร่ร่อนมาโดยไม่มีอาหารตกถึงท้องมาสามวันแล้ว หิวจนแทบจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ ฉันนั่งพักก่อนจะสำรวจของในกระเป๋าเป้ สัมภาระเดียวที่ฉันเอามาด้วยตอนออกจากบ้าน ในนั้นมีขวดน้ำอันว่างเปล่า รูปถ่ายของพ่อและฉันเมื่อตอนห้าขวบ ตุ๊กตาแมวขโมยแคทวูแมนที่ได้มาจากร้านอาหารฟาสฟู๊ดในเมืองเมื่อปีที่แล้ว และแฮมเบอร์เกอร์แห่งความหวังที่ฉันได้มา พยายามกลั้นใจไม่กินมันจนถึงตอนนี้ แต่เมื่อฉันได้กลิ่นเนื้อย่างที่กำลังเล็ดลอดผ่านกระดาษฟรอยออกมาก็แทบจะสติหลุด ฉันฉีกห่อเบอร์เกอร์ออกอย่างบ้าคลั่ง "เอาวะ" จังหวะที่ฉันกำลังจะกัดเบอร์เกอร์คำแรกเข้าไปก็มีสุนัขตัวหนึ่งที่เดินโซซัดโซเซมาจากไหนไม่รู้เข้ามานั่งตรงหน้าฉัน สายตาของมันจับจ้องมาที่อาหารค่ำพร้อมกับน้ำลายที่ยืดออกมา สภาพมันผอมจนเห็นหนังหุ้มกระดูก มันกำลังทำให้ฉันใจอ่อน ฉันมองชิ้นเนื้อที่มีซอสบาร์บิคิวเยิ้มออกมาพลางกลืนน้ำลายด้วยความหิว "เฮ้อ..." ฉันถอนหายใจและฉีกชิ้นเนื้อให้มันไปครึ่งนึง มันหันไปสนใจอาหารชิ้นนั้นและไม่มายุ่งกับฉันอีก ระหว่างนั้นฉันก็ใช้ขวดน้ำกรองน้ำฝนดื่มไปด้วย ถึงมันจะไม่สะอาดแต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ฉันหาได้ในตอนนี้ ตอนที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ ฉันกินเบอร์เกอร์ชิ้นนั้นจนหมดเกลี้ยง ตอนนี้เหลือแค่น้ำเปล่าขวดเดียว อย่างน้อยรสชาติมันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นัก ฉันรอจนฝนซาลงก่อนจะตัดสินใจเดินทางต่อโดยไร้จุดหมาย ฉันขอเพียงแค่หาที่พักชั่วคราวให้ได้ก็พอแล้ว สามวันที่ผ่านมานี้ฉันพยายามจะหางานอะไรก็ตามที่ฉันพอจะทำได้ แต่คงไม่มีใครอยากเสี่ยงรับเด็กอายุสิบขวบเข้าทำงานหรอก หมาตัวนั้นเดินตามฉันมา...คงเป็นเพราะฉันให้อาหารมันถึงได้ตามตื้อขนาดนี้ การลักขโมยไม่ใช่เรื่องแปลกในเมืองที่คนคับคั่งแบบนี้ แต่การเสี่ยงกับอิสรภาพนั้นไม่คุ้มเท่าไหร่นัก ฉันไม่อยากถูกโยนเข้าไปในสถานสงเคราะห์เด็กอีก ฉันเคยสัมผัสกับฝันร้ายในนั้นมาแล้ว คนดูแลใจโหดที่ตีเราได้ทุกเมื่อหากเราขัดคำสั่งพวกเขา ฉันจำสายตาของชายผู้ดูแลคนหนึ่งได้ ตาสีฟ้าครามที่ดุดัน แต่การอ้วนลงพุงทำให้เขาไม่เคยจับฉันได้เลยสักครั้งเดียว "โฮ่ง!" หมาตัวนั้นวิ่งเข้าไปในซอยก่อนจะคุ้ยบางอย่างที่อยู่ในกองขยะด้วยความกระตือรือร้น ตอนแรกฉันคิดที่จะเมินมัน แต่ถ้าในนั้นมีของกินล่ะ ประสาทสัมผัสของสุนัขดีกว่าฉันเป็นไหนๆ ฉันจึงตัดสินใจเดินตามมันเข้าไป "โธ่เอ้ย" "หงิก~" มันกำลังแทะซากกระดูกที่อยู่ในกองขยะอย่างหิวโหย ฉันลองมองดู…ไม่มีอะไรที่ฉันพอจะกินได้เลย แต่สายตาของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับกระเป๋าใบหนึ่ง มันยังดูดีอยู่ ไม่มีแม้กระทั่งรอยขีดข่วน ไม่มีทางที่บางคนจะเอามาทิ้งเปล่าๆ แน่ ในนั้นต้องมีของสำคัญ "แกตั้งใจพาฉันมาตรงนี้รึเปล่าเนี่ย?" "โฮ่ง!" ฉันหัวเราะกับตัวเอง จากนั้นมันก็กลับไปแทะกระดูกต่อ ฉันตัดสินใจเปิดกระเป๋าใบนั้นทันที ธนบัตรดอลล่าหลายปึกวางเรียงกัน อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าห้าล้านแน่ๆ ฉันพยายามจินตนาการว่าเจ้าของกระเป๋าใบนี้จะเป็นใครกันนะ คนขายยา? พวกมีอิทธิพล? เงินพวกนี้ช่างยั่วยวนใจเหลือเกิน ฉันควรทำยังไงดี เอาเงินไปให้ตำรวจ? พวกเขาคงไม่เชื่อหรอกว่าเด็กเร่ร่อนอย่างฉันจะเจอมัน คงคิดว่าขโมยมากกว่า ถึงพวกเขาจะเชื่อจริงๆ สุดท้ายฉันก็ต้องถูกโยนกลับสถานสงเคราะห์อยู่ดี หรือถ้าฉันเอาไปคนเดียว…พวกมันได้ตามล่าฉันแน่ ฉันตัดสินใจหยิบเงินออกมาสองก้อนและรีบยัดมันใส่กระเป๋าเป้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะปิดกระเป๋าใบนั้นลงและโยนมันไปที่เดิม "ไปเถอะเจ้าตูบ" ฉันคลุมฮู้ตและรีบเดินออกมาจากตรอกให้เร็วที่สุด เคราะห์ร้ายที่ฉันถูกชายร่างใหญ่สามคนยืนล้อมปิดทางออกไว้ ฉันกลืนน้ำลายและพยายามพาเจ้าตูบเดินถอยกลับไป "เด็กอย่างเธอไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่นะ" หนึ่งในพวกเขายักคิ้วแปลกใจเมื่อเห็นฉันกอดกระเป๋าไว้แน่น "เอากระเป๋าเธอมา" คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าออกคำสั่งกับพวกของเขา หนึ่งในสองคนเดินกลับไปในซอยเพื่อเก็บกระเป๋าเงินที่ฉันเพิ่งเจอมา ฉันยื้อแย่งกระเป๋ากับอีกคนจนโดนต่อยเข้าที่แก้มขวาอย่างจัง "โว้ว…นังแมวขโมยนี่ร้ายไม่เบาแฮะ" เขาเทกระเป๋าเป้ฉันออก ชายชุดดำท่าทางน่ากลัวอีกคนเดินออกมาจากรถและมองที่ฉันอย่างสนใจ เขาปัดผมดำสนิทขึ้นเผยให้เห็นรอยแผลเป็นบนตาขวาที่ทำให้เขาลืมตาขึ้นไม่ได้ ฉันที่พยายามจะวิ่งหนีถูกพวกเขากดให้นอนคว่ำหน้าบนพื้น "ไหนดูซิ…" เขารับเงินสองก้อนที่ฉันฉกมาจากชายที่ออกคำสั่งก่อนจะเก็บมันกลับเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม ฉันมองรูปถ่ายคู่ของพ่อที่ถูกพวกมันขยำและโยนลงต่อหน้าฉัน มันทำให้ฉันที่เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มีแรงฮึดสู้ขึ้นมา ฉันที่เห็นว่าพวกเขาปล่อยมือจากฉันมาซักพักรีบลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปล็อกคอชายคนนั้น แต่แน่นอนว่าพละกำลังของเขาที่มีมากกว่าทำให้ฉันล้มลงได้อย่างง่ายดาย แต่ฉันก็ฝากรอยกัดที่ต้นคอไว้ให้เขาเหมือนกัน "นังเด็กบ้า!" ท่าทีเกรี้ยวกราดนั้นทำให้ฉันคิดว่าเขาเกือบจะฆ่าฉัน ฉันถูกชายคนนั้นเตะเข้าที่ท้องจนแทบจุก พยายามไม่ขย้อนอาหารที่เพิ่งกินออกมา ฉันใช้มือกันเอาไว้แต่มันก็ไม่มากพอที่จะต้านแรงของเขาไว้ได้ "กรรรรร…" หมาตัวนั้นทำเสียงขู่ก่อนจะตรงเข้างับที่ขาของชายชุดดำที่กำลังจะทำร้ายฉัน แต่สภาพที่ผอมร่อแร่ของมันไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่นัก... "เอ๋ง!" มันถูกเตะเข้าอย่างจังจนกระเด็นไปหลายสิบเมตร ฉันเพิ่งจะเจอมันมาไม่ถึงชั่วโมงนะ…ฉันกัดฟันตัวเองเพื่อจะคลานไปหาเจ้าตูบแต่ก็ถูกเตะซ้ำอีกรอบ ชายที่ถูกกัดเดินไปที่กองขยะและเดินกลับมาพร้อมกับเหล็กท่อนยาวในมือ "อย่านะ" เขาไม่สนใจคำขอร้องของฉันและฟาดไม่ท่อนยาวลงไปที่ตัวของมัน เลือดข้นๆ ไหลนองรอบร่างหมาผู้หิวโซ…สัตว์เลี้ยงตัวแรกของฉัน และฉันก็ไม่ได้ยินเสียงร้องของมันอีกหลังจากการฟาดครั้งที่สาม "ปัง!" เสียงปืนดังขึ้นก่อนที่ร่างของคนที่เพิ่งฆ่าหมาของฉันไปจะล้มลง พวกที่เหลือหยิบปืนขึ้นและมองหาที่มาของกระสุน ชายผมดำเจ้าของรอยแผลเป็นที่เห็นลูกน้องของตัวเองล้มลงทีละคนรีบวิ่งกลับขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว ฉันคลานไปหาเจ้าตูบที่ตอนนี้มันนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น พยายามจะห้ามเลือดให้มันทั้งๆ ที่รู้ว่าตอนนี้ฉันช่วยอะไรมันไม่ได้แล้ว "ทุกอย่างจะโอเคนะ…ได้ยินฉันมั้ย?" มันร้องครางด้วยความเจ็บปวด จากนั้นลมหายใจของมันก็หยุดลง ฉันปิดเปลือกตาให้มันก่อนที่ฉันจะร้องโฮและกอดศพมันไว้แน่น พอทำใจได้แล้วฉันก็คลานไปหยิบรูปถ่ายของพ่อและหุ่นแคทวูแมนใส่กระเป๋า ฉันไม่สนใจเงินพวกนั้นแล้ว ใครจะเอาไปก็ช่างเถอะ ฉันลุกเดินได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มลงไปเหมือนเดิม คราวนี้รู้สึกแย่ลง ไม่สิ...แทบจะไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ ฉันคงต้องตายตรงนี้แล้วสิ แต่ก็ดีแล้ว ความตายคงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเท่าไหร่หรอกถ้าเทียบกับสิ่งที่ฉันได้เจอมาในสถานสงเคราะห์ ไหนจะที่บ้าน ฉันกอดกระเป๋าเป้ไว้แน่นก่อนจะปิดเปลือกตาลง แต่มีเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหัวก่อนที่ฉันจะหมดสติไป "อย่าเพิ่งตาย…ฉันจะให้ชีวิตใหม่เธอเอง" นั่นเป็นวันแรกที่ฉันเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ได้ เจ้าตูบผู้น่าสงสาร ทุกอย่างเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน ในที่สุดฉันก็เก็บของเรียบร้อย มีแค่เสื้อผ้าสองสามชุดกับเหรียญทองเต็มอยู่ในกระเป๋าเท่านั้น และหวังว่าที่โรงแรมคงจะมีของให้ฉันเลือกมากกว่านี้ ฉันขับรถมัสแตงปีหนึ่งเก้าหกเก้าสีดำเทาคู่ใจจอดที่หน้าโรงแรมก่อนจะส่งกุญแจให้เด็กขับรถ น่าแปลกที่ไม่มีพวกนักฆ่ามาตามดักฉันถึงหน้าโรงแรม แต่นั่นก็เป็นเรื่องดีแล้วล่ะ ฉันเดินเข้ามาและพบว่าทุกอย่างในโรงแรมยังเหมือนเมื่อสี่ปีที่แล้วไม่มีเปลี่ยน แขกในโรงแรมไม่ได้มีแค่พวกนักฆ่าในองค์กรหรอก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนธรรมดามากกว่า เพื่อไม่ให้มีใครสงสัยองค์กรจึงทำแบบนี้เป็นการอำพรางไม่ให้เรามีตัวตน ฉันเดินตรงไปยังเคาท์เตอร์ต้อนรับด้านหน้า หญิงสาวผิวเข้มมองฉันด้วยสายตาคุ้นเคยก่อนจะส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้ "สวัสดียามบ่ายค่ะคุณสตีล" "พอจะมีห้องว่างอยู่มั้ย?" "แน่นอนค่ะ สำหรับคนพิเศษอย่างคุณ และเรายินดีเสมอที่คุณกลับมาอีกครั้ง" เธอยิ้ม คำพูดแฝงเลศนัยบางอย่าง "ที่นี่ปรับปรุงครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?" "สี่ปีที่แล้ว แต่ฉันรับประกันได้เลยค่ะว่ามันไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมค่ะ" "ขอบใจนะลิซ" ฉันส่งเหรียญขององค์กรไปให้เธอหนึ่งเหรียญเพื่อใช้เป็นทางผ่าน เธอรับมาก่อนจะส่งคียการ์ดห้องประจำให้ฉัน "ขอให้มีความสุขกับวันพักผ่อนนะคะ" ฉันพยักหน้าให้เธอก่อนจะเดินเลี่ยงมายังลิฟท์ตัวหนึ่ง ภายนอกมันอาจจะดูสนิมเขรอะ ไม่แข็งแรง แต่มันเป็นทางพาเราไปยังชั้นใต้ดิน…ตลาดช๊อปปิ้งของเหล่านักฆ่า ฉันเดินเข้าไปด้านในและหยอดเหรียญในช่อง ทันใดนั้นประตูก็ปิดลงก่อนที่มันจะพาฉันลงไปยังด้านล่าง เมื่อประตูเปิดออกฉันก็ได้เห็นเหล่านักฆ่ามากมายกำลังเดินเลือกอาวุธอยู่ด้านล่าง หลายคนส่งสายตามาให้ฉันพร้อมกับทำท่าปาดคอขู่ แต่ฉันรู้ว่าพวกเขาทำไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ในที่นี่ล่ะ ในโรงแรมขององค์กรจะมีร้านค้าแบบนี้ให้เราเพื่อการเตรียมตัวโดยเฉพาะ ร้านปืน ร้านเสื้อผ้า และอื่นๆ ฉันเดินตรงเข้าไปในร้านปืนก่อนเป็นอันดับแรก ในร้านเงียบเหงาอย่างที่ไม่เคยเป็น ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทกำลังเช็คของในสต๊อกโดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันกำลังยืนอยู่ด้านหลัง ฉันย่องไปสะกิดไหล่เขา "โอ้…คุณสตีล ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะครับ" "ฉันก็เหมือนกัน…ยังสบายดีใช่มั้ยเครน?" "แน่นอนครับ วันนี้มีอะไรให้ผมรับใช้บ้าง?" เขาพูดพลางหยิบปืนไรเฟิลกระบอกหนึ่งขึ้นเช็ดลำกล้องอย่างชำนาญ "พอจะแนะนำอะไรฉันได้มั้ย พอดีฉันสนิมเขรอะแล้ว ถ้าได้คำแนะนำจากนายจะดีมากเลยล่ะ" "งั้นตามผมมาเลยครับ" เครนพูดก่อนจะเดินนำไปที่ห้องด้านหลังเคาท์เตอร์ ในนั้นเต็มไปด้วยอาวุธทุกอย่างที่ฉันพอจะคิดออก มันเยอะจนไม่รู้ว่าวันนี้จะเดินครบรึเปล่าด้วยซ้ำ เครนเดินไปหยิบปืนพกกระบอกหนึ่งจากในตู้และวางบนโต๊ะกระจก กระบอกที่สองและสามถูกวางตามมา "เริ่มด้วยของพื้นฐาน...ไม่ทราบว่าคุณต้องการจะรับแบบไหนครับคุณสตีล?" ฉันมองก่อนจะลองหยิบปืนกระบอกแรกขึ้นมา ปืนกล็อกสิบเก้ากึ่งอัตโนมัติ ปืนที่นักฆ่าทุกคนในองค์กรต้องมี ฉันลองยกปืนขึ้นลงเป็นการซ้อมมือ เมื่อลองจนพอใจแล้วฉันก็จัดการวางปืนไว้เหมือนเดิม "คงจะยังไม่ถูกใจคุณสินะ…เอาเป็น กระบอกนี้ดีมั้ยครับ?" ฉันรับปืนบาเล็ตตาเก้าสิบสอง เอฟเอสที่เครนยื่นมาให้และลองชักสไลด์ พอลองจับแล้วรู้สึกไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ฉันจึงรีบวางมันไว้เหมือนเดิม หลังจากนั้นฉันกับเขาก็เดินดูปืนกระบอกอื่นที่ติดอยู่รอบๆ ห้อง ในที่สุดฉันก็ได้ปืนกล็อกสิบเก้าและปืนกล็อกยี่สิบหกมาอย่างละกระบอก ปืนลูกซองอัตโนมัติบิเนลลิจากอิตาลี และสุดท้ายคือปืนพกเก็บเสียงชั้นดีจากรัสเซียที่ฉันเคยใช้เมื่อสมัยทำภารกิจ ดีที่เครนยังจำได้ดีว่ามันเป็นปืนโปรดของฉันเราจึงไม่ต้องเสียเวลาค้นหามากนัก "กระสุนเก้าม.ม. สามกล่อง ห้าจุดห้าหกอีกสิบแม๊กกาซีน แล้วก็กระสุนลูกซองสองกล่อง นี่เป็นสิทธิพิเศษของคุณเลยนะครับคุณสตีล ไม่ทราบว่าคุณยังต้องการอะไรเพิ่มอีกรึเปล่าครับ?" "ไม่แล้วล่ะ ทั้งหมด..." เครนลดมือที่กำลังล้วงหาเหรียญของฉันลงอย่างนุ่มนวล เขายิ้ม "ไม่ต้องครับ ใช้บริการครั้งแรกไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย คุณคงจะจำได้ใช่มั้ย? ขอบคุณที่ใช้บริการกับทางเรานะครับ หวังว่าเราจะได้พบคุณอีก...ถ้ายังมีโอกาส ผมจะส่งทั้งหมดขึ้นไปที่ห้องภายในสามสิบนาทีนะครับ" ฉันไม่ได้อยากจะกลับเข้าวงการซักหน่อย...แต่ดูจากอาวุธที่ฉันเตรียมการก็คงไม่แปลกหรอกที่เครนคิดว่าฉันกลับเข้ามาทางเดิมอีกครั้ง หลังจากเสร็จธุระที่ร้านปืนฉันจึงเดินเข้าไปร้านเสื้อ ในร้านคับคั่งไปด้วยมือสังหารสาวที่จ้องจะเป่าหัวฉันได้ทุกเมื่อถ้ามีโอกาส หญิงสาวกลางคนเจ้าของร้านมองที่ฉันก่อนจะวิ่งปรี่เข้ามาด้วยความดีใจ สาววัยทองผมบลอนด์ที่อายุไม่สามารถทำลายความงามของเธอได้ "สตีล…ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ" "ป้าก็เหมือนกันค่ะ มีคิวว่างพอจะให้หนูตัดชุดมั้ยคะ?" "ตามมาเลยจ๊ะ" ป้ากริฟฟรี่ย์ที่ฉันรู้จักตั้งแต่เด็กไม่ได้เปลี่ยนไปเลย อย่างมากก็คงจะมีแค่ผมหงอกสักสองสามเส้นกระมังที่บอกความจริงเกี่ยวกับอายุของเธอได้ เราสองคนเดินเข้าไปในห้องลองชุด กระจกไม้ขนาดใหญ่กว่าตัวฉันประมาณสองเท่าเผยให้เห็นรอยแผลบนตัวฉันอย่างชัดเจน แผลฟกช้ำที่ได้มาจากเด็กพวกนั้น…แผลที่ถูกกระสุนถากตอนถูกนักฆ่าตามมาที่บ้าน และผ้าพันแผลบนตาข้างขวาที่ฉันไม่กล้าแกะมันออก "ถอดเสื้อสิจ๊ะสตีล" ฉันพยักหน้าก่อนจะถอดแจ๊กเก็ตและเสื้อยืดสีเทาที่ใส่มาจนเหลือแต่ชั้นใน การเปลื้องผ้าไม่ใช่เรื่องน่าอายสำหรับที่นี่เท่าไหร่ฉันจึงไม่ได้กังวลใจมากนัก "รอบอกสามสิบสี่ เอวยี่สิบเจ็ด สะโพกสามสิบสอง ไหล่สิบสี่นิ้ว สั่งตัดได้เลยนะเรเชล" หญิงสาวผู้ช่วยอีกคนพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปพร้อมกระดาษโน้ตที่จดรายละเอียดไว้ ฉันหยิบเสื้อกลับมาสวมดังเดิมก่อนจะเดินตามกริฟฟรี่ย์เข้าไปด้านใน มีตู้โชว์มากมายที่แสดงชุดสั่งตัดที่เธอดีไซน์เองกับมือ หลายชุดเคยใช้ประจำการในองค์กรของเรา ฉันเดินไปหยุดที่หน้าตู้หนึ่ง มันเป็นชุดหนังสีดำสนิทที่ติดเกราะกันกระสุนทั้งชุด ป้ากริฟฟรี่ย์เดินเข้ามาและมองผลงานตัวเองอย่างภูมิใจ "สวยใช่มั้ยล่ะ ถ้าอยากกลับมาใส่ออกงานก็บอกป้าได้นะ ป้าจะติดเกราะให้อย่างดีเลย" "คือป้าคะ...หนูไม่ได้จะกลับมาทำงานอีกรอบหรอก" ฉันตัดสินใจสารภาพความจริงออกไป "...บอกป้าได้มั้ยสตีล หนูพูดกับป้าได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น?" ฉันรู้สึกจุกในคอเพราะพยายามจะห้ามไม่ให้ตัวเองร้องไห้ก่อนจะโผกอดป้ากริฟฟรี่ย์ และเธอก็กอดฉันกลับเช่นกัน หลังจากนั้นฉันก็เล่าให้เธอฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง และเรื่องที่วิกโก้ตั้งค่าหัวเพื่อจัดการฉัน ก็ฉันจะไปฆ่าลูกชายเขานี่ แต่แน่นอนว่าเรื่องที่ฉันจะฆ่าลูคัสไม่ได้ออกจากปากฉันตอนที่คุยกับป้ากริฟฟรี่ย์ แต่เธอน่าจะรู้อยู่ว่าฉันคงต้องทำแบบนั้น "แล้วหนูจะทำยังไงต่อล่ะ?" "ป้าก็น่าจะรู้นี่คะ" ฉันพูดเพียงเท่านั้น ไม่กล้าพูดคำว่า 'ฆ่า' ต่อหน้าเธอ การฆ่าลูคัสจะส่งผลกระทบตามมาข้อนั้นฉันรู้ดี แต่ในเมื่อกฎหมายก็ทำอะไรเขาไม่ได้นี่คงจะเป็นทางเดียวที่ฉันจะสามารถจะทำให้เขาชดใช้ในสิ่งที่ทำได้ การตายของเขาต้องไม่สูญเปล่า ฉันกับป้ากริฟฟรี่ย์ค่อนข้างที่จะสนิทกันเมื่อตอนที่ฉันถูกพาเข้ามาที่นี่ใหม่ๆ จำได้เลยว่าตอนนั้นเธอเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา ผมสีบลอนด์ถักเป็นทรงและดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั้นเหมือนกับเทพธิดาไม่มีผิด เธอชอบบอกว่าฉันมีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร ฉันกับป้ากริฟฟรี่ย์จะชอบคุยกันเรื่องอดีตของเราสองคนจนในที่สุดเราก็สนิทกัน ฉันยังเก็บชุดเดรสที่เธอตัดเย็บให้ฉันเมื่อตอนเด็กๆ ไว้อยู่เลย "งั้น...ถ้าหนูเลือกแล้วป้าก็จะไม่ห้ามละกัน" ป้ากริฟฟรี่ย์พูดและลุกออกจากม้านั่งยาว "เดี๋ยวป้าจะส่งชุดไปให้พรุ่งนี้เช้านะ" "ขอบคุณนะคะ...ที่เข้าใจ" เธอยิ้มให้ฉันก่อนจะกลับออกไปให้บริการพวกนักฆ่าต่อ ฉันถอนหายใจ นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นและยังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้น...มันเป็นแค่ฝันร้าย ฉันลุกขึ้นและเดินออกไปพร้อมกระเป๋าสะพายเพื่อขึ้นไปยังห้อง 1406 ทันที ฉันขึ้นลิฟท์มา ไม่มีอะไรผิดปกติ กะจะนอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงให้สมองมันกระปรี้กระเปร่าแล้วค่อยวางแผน ฉันกลัวการกลับมาของใครบางคน...หวังว่าเขาคนนั้นคงจะไม่รู้เรื่องหรอกนะ แต่เมื่อฉันเปิดประตูเข้ามา ทุกอย่างที่ฉันกลัวมันอันตรธานหายไปหมดเพราะตอนนี้เขาได้ยืนอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว "ไงสตีล..." เจ้าของดวงตาสีฟ้าคู่นั้นทักทายฉันในขณะที่เขากำลังยืนรออยู่กลางห้อง เด็กน้อยที่ฉันเคยช่วยไว้เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าฉันพร้อมแววตาอันเศร้าสร้อย "คาร์ล" [End of Chapter 5]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD