บทที่ 2 คิดถึงคนไกล 1

2345 Words
๒ คิดถึงคนไกล ร่างอ้อนแอ้นอรชรในวัยสิบแปดปีเต็ม อยู่ในชุดนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง เท้าบอบบางก้าวเข้ามาภายในบ้านพร้อมกับส่ายตามองหาใครคนหนึ่ง ที่ทุกวันต้องพบว่านั่งรอหล่อนกลับบ้านเสมอ... ‘คุณป้าอุ่นเรือน’ หญิงสูงวัยผู้มีพระคุณ ตั้งแต่จำความได้หล่อนก็ได้คุณเรือนคอยดูแล ให้ความรักความเมตตา เอาใจใส่ไม่ผิดกับลูกในไส้เลยสักนิด “คุณป้าขา น้องปัญกลับมาแล้วค่ะ” สาวน้อยปัญชิตาร้องเรียกคุณอุ่นเรือน ทว่าเสียงที่ขานรับนำหน้ามาก่อนกลับไม่ใช่ “งี้ด งี้ด งี้ด” เจ้าหมาตัวใหญ่ของสาวน้อยวิ่งเข้ามาหาเจ้านายของมันทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เรียกใครยังไงมันไม่รู้ มันรู้แต่ว่านายมันกลับมาแล้ว จึงวิ่งออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ หางของมันกระดิกรัว... “ว่าไง เจ้าหมาน้อย เอ้ย! แก่ไม่ใช่หมาน้อยอีกแล้ว แกมันหมาแก่ตัวใหญ่ ทำไมตอนนั้นฉันไม่ตั้งชื่ออื่นให้แกนะ นี่! ไม่ต้องเลย แกไม่ใช่เด็กๆ อีกแล้วนะ” ปัญชิตาเอ็ดเมื่อมันพยายามจะชวนหล่อนไปเล่นโดยการตะเกียกตะกาย เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่สนใจก็ทำท่าจะกระโดดเข้าใส่ เป็นเวลาเดียวกับที่คุณอุ่นเรือนเดินมาจากด้านหนึ่งของบ้าน “อ้าว กลับมานานแล้วเหรอลูก” คุณอุ่นเรือนร้องทัก ใบหน้าอ่อนโยนยิ้มแย้ม “สวัสดีค่ะคุณป้า น้องปัญเพิ่งมาถึงเมื่อครู่นี่เองค่ะ” สาวน้อยกล่าวพร้อมทำความเคารพผู้สูงวัย “หิวไหมล่ะ ป้าทำขนมบัวลอยไข่หวานของโปรดหนูไว้ให้ด้วยนะ” สาวน้อยทำตาโตทันที เมื่อจะได้กินของโปรด “เย่! คุณป้าใจดีที่สุดเลย น้องปัญกำลังอยากกินอยู่พอดี” สาวน้อยเคลื่อนตัวเข้าไปกอดร่างอวบอุ่นของคุณอุ่นเรือนอย่างประจบประแจง กริยาท่าทางที่เป็นไปตามธรรมชาตินั้นก่อให้เกิดความเอ็นดูต่อผู้สูงวัยยิ่งนัก ก่อนวิ่งตรงเข้าครัว... จากฤดูกาลหนึ่ง สู่ฤดูกาลหนึ่งและอีกฤดูกาลหนึ่ง เปลี่ยนแปลงเด็กน้อยน่ารักเป็นสาวน้อยบอบบางสายงามยิ่งกว่าสาวงามคนใดที่ท่านรู้จัก ใบหน้าเรียวงามประกอบไปด้วย ดวงตากลมโตเป็นประกายงดงาม คิ้วโกงราวคันศร อีกทั้งจมูกยังโด่งเล็ก ริมฝีปากรูปกระจับเต็มอิ่มสีชมพูเรื่อ ไม่จำเป็นต้องแต่งแต้มก็สวยงามเป็นธรรมชาติ สะดุดตาสะดุดใจผู้พบเห็นทุกคน โดยเฉพาะเรือนร่างสมส่วนที่ถึงแม้จะไม่สูงเหมือนนางแบบแต่ก็กลมกลึงบอบบางน่าทะนุถนอมไม่แพ้ใคร... พลันรอยยิ้มของคุณอุ่นเรือนก็ค่อยๆ จางลง พร้อมกับอาการทอดถอนลมหายใจ เมื่อนึกย้อนไปเมื่อครั้งที่ได้รับอุปการะเด็กหญิงมาจากเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดปัญชิตา ได้นำร่างของทารกหน้าตาน่าเกลียดน่าชังมาฝากให้ท่านดูแล เพื่อนรุ่นน้องคนนั้นสัญญาว่าจะกลับมารับแม่หนูน้อยไปเลี้ยงดูเมื่อพร้อม แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีวี่แววของผู้ให้กำเนิดสาวน้อย จนสามเดือนถัดมา จึงมีจดหมายถึงคุณอุ่นเรือนพร้อมสร้อยทองคำขาว มีตัวอักษรภาษาอังกฤษรูปตัวพีห้อยอยู่ ใจความในจดหมายบอกเล่าถึงความจำเป็นที่ทำให้มารับบุตรสาวไม่ได้ เป็นจดหมายเพียงฉบับเดียวที่คุณอุ่นเรือนได้รับและยังจำได้ถึงคำถามอันมากมายของเด็กน้อยที่เฝ้าไถ่ถามถึงบิดาและมารดาของตนเอง รู้สึกเจ็บปวดสะเทือนใจทุกครั้งที่ถึงวันพ่อและวันแม่ เด็กหญิงเป็นต้องถามถึงผู้ให้กำเนิดทั้งสองด้วยแววตาเศร้าหมองและไม่เข้าใจ เป็นอย่างนี้ทุกปี จนเลิกถามในที่สุด ทว่าคุณอุ่นเรือนทราบดี แม้ไม่มีคำถามเช่นเคยแต่ในใจของสาวน้อยก็ไม่เคยลืมเลือน บุคลิกร่าเริงสดใสไม่อาจปกปิดความหม่นเศร้าและโหยหาความรักจากบิดามารดาแท้จริงได้ บ่อยครั้ง คุณอุ่นเรือนแอบเห็นสาวน้อยนั่งเหม่อลอยและในมือยังมีสร้อยซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มารดาของหล่อนฝากไว้ พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ท่านทราบดีแม้จะเลี้ยงดูหล่อนด้วยการมอบความรักความอบอุ่นเพียงใด แต่ลึกสุดใจแล้วสาวน้อยยังโหยหาความอบอุ่นจากผู้ให้กำเนิดเสมอ คุณอุ่นเรือนจึงพยายามเอาใจใส่สาวน้อยมากยิ่งขึ้น โดยสัญญากับตนเองว่าจะดูแลหล่อนให้ดีที่สุด เพื่อชดเชยความรักที่ไม่เคยได้รับจากผู้ให้กำเนิด ถึงแม้ท่านจะไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ แต่มีความรักบริสุทธิ์มอบให้สาวน้อยมากกว่าพ่อแม่ที่ทอดทิ้งหล่อนไปอย่างไม่อาจเทียบกันได้ “คุณป้าคะ คุณป้า คุณป้าคะ” เสียงหวานแววผ่านเข้ามาในในห้วงคำนึง ทำให้คุณอุ่นเรือนหันมายิ้มให้กับสาวน้อย “คุณป้าเป็นอะไรคะ เหม่อเชียว น้องปัญเรียกก็ไม่ได้ยิน” คิ้วเรียวที่ย่นเข้าหันกับแววตาที่มองมา บ่งบอกถึงความแปลกใจนั้นทำให้ท่านขยับเข้ามาใกล้สาวน้อย “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ ป้าก็คิดอะไรไปเรื่อย ว่าแต่หนูเถอะ บัวลอยไข่หวานอร่อยไหมลูก” คำถามของผู้เป็นป้าทำให้สาวน้อยส่งยิ้มหวานให้ทันที “อร่อยค่ะ อร่อยที่สุดเลย น้องปัญซัดไปสองถ้วยแน่ะค่ะ อิ๊ม อิ่ม” ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มเอื้อนเอ่ยพร้อมกับยกมือบางขึ้นลูบท้องเป็นการยืนยันว่าทั้งอร่อยและอิ่มแค่ไหน... “จ้า ป้าเชื่อ เรานี่นะ เดี๋ยวก็อ้วนหรอก” คุณอุ่นเรือนกล่าวเตือน ใบหน้าอ่อนโยนเจือรอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง ดอกหญ้าพลิ้วไหวยามต้องสายลมแผ่ว ชูช่อเริงร่ารับแสงตะวันยามสาย อวดความงามให้เห็นอยู่เต็มพื้นที่หน้าบ้านภัทรโชติ ปัญชิตาและคุณอุ่นเรือนนั่งเล่นในส่วนซึ่งจัดไว้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ รับอากาศบริสุทธิ์ในวันหยุด พร้อมกับดูการทำงานของคนงานในไร่อุ่นรักไปพลาง ปัญชิตากวาดตามองไปรอบๆ อย่างนึกชื่นชมกับบรรยากาศอันสวยงามเบื้องหน้า แม้จะเห็นมาตั้งแต่เกิดก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะรู้สึกเบื่อ เพราะเมื่อยืนอยู่ตรงนี้ ก็สามารถมองเห็นทุ่งดอกหญ้าสวยงามเรื่อยไปจนคนงานที่กำลังขะมักเขม้นทำงาน ทั้งที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตและส่วนที่กำลังหว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่เพื่อแทนที่พืชชนิดก่อน ที่เก็บเกี่ยวผลผลิตหมดแล้ว และส่วนที่กำลังเติบโตเพื่อรอการเก็บเกี่ยวในเวลาต่อมา เรียกได้ว่าบริเวณที่ปัญชิตาและคุณอุ่นเรือนอยู่นั้นสามารถมองเห็นไร่อุ่นรักได้จนสุดสายตาเลยที่เดียว “เฮ้อ” เสียงถอนหายใจอย่างหนักหนวงของคุณอุ่นเรือนเรียกร่างบางที่กำลังดื่มด่ำกับภาพตรงหน้าให้หันกลับมา “คุณป้าถอนหายใจทำไมคะ” หญิงสาวเอียงคอถามคุณอุ่นเรือนอย่างแปลกใจ “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่คนช่างสังเกต” คุณอุ่นเรือนยิ้มตอบหลานสาวคนสวย “ไม่เป็นอะไร แล้วทำไมคุณป้าถึงต้องถอนหายใจเสียงดังขนาดด้วยนั้นล่ะคะ” หญิงสาวถามผู้เป็นป้าด้วยด้วยแววตาจ้องจับผิด พลางคิดว่าคงจะไม่พ้นเรื่องของภัทรเป็นแน่ “ก็พี่ภัทรของเรานะสิ” นั่นไง! นึกแล้วไม่มีผิด.. ปัญชิตาคิด “ไม่รู้เมื่อไรจะถึงกลับบ้านเราสักที ป้าละอยากให้กลับเหลือเกิน ไปนอกคราวนี้ไปนานทีเดียว ลืมแม่ซะแล้วก็ไม่รู้” คุณอุ่นเรือนทั้งบ่นและระบายความในใจในคราวเดียวกัน เพราะคิดถึงลูกชายเหลือเกิน ถึงจะติดต่อมาทางโทรศัพท์แต่ก็ไม่เหมือนกับได้พบหน้า แม้จะกลับมาเยี่ยมเยือนบ้างก็ประเดี๋ยวประด๋าว แต่จะว่าไปแล้วจะโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะท่านเอที่เป็นคนยืนยันให้เขาไปเรียนเพื่อนำความรู้กลับมาพัฒนาไร่ตามความตั้งใจเดิมของสามี... “ต้นเดือนหน้าไงคะคุณป้า เดี๋ยวพี่ภัทรก็กลับมาแล้วค่ะ รับรองไม่คลาดเคลื่อนแน่นอนเพราะพี่ภัทรสัญญากับน้องปัญแล้ว ว่าถ้าไม่กลับมาตรงตามที่บอกมีเรื่องแน่ค่ะ” สาวน้อยกอดคุณอุ่นเรือนไว้เพื่อปลอบใจท่าน รู้ว่าอีกฝ่ายคิดถึงภัทรมากเพียงใด เพราะไม่ต่างไปจากหล่อนที่คิดถึงและรอคอยวันที่เขาจะกลับมา... วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทั้งปัญชิตาและคุณอุ่นเรือนยังคงรอคอยการกลับมาของภัทรอย่างใจจดจ่อ ผลัดกันปลอบใจก็หลายครั้ง จนเมื่อรู้กำหนดแน่นอนอีกครั้งจึงช่วยกันเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ “นี่ปัญ มีคนฝากของมาให้เธอแน่ะ” วิชาดาเพื่อนสนิทของ ปัญชิตานำกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่าหนังสือนิยายห่อด้วยกระดาษสีขาวลวดลายงดงามแปลกตา วางลงตรงหน้าพร้อมกับร้อยยิ้มล้อเลียน ดวงตาแพรวพราวเกินเหตุ จนปัญชิตาเองยังสงสัย “อะไรของเธออีกล่ะยายวิ” ปัญชิตาหยิบกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสวยงามขึ้นพิจารณา แต่สายตาว่างเปล่า ไม่ได้บ่งบอกถึงความตื่นเต้นหรืออยากรู้อยากเห็นประการใด ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหน้าเพื่อนที่นั่งลุ้นอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเป็นคำถามว่านี่มันอะไรกัน “แกะดูสิ ฉันอยากรู้ว่าข้างในจะเป็นอะไร” ดวงตากลมโตก้มลงมองของที่อยู่ในมืออีกครั้ง พอเหลือบตาขึ้นมองก็พบว่าเพื่อนกำลังอยู่ในอาการของคนอยากรู้สุดฤทธิ์ “ปัญจะไม่ทำอะไรกับของชิ้นนี้ทั้งนั้น ถ้าวิไม่บอกปัญมาก่อนว่าใครเป็นคนให้เอาของขวัญมาให้ปัญ” หญิงสาวชะลอการแกะกล่องของขวัญปริศนาด้วยคำถามและสีหน้าจริงจัง “โห... ปัญละก็ จะถามอะไรนักหนา” วิชาดาทำท่าอิดออด ปัญชิตาเห็นเช่นนั้นก็วางกล้องลงพร้อมกับหันไปสนใจหนังสือโดยไม่คิดจะแลของขวัญตรงหน้าอีก ส่วนคนนำมาให้หน้าเจื่อน ก่อนจะยอมเฉลย “โธ่ปัญ... ก็ได้ๆ บอกก็ได้ คืองี้ แกจำวันที่เราเอางานไปให้อาจารย์เพ็ญชิสาได้ไหม แล้วพอดีมีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามา อาจารย์ก็แนะนำว่าเป็นลูกชายน่ะจำได้ไหม ที่บอกว่าจบโทหมาดๆ น่ะ” วิชาดาพยายามทวนความจำเพื่อนสาว “อ๋อ จำได้ อย่าบอกนะว่าเป็นเขา” สมมติฐานของหญิงสาวเป็นถูกต้อง เมื่อวิชาดาตอบรับ “ถูกเผ็ง! แกไม่เห็นเหรอว่าเขามองแกตางี้เยิ้ม เหมือนคนเพิ่งตกหลุมรักแล้วหาทางขึ้นไม่เจอน่ะ” วิชาดาพูดพลางทำท่าทางล้อเพื่อน “บ้าน่า ปัญไม่ได้คิดอะไรกับเขาสักหน่อย ไม่คิดและไม่มีทางคิด” ว่าแล้วปัญชิตาก็ทำท่านึกขึ้นได้ “ปัญจะเอาของไปคืนเขา แล้ววิก็ต้องไปเป็นเพื่อนปัญด้วย” ว่าแล้วหญิงสาวก็ลุกขึ้นพร้อมกับดึงมือวิชาดาให้ตามไปทันที แต่ยังไม่ทันจะเดินไปได้สักกี่ก้าว วิชาดาก็ขืนตัวแล้วรีบร้อนบอกเพื่อนรักว่า “เดี๋ยว! จะเอาไปคืนได้ไง พี่เขากลับไปแล้ว ป่านนี้คงจะกลับไปนอนฝันถึงแกที่บ้านเรียบร้อยแล้วมั้ง เถอะน่า รับๆ ไปเถอะ เพราะขืนรีบเอาไปคืนแบบไม่ให้เขาได้มีเวลาฝันหวาน พี่เขาก็เสียใจแย่เลย น่า นะ คนเขาตั้งใจเอามาให้โดยเฉพาะ นี่ถ้าเป็นฉันนะเปิดดูไปตั้งนานแล้ว ไม่มัวมาเสียเวลาเอาไปคืนเขาหรอก คนอะไรก็ไม่รู้หล่อก็หล่อ พ่อก็รวย เสียดายอย่างเดียว คนสวยไม่แล เฮ้อ... น่าสงสาร” วิชาดาชำเลืองมองเพื่อน ในขณะที่ปัญชิตาได้แต่สายหน้าด้วยความรู้สึกชอบกล “ไม่รู่ละ อยู่ๆ ก็เอาของมาให้ ไม่รู้จักกันสักหน่อย เดี๋ยวปัญจะคืนเขาไป” “โธ่คิดอะไรมากปัญ มองดูก็รู้ว่าพี่เขาชอบแก แถมสาวๆ แถวนี้มองพี่เขาตาวาวทั้งนั้น” เพื่อนสาวพยายามหวานล้อม “ไม่ ปัญยังไม่คิดเรื่องนี้” หญิงสาวปฏิเสธเพื่อนอย่างไร้เยื่อใย “แหม... ทำไมแกไม่ลองคบเขาดูก่อนล่ะ ถ้าไม่ดียังไงค่อยว่ากันอีกที ไม่เห็นจะต้องตัดรอนซะทีเดียวเลย ถ้าเป็นฉันนะไม่ยอมพลาดเด็ดขาด หล่อๆ แบบเนี้ย” วิชาดาพยายามอีกครั้ง ทำให้ปัญชิตาถึงกับต้องถอนหายใจ “นี่ถามจริงเถอะนะ พี่เขาติดสินบนแกเป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับเกาหลีหนึ่งปีเต็มหรือไง ถึงได้มีความมานะพยายามขนาดนี้เนี่ย” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “แหม ปัญก็พูดเกินไป แต่ถ้าเป็นงั้นได้ก็ดีสิ” ท่าทางของวิชาดาไม่ได้สลดเลยสักเพียงนิด ทำให้หญิงสาวถึงกับค้อนขวับ คนถูกค้อนคมๆ ขว้างมาก็รีบยิ้มประจบ “โธ่... น้องปัญ ฉันก็แค่อยากให้ลองๆ คบกันดู เห็นเขาเป็นคนใช้ได้ แบบไม่อยากให้พลาด” ทันทีที่ได้ยินเพื่อนสาวพูดอย่างนั้น จากที่เอือมระอาอยู่แล้ว คราวนี้ปัญชิตาถอนหายใจพรืด พร้อมประชดออกไปอย่างโมโหว่า... “ถ้าไม่อยากพลาดนักละก็นะ นี่! งั้นเอาของขวัญชิ้นนี้ไป ปัญยกให้ แล้วก็เลิกพูดถึงได้แล้ว ปัญไม่ชอบ” พูดจบปัญชิตาก็จัดการยัดของขวัญใส่มือเพื่อน รีบเก็บตำราขึ้นมากอดไว้แล้วเดินหนีไปทันที ทำเอาวิชาดานิ่งอึ้ง กว่าจะรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไปปัญชิตาก็ไปไกลแล้ว... “เฮ้ย! ปัญเดี๋ยวสิ อะไรของเขานะ แค่นี้ก็อารมณ์เสีย” วิชาดาบ่นอุบ เริ่มหนักใจกับของขวัญที่อยู่ในมือตน “แล้วทีนี้จะบอกกับพี่ชัชยังไงเนี่ย” วิชาดาถอนหายใจเฮือก แล้วเดินตรงไปยังเส้นทางเดียวกับเพื่อนรัก...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD