บทที่ 1 มณีมุกดา 70%

1141 Words
ในเวลาเดียวกันบนอาคารสูงระฟ้าที่ประเทศสิงคโปร์ ชายหนุ่มร่างกำยำผมหยักศกสลวยยาวระต้นคอลุกพรวดขึ้นจากเตียงนอน มือขวาจับที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเองที่เต้นแรงขึ้น เขานิ่งอยู่นานก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เมื่อสัมผัสถึงสัญญาณบางอย่างที่เด่นชัดขึ้น “เจ้าจุติแล้วมุญารินทร์” เขาพึมพำออกมา ขณะเดียวกันกับเสียงกดกระดิ่งหน้าประตูห้อง เขาเพียงหันมองก็เห็นคนที่อยู่ด้านนอกได้ผ่านหน้าจอที่ติดตั้งไว้บนผนัง แต่คนข้างนอกจะได้ยินเพียงเสียงของเขาเท่านั้น “นายท่านขอรับ” เสียงคนเฝ้าประตูเชื้อสายอาหรับเอ่ยเรียก “มีอะไร ซันมา” “ข้างล่างเกิดอุบัติเหตุ ฝนตกหนัก มีพายุ รถพุ่งมาชนอาคาร กระจกแตกไปหลายบานเลยครับ นายท่านจะลงไปดูไหมครับ” คนที่อยู่ข้างนอกรายงานด้วยน้ำเสียงนอบน้อมปนตระหนก “เรียกบริษัทประกันภัยมาจัดการ” เขาตอบเสียงเรียบ ๆ เหมือนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว “ขอรับ” ชายหนุ่มได้ยินเสียงตอบจากซันมา ตามมาด้วยเสียงเดินที่ห่างออกไป แล้วหน้าจอก็ดับวูบลงเมื่อระบบอินฟาเรดไม่สามารถจับอุณหภูมิของผู้ที่อยู่หน้าห้องได้อีก “เจ้าส่งสัญญาณเตือนพี่หนักถึงเพียงนี้เชียวหรือมุญารินทร์” คนพูดอมยิ้มดวงตาเป็นประกายอ่อนหวาน ก่อนจะเดินออกไปเปิดม่านมองลงไปข้างนอกเห็นสายฝนที่เริ่มซาลง ด้านล่างมีรถยนต์ขับผ่านอยู่อีกฝั่งหนึ่งซึ่งมีอาคารสูงตั้งอยู่หนาแน่น ขณะฝั่งที่ตั้งอาคารของเขาเต็มไปด้วยรถตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติงานบรรเทาความติดขัดของการจราจรที่รถราเริ่มคับคั่งขึ้น เพราะเป็นช่วงใกล้รุ่งที่คนกำลังเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน ร่างสูงใหญ่เดินไปนั่งบนโซฟา หยิบรีโมทคอนโทรลขึ้นเปิดทีวีจอใหญ่ที่ติดตั้งอยู่บนผนัง เขาเอนกายดูภาพข่าวในจอสี่เหลี่ยม ที่กำลังถ่ายทอดสดสภาพอาคารขนาดใหญ่สูงกว่าห้าสิบชั้นของตระกูลเฉิน ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนเป็นเพียงร้านจิลเวลรี่สามชั้น ต่อมาได้เปลี่ยนการบริหารงานมาเป็น เดวิด เฉิน ผู้เป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูล แค่เพียงไม่กี่ปีที่เขาได้เข้ามาบริหารงานแทนบิดา ทั่วโลกต่างก็ตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของธุรกิจจิวเวลรี่ แบรนด์ ไดมอนด์ ออฟ โอเชียน ที่ใหญ่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสร้างอาคารไดมอนด์ ออฟ โอเชียน ที่ใหญ่ติดอันดับต้น ๆ ของสิงคโปร์ แถมเขายังขยายอาณาจักรของตระกูลเฉินไปยังมาเลเซีย และอินโดนีเซียอีกด้วย “ขณะนี้เรายังไม่สามารถติดต่อกับทางตระกูลเฉินได้ มีเพียงบริษัทประกันภัยที่เข้ามาทำหน้าที่เจรจาความเสียหายต่าง ๆ หากมีความคืบหน้าเราจะมารายงานต่ออีกครั้ง” เสียงของผู้ประกาศข่าวสาวจบลง เขาก็กดปิดหน้าจอสี่เหลี่ยมนั้นทันที ชายหนุ่มเดินไปยังห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องโล่งกว้าง “ถึงเวลาที่พี่จักได้พบเจ้าแล้วสินะ” ดวงหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข ชายหนุ่มนั่งลงกลางห้องในท่าขัดสมาธิแล้วหลับตานิ่ง ไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีก ดวงจิตจดจ่อไปยังสิ่งเร้าที่เต้นเร่าอยู่ในอก ซึ่งส่งสัญญาณเตือนให้เขารับรู้ว่าเจ้าของสิ่งนั้นอยู่ใกล้เหลือเกินแล้ว ก่อนที่เขาจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าไปมา “เหตุใด ข้าจึงติดต่อไม่ได้ สายใยแห่งข้า เหตุใด...” เสียงที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายเล็ดลอดผ่านริมฝีปากได้รูปคู่นั้น เก้าเดือนต่อมาในโรงพยาบาลประจำอำเภอ ซึ่งเป็นช่วงคล้อยบ่ายที่ฝนกำลังตกหนักราวกับฟ้ารั่ว ทารกน้อยส่งเสียงร้องจ้าเมื่อออกจากครรภ์ของมารดา หมอและพยาบาลช่วยกันทำความสะอาดร่างเล็กจิ๋วนั้นอย่างรีบเร่ง “ลูกผู้หญิงค่ะ” พยาบาลสาวอุ้มทารกแรกคลอดเดินมายืนอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย ปานวาดปรือตาขึ้นมองบุตรสาวด้วยท่าทางอ่อนแรง แล้วยื่นมือไปรับลูกน้อยมาแนบอก “มุกดา ลูกแม่” น้ำในดวงตาของเธอไหล่ปรี่ลงมาอย่างปลื้มปิติ เธอตั้งชื่อให้ลูกว่ามุกดาตามที่ฝันไว้ว่าได้รับมณีมุกดาตอนตั้งครรภ์ หญิงสาวหันไปยังสามีที่เดินมามองอยู่ที่เตียง “ลูกพ่อ ช่างน่าเกลียดน่าชังเหลือเกินลูก” เพิ่มน้ำตารินเมื่อเห็นหน้าลูกครั้งแรก เขาโอบกอดทั้งภรรยาและลูกไว้ด้วยความสุข ชีวิตเขาครบถ้วนสมบูรณ์แล้วเมื่อมีบุตรสาวคนนี้ หลังจากที่สิ้นหวังมานาน คิดว่าคงจะไม่มีลูกไว้เชยชมเหมือนผัวเมียคู่อื่น ๆ แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลทั้งสองเลี้ยงดูลูกน้อยอย่างทะนุถนอม จนกระทั่งสองปีผ่านไป ซึ่งมีสิ่งแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับบุตรสาวคนนี้อยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเห็นงูสีเขียวตัวใหญ่ที่เลื้อยผ่านอกของบุตรสาวไปตอนที่หนูน้อยนอนหลับ รวมทั้งสองมักจะมีโชคลาภเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอตั้งแต่ได้บุตรสาวคนนี้ จนกระทั่งฐานะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ใช้ชีวิตไม่ลำบากเช่นแต่ก่อน ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองกังวลที่สุดก็คือความไม่ปกติของบุตรสาว ที่ชอบเล่นกับงู แถมเจ้างูน้อยเหล่านั้นเมื่อเห็นหนูน้อยมุกดาก็เชื่องเป็นลูกแมว ปล่อยให้จับลากไปมาเหมือนของเล่น จนทั้งสองหัวใจจะวายไม่รู้กี่ครั้งกี่คราว เช่นเดียวกับวันนี้ “มุกดา ไม่เล่นแบบนี้นะลูก ปล่อยเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ปล่อยแม่จะตีแล้วนะ” ปานวาดห้ามลูกสาวเมื่อหนูน้อยวัยสองขวบกว่า ๆ ลากเจ้างูเขียววิ่งไปวิ่งมาที่ลานหินลูกรังหน้าบ้าน “มุกปล่อยลูก เดี๋ยวมันกัดเอา” ผู้เป็นบิดาวิ่งมาช่วย แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปแย่งงูจากมือของลูกสาว หนูน้อยไม่สนใจคำห้ามปราม เธอจับเจ้างูโยนขึ้นฟ้าแล้ววิ่งไปเก็บเมื่อมันตกลงมา พร้อมกับหัวเราะอย่างสนุกสนาน จนเพิ่มทนไม่ไหวต้องวิ่งไปจับตัวลูกสาวไว้ หนูน้อยร้องไห้จ้า ดิ้นจะไปจับเอามาเล่นต่อ “มุกไม่เล่นนะลูก หนูโยนแบบนั้นเดี๋ยวมันก็ได้ตายกันพอดี” ปานวาดเข้ามาปราม “เดี๋ยวพ่อพาไปกินขนมนะลูก ไม่เล่นแล้วนะ ไปกินขนมกันดีกว่า พ่อซื้อมาเยอะแยะเลย” เพิ่มเบี่ยงเบนความสนใจของลูก แล้วอุ้มเดินเข้าไปในบ้าน โดยไม่ได้มองว่าเจ้างูเขียวที่อยู่ข้างหลัง หายไปได้อย่างไร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD