[Chapter 4] New Beginning

4971 Words
"หาคนมาฆ่าเธอ" วิกโก้พูดด้วยน้ำเสียงตึงเครียดพลางดูดซิการ์เข้าไปฟอดใหญ่โดยที่ชายหนุ่มปริศนาในชุดสูทนั่งอยู่อีกฝั่งนั้นไม่ได้มีท่าทีเดือดร้อนใจอะไร เขาดูสวมชุดสูทสีดำสนิท ผมสีน้ำตาลบลอนด์ที่เกือนจะดูกระเซิงนั้นขัดกับเครื่องแต่งกายอย่างมาก เหมือนกับชายหนุ่มไม่ได้มาด้วยเรื่องทางการนัก "คุณอยากจะเปิดเงินค่าหัวเท่าไหร่ล่ะ?" เขาพูดพลางจิบกาแฟช้าๆ ดวงตาเหลือบมองท่าทีของอีกฝ่าย "หนึ่งล้าน ฉันอยากรอดูท่าทีเธอก่อน บางทีเด็กคนนั้นคงฝีมือตกแล้วก็ได้" "เด็กคนนั้น...หมายถึงลูกคุณหรอคะ?" บาทหลวงวัยกลางคนพยักหน้า "จริงหรอคะหลวงพ่อ?" ฉันถามพลางเดินดูโปสเตอร์การ์ตูนจอห์นนี่ บราโวที่อยู่รอบห้องอย่างสนใจ เขาเพียงส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร "ใช่ ถ้าเธอยังอยู่ ป่านนี้...เธอคงจะโตเป็นสาวแล้วล่ะ" เขากำลังพูดถึงลูกสาววัยเจ็ดขวบของเขา ฉันนั่งฟังเรื่องราวความเป็นมาของห้องนี้จนรู้ว่าลูกสาวของเขาถูกรถชนเมื่อยี่สิบปีก่อน ซึ่งตอนนั้นไม่มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดมาช่วยอะไรได้ ฆาตกรชนแล้วหนีคนนั้นจึงถูกปล่อยตัวและไม่เคยกลับมาชดเชยเขาอีกเลย "แต่ทำไม...ต้องเป็นจอห์นนี่ บราโวด้วยล่ะคะ? หนูนึกว่าเด็กผู้หญิงน่าจะดูพวกการ์ตูนเจ้าหญิงหรืออะไรที่มันดูน่ารักกว่านี้ซะอีก" "เธอบอกว่ามันทำให้คิดถึงพ่อน่ะ ตอนที่ยังอยู่กับภรรยาพ่อจะชอบแหย่หรือทำอะไรเพี้ยนๆ ให้เธอดู ลูกผมเลยคิดว่ามันเหมือนตัวผม" "อาหารเย็นเสร็จแล้วนะครับ" บาทหลวงหนุ่มเดินมาตามเราสองคน ฉันมองรูปครอบครัวของบาทหลวงที่วางบนโต๊ะข้างเตียงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกมา เรามาพร้อมกันที่โต๊ะทานข้าว ฉันนั่งตรงข้ามบาทหลวงหนุ่มคนนั้น ตั้งแต่มาที่นี่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับฉันมากเท่าไหร่นัก เมื่อบาทหลวงหนุ่มเตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว บาทหลวงอาวุโสที่นั่งอยู่หัวโต๊ะยกมือขึ้นเพื่อเตรียมภาวนา ฉันทำตัวไม่ถูก หมายถึงว่าฉันไม่ได้สวดภาวนาแบบนี้มานานมากแล้ว แต่อย่างน้อยก็พอจะจำได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง "ข้าแต่พระบิดา โปรดประทานพรแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายและแก่อาหารที่จะรับประทานนี้ เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตรับใช้พระองค์และเพื่อนมนุษย์ อาเมน" "อาเมน" ฉันที่ไม่ได้ทานข้าวมาเกือบสามวันพยายามควบคุมตัวเองให้ยังมีมารยาทบนโต๊ะอาหาร มื้อเย็นที่บาทหลวงทำมีเพียงแค่สตูว์ไก่และขนมปังอบเท่านั้น แต่สำหรับคนที่อยู่ชานเมืองเพียงสองคนอย่างพวกเขาแค่นี้ก็คงจะเพียงพอแล้ว "ลูกชื่ออะไรหรอ?" "คาเมรอน สตีลค่ะ" ฉันตอบไปตามจริง "แล้วพอจะเล่าให้พ่อฟังได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น เผื่อเราพอจะช่วยได้" ฉันนิ่งไปกับคำถามนั้น ภาพความทรงจำอันเลวร้ายที่ฉันได้เจอมันเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่ได้ รู้ตัวอีกทีฉันก็เผลอบีบช้อนจนงอเสียแล้ว บาทหลวงทั้งสองมองด้วยความตกใจเมื่อเห็นฉันทำแบบนั้น "ขอโทษค่ะ...แต่คุณพ่อคงช่วยหนูไม่ได้" "พ่อรู้ แต่อย่างน้อยตำรวจน่าจะช่วยลูกได้นะ" "ตำรวจหรอคะ?" ฉันแค่นหัวเราะและตักสตูว์เข้าปาก "คนที่แบบนี้กับลูก เขา...มีอิทธิพลในเมืองนี้ค่ะ ลูกชายวิกโก้ โอ เดบรา คุณพ่อน่าจะรู้จักเขาดี" ทั้งสองเงียบไปเมื่อได้รับคำตอบจากฉัน แน่นอนว่ากิตติศัพท์ของวิกโก้คงจะเลื่องลือไปทั่วเมือง การที่พวกเขาเงียบแบบนี้มันก็น่าจะเป็นคำตอบได้ว่า ฉันพึ่งตำรวจไม่ได้ ฉันอาสาที่จะออกล่าสัตว์ให้เป็นการตอบแทนที่พวกเขาช่วยฉันไว้หลังจากพายุหิมะทำให้พวกเขาขับรถเข้าเมืองไม่ได้ และพวกเขาก็คงไม่กล้าปฏิเสธเพราะเสบียงที่อยู่ในโบสถ์ก็เหลืออยู่ไม่มากจึงทำให้ทั้งสองยอมปล่อยให้ฉันออกไป แน่นอนว่าฉันทำอาหารไม่เป็น เพราะฉะนั้นจึงตัดความคิดที่จะช่วยบาทหลวงหนุ่มคนนั้นทำอาหารไปได้ในทันที อย่างน้อยตอนนี้ก็พยายามรักษาตัวเองให้หายดีก่อนจะทำอะไรต่อไป ฉันได้ปืนลูกซองและเส้นลวดจากบาทหลวงมาจำนวนหนึ่ง ปืนเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันคิดจะใช้หากไม่จำเป็น ฉันเดินเข้าไปในป่าลึกไกลจากโบสถ์เกือบสองกิโลเมตร อย่างน้อยป่ารกแบบนี้มันต้องมีกวางหรือไก่ป่าที่กินได้บ้างล่ะนะ ในที่สุดฉันก็เจอกับกวางฝูงหนึ่ง แย่หน่อยที่ปืนลูกซองที่พกมาด้วยนั้นไม่อำนวยต่อการล่าสัตว์เท่าไหร่นัก ฉันตัดสินใจเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ลืมที่จะทำสัญลักษณ์ไว้กับต้นไม้ ห่างไปไม่มากนักฉันก็เจอฝูงกระต่ายป่าที่กำลังวิ่งซุกซนอยู่แถวนั้น ไม่รอช้าฉันก็จัดการทำบ่วงแร้วไว้รอบๆ บริเวณ และโรยเศษผลไม้ที่ฉันหยิบติดมือมาไว้แถวกับดัก ที่เหลือก็แค่รอเวลาเท่านั้น จนในที่สุดพระอาทิตย์ก็เริ่มตกดิน 'ผมรักคุณนะ' ฉันสะดุ้งตื่นหลังจากการงีบบนต้นไม้ก่อนจะมองดูแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย ไม่อยากให้ตัวเองหมกมุ่นกับเรื่องเมื่อวานมากจนเกินไป วิกโก้ต้องตามฆ่าฉันแน่ และการตั้งค่าหัวฉันคงจะเป็นสิ่งแรกที่เขาคิดทำ ฉันไม่อยากฆ่าใครโดยไม่จำเป็น ถ้าพวกเขาไม่พยายามจะฆ่าฉันซะก่อน ฉันมองพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าก่อนจะรีบปีนลงมาจากต้นไม้ กระต่ายน่าสงสารติดอยู่ในบ่วงที่ฉันทำไว้ ฉันมองแววตาของมัน...ไม่ต่างจากพวกคนที่ฉันฆ่าเท่าไหร่นัก สายตาอ้อนวอนแบบนั้น ฉันยิ้มเศร้าๆ และจัดการจบความทรมานให้มัน จากนั้นฉันก็เดินไปที่บ่วงอื่น "หลวงพ่อคะ" ฉันโยนซากกระต่ายป่าสี่ตัวที่หามาได้บนโต๊ะทำอาหาร บาทหลวงหนุ่มหันมาพร้อมสายตาประหลาดใจ "เธอหามาได้ไงน่ะ?" เขาถามพลางมองกระต่ายป่าพวกนั้น เป็นความสงสัยที่ปนความอยากรู้อยากเห็น "ทำบ่วงเอาค่ะ" ฉันพูดก่อนจะวางปืนลูกซองลง จากนั้นก็เดินกลับมาที่ห้องนอนโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขา จนถึงเวลาอาหารเช้าวันนี้ เป็นสตูว์ที่ทำจากเนื้อกระต่ายป่า ดีแค่ไหนที่ฉันไม่เอางูมาให้เขาทำเป็นอาหาร แต่ฉันก็ยังคิดเสียดายที่ไม่ได้เนื้อกวางพวกนั้นมา เอามาทำสตูว์คงจะอร่อยไม่น้อย หลังจากใช้เวลาอยู่ซักพัก ในเย็นวันนั้นฉันจึงตัดสินใจบอกลาพวกเขา สัญญาว่าจะพยายามกลับมาที่นี่ทุกอาทิตย์ถ้าทำได้ บาทหลวงวัยกลางคนช่วยบอกทางที่จะพาฉันกลับไปยังในเมืองได้ เขาบอกว่าจะมีรถส่งของผ่านหน้าถนนใหญ่และบอกให้ฉันโบกรถเพื่อขอเข้าไปในเมือง "ขอให้พระเจ้าคุ้มครองนะ" "ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ" ฉันยิ้มบอกลาและเดินออกจากโบสถ์แห่งนั้น แต่ครู่หนึ่งฉันหยุดฝีเท้าก่อนจะหันหลังกลับไปมองหลุมศพอีธาน นึกถึงคำพูดที่เขาพูดกับฉันเป็นครั้งสุดท้าย "ผมรักคุณนะ สตีล" ผมเดินมาตามโถงยาว นึกหัวเสียที่ถูกยกเลิกงานเพราะวิกโก้ เขาคงมีเรื่องสำคัญมากถึงต้องเรียกผมมาโดยที่ไม่ได้นัดล่วงหน้า แต่อย่างน้อยผมก็ผิดเองแหละที่ไม่ได้มาประชุมเมื่อวาน ได้ข่าวจากพวกคนในองค์กรว่าวิกโก้โมโหเลือดขึ้นหน้า...แถมเป็นเรื่องใหญ่ซะด้วยสิ ผมเดินเข้ามาในห้องส่วนตัวของเขา มีกลิ่นซิการ์กับเหล้าคละคลุ้งเต็มไปหมด ผมเดินเข้าไปเรื่อยๆ จนเจอกับวิกโก้ที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่ตรงระเบียง "วิกโก้" ผมเรียกชื่อเขาก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปเพื่อจะแตะไหล่ ทันใดนั้นเขาก็พลิกตัวกลับมาและคว้าที่มือผม แววตาดุร้ายคู่นั้นเริ่มสงบลงก่อนจะกลับไปเป็นปกติ "ขอโทษทีคาร์ล นายมาตรงเวลาดีนี่" "คุณเรียกผมมาทำไม?" ผมเริ่มเข้าประเด็นทันที "ยังจำสตีลได้อยู่รึเปล่า?" "...ครับ ยังจำได้" ไม่มีใครลืมเธอได้ลงหรอก อย่างน้อยก็เรื่องผลงานที่เธอทำไว้ในองค์กรตอนที่เธอยังอยู่ ดวงตาสีเทาคู่นั้นที่ทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เจอ ตั้งแต่ยังจำความได้ครั้งแรกตอนนั้นที่ได้เจอเธอเมื่ออายุสิบห้า ผมเป็นเด็กเร่ร่อนตั้งแต่สิบขวบจนกระทั่งตอนอายุสิบห้าผมก็ถูกจับไป ที่นั่นไม่ต่างอะไรจากคุกนัก เด็กอดอยาก ที่นอนอันแสนจะคับแคบ แถมเรื่องการแย่งอาหารที่เราเจอแทบจะทุกวันอีก มันเป็นนรกที่เราเรียกกันเล่นๆ ว่า 'หลุมดำ' ตอนนั้นผมจำได้แค่ว่ากำลังเดินหาของกินตามถนน แล้วจู่ๆ ก็ถูกกระชากขึ้นรถมา ฟื้นอีกทีก็มาอยู่ที่นี่ซะแล้ว เด็กที่ถูกจับมาส่วนใหญ่จะรอรับชะตากรรมของตัวเอง ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็จะถูกขายไปให้พวกหื่นกามที่เงินหนา ส่วนเด็กผู้ชาย...ถ้าไม่ถูกขายเป็นแรงงานก็จะถูกพวกที่ชอบเรื่องอย่างว่าซื้อตัวไปแทน และพวกเด็กที่ถูกพาตัวไปก็ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย ผมกลัวมาตลอด จนกระทั่งวันนั้นมาถึง...นรกของผม "เฮ้ยไอ้หนู! ออกมานี่" ใจผมหล่นวูบไปถึงตาตุ่ม หัวใจเต้นรัวเหมือนวิ่งรอบโลก เพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยกันมองหน้าเหมือนจะรู้ชะตากรรมของผมดี รู้สึกตัวอีกทีขาผมก็อ่อนแรงจนแทบจะลุกไม่ไหวแล้ว "ไม่!! ผมไม่ไป!!!" ผมถูกลากออกจากกรงขังและถูกพามายังห้องๆ หนึ่ง กำแพงทั้งสี่ด้านไม่มีอะไรนอกจากความว่างเปล่า ผมถูกพวกมันล่ามไว้กับเตียงฟูกเก่าๆ ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ตัวหนึ่ง สัตว์ที่กำลังรอเวลาเข้าโรงฆ่าสัตว์ "ปล่อยผมเถอะ..." สิ่งที่ผมได้รับกลับมาคือรอยยิ้มอันชั่วร้ายของพวกเขา ก่อนที่เสื้อผ้าขาดๆ ที่ผมใส่อยู่นั้นจะถูกฉีกออกจนไม่เหลือชิ้นดี พวกมันจับให้ผมนอนคว่ำหน้าก่อนจะใส่กุญแจมือและเท้าผมไว้กับหัวเตียงสี่มุม รู้สึกหายใจไม่ออกนิดหน่อยเพราะหมอนที่กดจมูกไว้อยู่ จนกระทั่งมีใครบางคนเปิดประตูเข้ามา "ว้าว...ตรงสเปคดีนี่ แต่ฉันว่าผอมไปหน่อย เอาแค่ห้าร้อยเหรียญไม่ได้หรอ?" "ยังบริสุทธิ์ แถมไม่มีตำหนิแบบนี้ผมว่าพันนึงมันเหมาะแล้วล่ะ จะเอาหรือไม่เอา?" "แหมๆ ใจเย็นสิ ก็ได้ พวกนายนี่โหดร้ายจัง" ผมไม่รู้ว่าเขาตกลงอะไรกันไว้ แต่ที่แน่ๆ ความซวยนั้นตกมาอยู่กับผมซะแล้ว ประตูห้องถูกปิดลงก่อนจะตามมาด้วยสัมผัสอันหยาบกร้านจากฝ่ามือของชายคนหนึ่ง ผมพยายามดิ้นขัดขืนเมื่อเขาเริ่มรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของผม "ไม่เอาน่าพ่อหนุ่ม...ถ้าทำตัวดีๆ ฉันอาจจะพานายไปอยู่ด้วยก็ได้นะ นายจะได้ไม่ต้องอยู่แบบแออัดไง" เขาพยายามเกลี้ยกล่อมผม ใครจะยอมง่ายๆ แบบนั้นล่ะ ถ้าเขาเป็นคนดีจริงก็ไม่ต้องมาซื้อผมก็ได้ หรือไม่ก็ปล่อยให้ที่นี่มันเน่าตายไปพร้อมกับความทรงจำอันเลวร้ายของพวกเราซะยังจะดีกว่า "ได้โปรด...อย่าทำอะไรผมเลยนะ" "เสียดายจังที่ไม่รับข้อเสนอ แต่ก็ดีหน่อย" เขาก้มลงกระซิบพร้อมกับเลียใบหูผม "จะได้น่าตื่นเต้นกว่านี้ไง" ด้วยความเงียบที่อยู่เพียงในห้องผมจึงรับรู้ได้ถึงทุกการกระทำของเขา เริ่มตั้งแต่เสียงซิปที่ถูกปลดลงและซากกางเกงขายาวที่ถูกโยนไปที่มุมห้อง เตียงที่สั่นจากการที่ผมพยายามขัดขืน เกิดมายังไม่เคยถูกทำแบบนี้มาก่อน...ไม่สิ เกิดมายังไม่เคยได้มีอะไรกับใครเลยด้วยซ้ำ ผมกรีดร้องสุดเสียเมื่อเขาสอดใส่อะไรบางอย่างเข้ามาทางด้านหลัง รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังฉีกเป็นเสี่ยงๆ ผมดิ้นสุดแรงในขณะที่เขายังทำมันต่อได้โดยไม่มีทีท่าจะหยุด "ฮือ...อึก-" "เด็กดี" 'ปุ! ปุ! ปุ!' ผมหยุดร้องก่อนจะพยายามหันหัวตัวเองไปที่ประตู ชายแก่คนนั้นดึงสิ่งน่าขยะแขยงนั้นออกจากตัวผมและมุ่งตรงไปที่ประตูพร้อมกับปืนพกในมือด้วยสภาพล่อนจ้อน "นั่นใครน่ะ?" เขายืนพิงกำแพงก่อนจะค่อยๆ โผล่หน้าไปมองที่ช่องตาแมวที่อยู่ด้านบนหลังจากทุกอย่างเงียบลงแล้ว "ปัง!" เสียงปืนนัดนั้นทำให้ผมสะดุ้งอีกรอบด้วยความตกใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงอีกครั้ง มีเลือดข้นๆ ไหลมาตามร่องกระเบื้องจนกระจายไปทั่วห้อง ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง "แม่งเอ้ย เละเทะอีกแล้ว" เสียงผู้หญิง? ไม่สิ มันเป็นเสียงเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำ จากนั้นความสงสัยของผมก็กระจ่างเมื่อเธอไขกุญแจมือผมออกและพลิกตัวผมกลับมา ดวงตาสีเทาอันเย็นชาคู่นั้นมองมาที่ผม แต่ผมเดาอารมณ์เธอไม่ออกเลย ดูๆ แล้วเธอยังอายุไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ เป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะบุกเข้ามาในนี้ได้เพียงลำพัง "เอาไอ้นี่ปิดไว้ก่อน" ผมรับเสื้อแจ๊กเก็ตที่เธอถอดออกมาและพยายามฝืนให้ตัวเองลุกขึ้นยืน เธอไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้นก่อนจะหยิบเสื้อผ้าจากกระเป๋าสะพายข้างของเธอมาให้ ซึ่งมันน่าจะพอดีกับตัวผม "ใส่ซะ" ผมพยักหน้าก่อนจะรับเสื้อผ้าของเธอมา เด็กสาวเจ้าของตาสีเทาคู่นั้นไม่พูดอะไรก่อนจะหันกลับไปดูศพของชายที่เธอเพิ่งสังหารไป ผมมองที่รอยสักตรงสะโพกของเธอ มันเป็นอักษรตัวพิมพ์ใหญ่แข็งๆ ที่สักไว้ว่า 'MARTINI' "คาร์ล ฟังที่ฉันพูดอยู่รึเปล่า?" "ครับ...เธอไม่สมควรที่จะโดนแบบนั้น" วิกโก้เล่าเรื่องที่ลูกชายเขาได้ทำไว้กับเธอ เด็กหญิงที่เคยช่วยผมไว้เมื่อหลายปีก่อน พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลยที่ทำแบบนี้กับเธอ...คนที่เคยช่วยผมไว้ "สรุปแล้วอยากให้ผมช่วยอะไร?" "ช่วยเป็นบอดี้การ์ดให้ลูกชายฉันที" "ทำไมต้องเป็นผม?" "เพราะนายเก่งที่สุดแล้วน่ะสิ ตั้งแต่สตีลถอนตัวออกไปนายก็เป็นตัวเต็งขององค์กรเรา มีนายคนเดียวที่ฉันเชื่อใจได้" เชื่อใจได้...เชื่อใจได้งั้นหรอ? เราต่างก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง แต่การขัดคำสั่งของผู้ดูแลก็ไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตายนัก แน่นอนว่ามันมีโทษถึงตาย และดูเหมือนวิกโก้ไม่ได้ให้ทางเลือกผมเท่าไหร่ "ตกลง" "งั้นถือว่าตามนี้" วิกโก้พูดยิ้มๆ ก่อนจะหันกลับไปสูบซิการ์ต่อ ผมถอนหายใจและตัดสินใจออกจากห้องของเขา ผมมีลางร้ายว่าผมจะเจอเรื่องไม่ดีอีกเป็นแน่ ฉันเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่ต่างจากสามวันก่อน ข้าวของที่กระจัดกระจายไปทั่ว คราบเลือดของอีธานที่ยังอยู่บนพื้น ทุกๆ อย่างทำให้ฉันนึกถึงภาพอดีต ในความเงียบสงบนั้นจู่ๆ เจ้าสี่เท้าลายเสือก็เดินออกมาจากมุมห้องและวิ่งตรงมาหาฉัน "ดีใจที่แกไม่เป็นอะไรนะ" ฉันก้มลงไปลูบหัวแมวทอยเกอร์เพศผู้ที่ฉันเลี้ยงไว้ มันถูไถหัวตัวเองรอบๆ ตัวฉันเหมือนเป็นการทักทาย ซึ่งมันอาจจะไม่รอดมาจนถึงวันนี้ก็ได้หากฉันกับอีธานเลือกที่จะให้มันนอนอยู่กลางหิมะในวันคริสต์มาสโดยไม่เข้าไปช่วย ตอนนั้นมันยังเป็นแค่ลูกแมวทอยเกอร์ตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในมุมตึก เสียงร้องของมันเรียกความสนใจให้เราสองคนเดินไปด้านใน จนเมื่อเราเจอซากแม่แมวที่นอนตายอยู่บนพื้นและลูกแมวตัวนั้น มันปลุกเร้าบางอย่างในตัวฉันออกมาจนทำให้ฉันต้องยอมช่วยมันจนได้ เวลาที่ฉันมองมัน แมวทอยเกอร์ตัวนั้นทำให้ฉันนึกถึงอีธาน ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นเหมือนกับของเขาไม่มีผิด มันจะชอบนั่งมองหน้าฉันเวลาที่รู้ว่าฉันมีปัญหาก่อนจะเข้ามาคลอเคลียตามนิสัยของมัน และครั้งนี้มันก็ทำแบบนั้นเช่นกัน "อีธาน..." ฉันปาดน้ำตาและอุ้มมันขึ้นไปที่ห้องนอน ก่อนจะกลับลงมายังด้านล่างเพื่อจัดการคราบเลือดที่พวกมันทำทิ้งไว้ ฉันกัดฟันถูพื้น หวังไม่ให้ภาพพวกนั้นมันผ่านเข้ามาในหัวอย่างที่เคยเป็นเหมือนเมื่อวาน ยิ่งฉันทำตัวอ่อนแอมันก็ยิ่งเป็นการเปิดช่องโหว่ให้พวกนักฆ่าเข้ามาจัดการฉันได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่าฉันยังไม่พร้อมที่จะตายตอนนี้ คราบเลือดที่เปลี่ยนสีไม่ได้ลบออกได้ง่ายเหมือนที่คิดไว้ ฉันน่าจะลองติดต่อกับเขาได้นะ คนเก็บกวาดประจำองค์กร คนพวกนี้ไม่ค่อยขึ้นตรงกับองค์กรเท่าไหร่นัก แต่เวลาที่เกิดเรื่องสังหารภายในองค์กร คนพวกนี้จะเป็นสิ่งแรกที่พวกเรานึกถึงเสมอ "ปัง!" ฉันสะดุ้งเฮือกก่อนจะวิ่งไปหลบที่กำแพง พวกนักฆ่าตามมาเก็บฉันแล้วสิ ฉันมองผ่านกระจก พวกมันคลุมโม่งดำและสวมชุดฮู้ตพร้อมปฏิบัติการ มันเป็นเครื่องแบบหลักขององค์กรเวลาที่มีงานสังหารในสถานที่อื่น แต่ตอนนี้ช่างมันก่อนเถอะ เจ้าแมวทอยเกอร์ที่ฉันเลี้ยงไว้เดินลงมาจากด้านบนและร้องเรียกฉันอย่างไร้เดียงสา ฉันทำสัญญาณมือโดยการชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นและสะบัดมือแรงๆ เป็นการบอกให้มันหนีไป ดีที่มันค่อนข้างจะฉลาดและเรียนรู้ไวจึงทำให้ฉันและอีธานไม่ต้องเหนื่อยมากเวลาฝึกให้มันทำตามคำสั่งเหมือนสุนัข ซึ่งมันก็ค่อนข้างได้ผลดีเลยทีเดียว ทอยเกอร์หนุ่มวิ่งขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว "เธออยู่ในห้องครัว! ล้อมเธอไว้!" ฉันตัดสินใจถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งเป็นชุดที่ได้มาจากบาทหลวงหนุ่มออกเพื่อพรางตัวจากพวกมัน อย่างน้อยการทำตัวเองให้ดูโดดเด่นในความมืดมันก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก ฉันวิ่งไปหลบที่มุมเสาพลางจ้องมองเงาตะคุ่มที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ระยะเหมาะพอที่จะเข้าจู่โจมได้ ชายหนุ่มคนนั้นยืนหันหลังให้ฉันโดยที่ไม่รู้เลยว่าฉันกำลังหายใจรดต้นคอเขาอยู่ กร๊อบ! ฉันหักคอเขาจากด้านหลังก่อนจะหยิบปืนเก็บเสียงขึ้นมาและรีบคว้าเอาชุดคลุมที่เขาใส่มาปิดส่วนบนไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองดูโป๊ไปมากกว่านี้ หนึ่ง...สอง...สาม ฉันลองนับเสียงฝีเท้าพวกมัน อย่างน้อยก็ไม่น่าจะต่ำกว่าห้าคนแน่ๆ พวกมันสามคนเดินผ่านเข้ามาทางห้องนั่งเล่น ส่วนที่เหลือที่ฉันเห็นก็รวมตัวกันอยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับดึงผ้าพันแผลตรงตาให้แน่นขึ้น "ปัง! ปัง!" ฉันเปิดฉากยิงใส่พวกมันก่อน นักฆ่าอ่อนประสบการณ์ถูกกระสุนของฉันไปคนนึง อีกสองคนที่เหลือรีบไปหลบหลังโซฟายาว "ไงมาร์ตินี่ ไม่เจอกันนานนะ" "โจอี้...วิกโก้จ้างเธอมาเท่าไหร่ล่ะ?" "ล้านนึง" "ฉันไม่อยากฆ่าพวกเธอ" ฉันพูดเกลี้ยกล่อมให้เธอเปลี่ยนใจ "แต่ฉันอยาก" ฉันวิ่งก่อนจะสไลด์ตัวไปที่ด้านข้างโซฟา กระสุนหัวตะกั่วเจาะเข้ากลางหน้าผากของอีกคนอย่างสวยงาม จังหวะที่ฉันกำลังจะเหนี่ยวไกอีกนัดโจอี้ก็วิ่งออกหลังบ้านไปซะแล้ว นักฆ่าอีกสองคนจากในสวนหลังบ้านสาดกระสุนเข้ามาจนฉันเกือบหลบไม่ทัน ตอนนี้เหลือกระสุนอยู่สิบสองนัด เหลือเฟือสำหรับฉัน ฉันเงี่ยหูฟังเสียงเศษแก้วที่พวกมันเหยียบเข้ามา รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกพวกมันล้อมในเคาท์เตอร์ทำอาหารจากทั้งสองด้าน ฉันสูดหายใจเข้า พยายามเรียกสติตัวเองอีกครั้งก่อนจะหยิบกระป๋องอาหารแห้งที่วางอยู่บนชั้นโยนไปอีกทาง พวกมันยิงไปที่กระป๋องตามคาด "ปังๆๆๆ" ฉันตัดสินใจโผล่หัวออกมาและปลิดชีพนักฆ่าสองคนนั้น พวกมันล้มลงพร้อมกัน ฉันมองที่สวนหลังบ้าน ไม่มีวี่แววของสาวน้อยนักฆ่าคนนั้น 'เตกีล่า' คือโค้ดเนมที่เธอได้มา สีผิวแทนและผมสั้นดำสนิททำให้เธอดูน่ากลัวในสายตาของใครหลายๆ คน เธอเคยฆ่าเป้าหมายด้วยมีดปาดเนยเล่มเดียว เพราะฉะนั้นเวลาที่เธอถือปืนยังดูน่ากลัวน้อยกว่าตอนถือมีดซะอีก โจอี้ที่ซ่อนอยู่ข้างกำแพงใช้มีดลอบแทงจากหลังกำแพง ดีที่มีดเล่มนั้นเฉี่ยวหัวฉันไปคืบเดียวเท่านั้น เธอถีบฉันลงด้วยพละกำลังเกินผู้หญิงธรรมดาก่อนจะปักมีดเล่มนั้นหวังจะปลิดชีพฉัน ฉันจึงคว้าข้อมือของเธอก่อนที่เราสองคนจะเริ่มยื้อมีดในมือ แต่ตอนนี้ฉันเสียเปรียบที่นอนอยู่ด้านล่าง "ตายซะมาร์ตินี่" "เธอเลือกแบบนี้เองนะ...โจอี้" ฉันกระทุ้งท้องน้อยของเธอด้วยเข่าจนเธอล้มลงก่อนที่ฉันจะพลิกตัวกลับมาและจัดการใช้มีดเล่มนั้นแทงเข้าที่กลางหัวใจโจอี้อย่างไม่ลังเลจนเธอค่อยๆ หมดฤทธิ์ไปในที่สุด ฉันนอนหายใจหอบอยู่บนพื้นหญ้าอยู่หลายนาทีก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ของโจอี้มากดหาเบอร์ใครบางคน "จอห์น...นี่สตีลเองนะ" 'มาร์ตินี่หรอ?' "ใช่ พอจะมีคิวว่างให้สั่งของอยู่รึเปล่า" 'มีอยู่ เอาเป็นตอนนี้เลยดีมั้ย?' เขาพูด น้ำเสียงดูพึงพอใจ "เอาเป็นตอนตีหนึ่งดีกว่า ขอเป็นกระจกตกแต่งซักสองสามบาน ขอบใจมากนะ" ฉันกดวางสาย อันที่จริงฉันก็อยากจะจัดการเองมากกว่า แต่พอเห็นสภาพบ้านแล้วขอผ่านดีกว่า ไม่คิดว่าจะมีคนอยากจะฆ่าฉันเยอะขนาดนี้แฮะ ถ้าวิกโก้รู้ว่าคนที่เขาส่งมาถูกฆ่าจนเกลี้ยงแบบนี้ค่าตัวฉันคงเพิ่มอีกเท่าแน่ ฉันฝืนให้ตัวเองลุกขึ้นและเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทอยเกอร์เดินลงมาจากบันไดเงียบๆ ก่อนจะเข้ามาคลอเคลียฉันอีกรอบ "เดี๋ยวทอดปลาให้นะ" หลังจากที่ฉันจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำแผลเรียบร้อยแล้ว ไม่นานนักหน่วยเก็บกวาดก็มาถึง ชายแก่วัยเกษียณยิ้มทักทายฉันก่อนจะถอดหมวกทรงกว้างที่ใส่อยู่ออกเป็นการให้เกียรติ จอห์นค่อนข้างจะเคารพทุกคนถึงแม้คนๆ นั่นจะอายุน้อยกว่าก็ตาม รวมถึงฉันด้วย "สตีล ไม่ได้เจอกันนาน เดี๋ยวนี้รับงานเองแล้วหรอ?" "เรื่องมันยาวน่ะ" ฉันแปลกใจที่เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น แต่เขาก็เป็นคนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องในองค์กรมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จอห์นพยักหน้ากับชายผิวดำสี่คนที่ยืนรออยู่หน้าประตูพร้อมกับของทำความสะอาดครบมือ ฉันกับจอห์นมองหน้ากันอยู่นานก่อนที่เขาจะสวมหมวกกลับเหมือนเดิม "มานี่หน่อยสิ" ฉันพาจอหน์เดินมาที่คราบเลือดของอีธานที่อยู่ในห้องครัว เขาก้มตัวลงและใช้นิ้วแตะดู "พอจัดการให้ได้มั้ย?" "ได้สิ แต่ไม่อยากบอกหรอว่าเป็นเลือดใคร" จอห์นเดินไปหยิบกล่องเครื่องมือจากหลังรถและกลับเข้ามา เขารื้อเอาขวดบางอย่างออกมาจากในกล่องและสวมถุงมือเพื่อความปลอดภัย "ไม่อยากเล่าให้ฟังจริงๆ หรอว่าเกิดอะไรขึ้น?" "ฉันกลัวว่าถ้าเล่าให้คุณฟังฉันคงจะต้องหักคอคุณน่ะสิ" เขายิ้ม ฉันพูดมุกตลกแบบนั้นออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะโดนเขายิงแสกหน้ารึเปล่าออกไปได้ไงเนี่ย แต่จอห์นที่ฉันเคยรู้จักเมื่อห้าปีก่อนไม่ใช่คนแบบนั้นแน่ อย่างน้อยก็เมื่อห้าปีก่อน ตำรวจคือสิ่งที่ฉันกังวลเป็นอันดับสอง แต่พวกเจ้าหน้าที่ในเมืองบางส่วนถูกพวกเราซื้อไปบ้าง คนพวกนี้จะไม่ค่อยยุ่งกับพวกเราเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเด็กในกรมที่มาประจำการใหม่จะตามกัดไม่เลิก คดีฆาตกรรมคือสิ่งอันเย้ายวนสำหรับพวกเขา ผ่านไปสิบนาที...เป็นไปตามคาด รถสีขาวพาดดำขับมาจอดที่บ้านฉัน เขากดกริ่งหน้าบ้าน ฉันเปิดประตูต้อนรับเขาโดยมีปืนบาเล็ตตาเป็นเพื่อนออกไปต้อนรับ เจ้าของชุดราชการสีกากีถอดหมวกคาวบอยออก เราสองคนมองหน้าและไม่พูดอะไร "สตีล?" "อเล็กซ์...ยังเป็นนายอำเภออยู่หรอ?" อเล็กซ์ บิลล์ เขาเป็นเพียงแค่นายอำเภอคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ แบบนี้ ฉันเคยทำงานเป็นผู้ช่วยของเขาเมื่อสองปีก่อน เขาเป็นทั้งพ่อและพี่ชายในเวลาเดียวกันหากฉันเกิดปัญหา แต่พอหลังจากที่เขาตามสืบประวัติแล้วรู้ว่าฉันเป็นใครอเล็กซ์ก็ไล่ฉันออกทันที อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการที่เขาจะโยนฉันเข้าคุกล่ะนะ "เธอกลับมารับงานหรอ?" เขาถาม จ้องมาที่ผ้าพันแผลบนตาฉันอย่างสงสัย "เปล่า...แค่แขกไม่ได้รับเชิญน่ะ นายจะจับฉันรึเปล่าล่ะ?" "แค่ไม่มีพวกเธอคนก็ล้นคุกจะแย่แล้ว ก็ดีใจที่ได้เจอกันอีกรอบนะ" เขากลับขึ้นรถและขับออกไป ฉันยังยืนอ้ำอึ้งอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอะไรถึงแม้อยากจะทำแค่ไหนก็ตาม จนเมื่อจอห์นเรียกฉันกลับเข้าไปฉันถึงมีสติอีกครั้ง ศพบางส่วนถูกขนขึ้นรถแวนสีดำบ้างแล้ว รวมถึงศพของโจอี้ด้วย... เวลาตีสองกว่าๆ คนเก็บกวาดทั้งหมดเดินกลับขึ้นรถไปยกเว้นจอห์น เขายืนรออยู่หน้าประตูเพื่อรอให้ฉันจ่ายค่าตอบแทนให้เขา ปกติถ้าฉันยังทำงานอยู่องค์กรจะเป็นฝ่ายที่จัดการเรื่องพวกนี้เอง แต่ฉันไม่ได้อยู่ในนั้นอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างจึงตกมาเป็นหน้าที่ฉันโดยปริยาย ฉันเดินไปยังห้องใต้ดินก่อนจะเปิดตู้เซฟออกมา มันเป็นที่สำหรับเก็บตราทอง หรือที่เข้าใจง่ายๆ คือมันเป็นค่าตอบแทนในการทำงานของพวกเรานั่นแหละ ถึงมันจะไม่ใช่ทองแท้ก็จริงแต่มันก็มีความพิเศษที่ว่าทุกๆ เหรียญจะพิมพ์รหัสของพวกเราไว้เพื่อป้องกันการโจรกรรม ส่วนใหญ่ก็จะเอาไว้ใช้แลกเปลี่ยนเป็นเงินหรือเป็นบัตรผ่านเข้าไปยังสถานที่ต่างๆ ในองค์กร ระยะเวลาเกือบยี่สิบปีที่ฉันทำงานนี้เป็นตัวการันตีเหรียญที่เต็มตู้ได้เป็นอย่างดี ฉันหยิบมาและนับตามจำนวนก่อนจะเดินกลับขึ้นไปด้านบน "ขอบใจนะจอห์น" "มีศพให้เก็บก็โทรมาอีกนะ รักษาตัวเองให้ดีๆ ล่ะ" ฉันโบกมือบอกลาเขาจนรถตู้คันนั้นสตารท์และขับหายลับตาไป เจ้าทอยเกอร์กำลังนั่งแทะปลาที่ฉันทอดไว้อย่างเอร็ดอร่อย มันเงยหน้าขึ้นมามองฉันครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงกินปลาตัวนั้นต่อ กระจกที่แตกถูกเปลี่ยนเรียบร้อย หลงเหลือเพียงรอยกระสุนบนกำแพงเท่านั้น ฉันตัดสินใจเดินขึ้นไปที่ห้องนอน วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน ที่นอนอีกฝั่งว่างเปล่า ไม่มีอีธานนอนข้างๆ เหมือนอย่างเคย ความรู้สึกที่เคว้งคว้างและโดดเดี่ยว...ฉันพยายามข่มเปลือกตาให้ปิดลง บังคับให้ตัวเองนอนให้ได้ ดูเหมือนตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันคงต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ หวังว่าโชคจะยังเข้าข้างฉันจนกว่าจะจบเรื่องทั้งหมดนี้ [End of Chapter 4]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD