โชคชะตาที่ไม่อาจเลี่ยง
[พันไมล์]
"พี่พิมกลับมาหรือยังลูก แค่กๆ"
เสียงแหบแห้งจากผู้เป็นบิดาทำให้พันไมล์ หรือ พีราวัชร กิดากานต์ บุตรคนเล็กของ พีรวิชญ์ กิดากานต์ ที่ในอดีตเคยมีฐานะร่ำรวยแต่ด้วยพิษต้มยำกุ้งเมื่อหลายสิบปีก่อนทำให้ธุรกิจครอบครัวกิดากานต์ซบเซามาโดยตลอด หลายปีมาแล้วที่บริษัทต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ จากการกู้หนี้ยืมสินธนาคารมาลงทุนแบบทุ่มสุดตัว แต่เมื่อเจอผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวจึงไม่อาจแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไว้ได้ทำให้ล้มละลายในที่สุด เหลือเพียงบ้านไว้ซุกหัวนอนของผู้เป็นภรรยาที่จากโลกนี้ไปตั้งแต่ลูกชายคนเล็กยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมตอนต้น ทำให้ลูกสาวคนโตอย่างพิม หรือพิมมาดา กิดากานต์ที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยต้องออกกลางคันเพื่อมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแบกรับภาระในการเลี้ยงดูบิดาที่ตรอมใจ อย่างที่เขาว่าใจเป็นนายกายเป็นบ่าว เมื่อเจอภาวะสิ้นเนื้อประดาตัวพ่อก็มีแต่จะทรุดลงไม่กินไม่นอนจนป่วยกระเสาะกระแสะไปไหนไม่ได้ อีกทั้งพิมมาดาจะต้องกัดฟันเลี้ยงและส่งเสียน้องชายอย่างเขาเพื่อให้ได้เรียนสูงๆ แต่โชคดีด้วยความที่พันไมล์เป็นเด็กเรียนดีทำให้ได้รับทุนได้เรียนต่อในโรงเรียนอินเตอร์ที่เดิมรวมถึงส่งเสียให้ได้ทุนเรียนต่อจนจบปริญญาตรีอีกด้วย
"น้ำครับพ่อ"
พันไมล์รีบเข้าไปนั่งข้างเตียง ยื่นแก้วน้ำที่มีหลอดให้บุพการีได้ดื่มแก้กระหาย หลังจากตื่นขึ้นมาในช่วงสายอีกวัน ตั้งแต่พ่อทรุดลงเขาก็ไม่ได้ไปไหนเลยต้องอยู่เฝ้าและดูแลปรนนิบัติเนื่องจากพ่อป่วยและไม่ยอมไปหาหมอ พันไมล์เคยพาไปโรงพยาบาลของรัฐแล้วแต่ก็ไม่หายสักที จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนพ่อก็อ้างว่าค่าใช้จ่ายต่อคืนก็หลักหมื่นไปแล้ว
"แล้วพันไมล์ไม่ได้ออกไปหางานทำเหรอลูก"
"ผมรอหนังสือเรียกตัวครับ อีกอย่างพี่พิมยังไม่กลับผมไม่กล้าทิ้งพ่อไว้คนเดียวหรอกครับ"
ตั้งแต่เรียนจบมา พันไมล์ก็ไม่ได้ออกไปสมัครงานที่ไหน เพราะต้องรอหนังสือเรียกตัวให้ไปทำงานจากเจ้าของทุน ซึ่งเป็นทุนจากบริษัทในเครือวณิชกุลเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมจากประเทศที่มีเทคโนโลยีชั้นนำของโลกไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และใต้หวัน รวมทั้งสินค้าของบริษัทตนเองด้วย ทุนที่ได้ไปเรียนต่อมีเงื่อนไขว่าผู้ได้รับทุนจะต้องมาทำงานใช้ทุนที่นี่ หากต้องการเปลี่ยนโยกย้ายที่ทำงานใหม่ต้องรอให้ครบห้าปีแล้วเท่านั้น...
ชายหนุ่มคิดถึงพี่สาว เขารักและเคารพยิ่งกว่าสิ่งใดรองจากผู้เป็นพ่อ ตลอดเจ็ดปีที่พิมมาดาต้องเสียสละตัวเองทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัวเพื่อพ่อและตนมาโดยตลอด เรียนจบแล้วก็ควรจะเป็นเขาที่จะทำงานเลี้ยงพ่อและพี่สาวให้มีความสุขเสียที
หลังจากสุดสัปดาห์ที่แล้วพี่พิมกลับมาในสภาพที่ดูไม่ได้เลย เขาไม่รู้ว่าพี่สาวทำงานหนักมากเพียงใด เพราะพิมมาดาไม่เคยเล่ารายละเอียดเนื้องานให้เขารู้เลย ถามก็ไม่เคยบอก แต่รู้ว่ามีความลับบางอย่างที่พี่สาวพยายามปกปิดเอาไว้โดยเฉพาะเจ้ากระเป๋าเงินที่มีธนบัตรสีเทาจำนวนห้าสิบปึกที่เธอมาโยนให้เขาเก็บไว้เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วโดยไม่บอกที่มา...
..
..
พันไมล์เปิดกล่องดูเงินจำนวนที่พี่สาวของเขาเอามาทิ้งไว้ให้เมื่ออาทิตย์ก่อน นึกถึงคำพูดพี่สาวก็ยิ่งกังวลใจ
"พี่จะไม่กลับมาที่นี่อีกหลายวัน ฝากแกดูพ่อด้วยนะ พี่อยู่นานไม่ได้ต้องรีบไปแล้ว "
"อะ... อะไร พี่พิมจะรีบไปไหน หายทีก็ตั้งเป็นเดือนๆ รู้ไหมว่าพ่อเป็นห่วงมาก"
"รู้แล้วอย่าถามเซ้าซี้ นี่เงินแกเก็บไว้รักษาพ่อนะ พาไปโรงพยาบาลเอกชนนะ" คนเป็นพี่ออกอาการลนลานท่าทางรีบร้อนจนพันไมล์มุ่นคิ้วสงสัย
"เงินอะไร พี่เอามาจากไหนตั้งเยอะแยะ นี่ไปทำอะไรมาหรือว่ามีอะไรปิดบังผมหรือเปล่า"
"ดูแลตัวเองนะ บอกพ่อว่าพี่สบายดี "
"เดี๋ยวสิพี่ อ้าว..เฮ้ย ยังไม่เคลียร์เลยกลับมาก่อนจะไปไหน พี่พิม พี่"
ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย ว่าทำไมพิมมาดาถึงได้ดูร้อนรนขนาดนั้น น่าจะเข้าบ้านมาเจอพ่อสักหน่อย พี่สาวจะรู้บ้างไหมว่าพ่อคิดถึงเธอมากแค่ไหน ยิ่งเธอหายไปนานๆพ่อก็ยิ่งทรุดหนักเพราะเป็นห่วง ตั้งแต่พ่อเจ็บออดๆแอดๆ ตัวเขาเองก็ออกมาหารายได้พิเศษช่วยพี่สาวอีกแรง แค่ค่าใช้จ่ายเดือนพี่สาวก็แทบจะไม่ไหว ตอนนี้เขาต้องทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาทั้งรับจ้างทั่วไปตอนกลางวันในวันหยุดสุดสัปดาห์ เสิร์ฟอาหารตามร้านเหล้า ตามผับบาร์ตอนช่วงกลางคืน ก็พอช่วยประทังมาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่การที่พี่สาวได้เงินก้อนโตมาเยอะขนาดนี้ทำให้พันไมล์กังวลใจ
ก๊อกๆๆๆ
ปังๆๆๆ
ความคิดของชายหนุ่มหยุดลงทันทีเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังอย่างหนัก อย่าเรียกว่าเคาะเลยน่าจะเรียกว่าถีบประตูมากกว่า พันไมล์นิ่วหน้า ใครกันมายามดึกดื่นขนาดนี้ หรือว่าพี่สาวจะเปลี่ยนใจกลับมาบ้าน
"พี่พิมใช่ไหม รอเดี๋ยวครับ"
ชายหนุ่มรีบสาวเท้าไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว เขายิ้มกว้างแต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่พี่สาวแต่กลับเป็นชายฉกรรจ์แปลกหน้าจำนวนห้าคนใส่ชุดดำยืนทำหน้าหน้าถมึงทึง
"เอ่อ พะ.. พวกคุณเป็นใครแล้วมาที่นี่ทำไม เออ.. มาผิดบ้านหรือเปล่า!" ใบหน้าหล่อซีดเผือดและมีน้ำเสียงตะกุกตะกักเมื่อเหลือบไปเห็นวัตถุสีดำทมึนเหน็บเอวครบทุกคน ชักรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ
"เจอไหม"
เสียงทุ้มเข้มดูมีอำนาจดังมาจากด้านหลัง ผู้ชายห้าคนข้างหน้ารีบหลีกทางออกให้ผู้ที่มาหลัง พันไมล์เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ที่ดูเคร่งขรึมคุกคามจนเขารู้สึกเหมือนตัวลีบแบน แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็ตะลึงงงงวยตกใจมากกว่าเดิม
"อ้าว.. นึกว่าใคร" ปราชญ์กวาดสายตามองไปที่หนุ่มรุ่นน้องที่ยืนทำหน้าตกใจด้วยรอยยิ้มเหยียดบางๆ
"ไม่เจอกันนานเลยนะ" รอยยิ้มกระตุกอย่างนึกสนุกเมื่อเจอคนที่เพื่อนเขาเคยคบมาสักพักก่อนความสัมพันธ์จะจบลง ช่วงนั้นทำเพื่อนเขาเจ็บปางตายมาแล้ว
"เจอคนไหม"
แต่เสียงที่ดังเข้มขึ้นจากด้านหลังปราชญ์ ยิ่งทำให้คนที่ยืนงงงวยอยู่ตรงประตูถึงกับทำหน้าตาตื่นเบิกตากว้าง อ้าปากพะงาบๆเหมือนปลาขาดน้ำใกล้จะขาดใจ
"เจอ.. แต่ไม่ใช่คนที่มึงต้องการว่ะ"
"อะไร!" เสียงห้วนบ่งบอกว่าหงุดหงิดเสียเต็มประดา ก่อนร่างสูงใหญ่ของใครบางคนจะปรากฎตัว
"เจอแต่อดีตคนรัก มึงว่ะตุลย์ แม่ง! โคตรจะเซอร์ไพรส์"
ทั้งพันไมล์และตุลย์ต่างก็ชะงักงันด้วยกันทั้งคู่ สองหนุ่มต่างประสานสายตากันอยู่นาน ห้าปีเกือบหกปีแล้วสินะที่ไม่เคยเจอหน้ากันอีกเลย ราวกับอีกฝ่ายได้ตายไปจากชีวิต ไม่นึกเลยว่าจะมาวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง
"กับมันก็แค่เคยนอนด้วยกัน อย่าเรียกว่ารักเลย"