บทที่ 1 คนเคยคุ้น

2347 Words
คนเคยคุ้น “พี่วิวขา พี่วิวมีน้องหมาเหมือนน้องปัญหรือเปล่าคะ” คำถามที่ออกจากปากจิ้มลิ้มตอนนี้หนีไม่พ้นเรื่องของหมาๆ ไปได้ เพราะเจ้านายตัวน้อยกำลังเห่อจัด หลังจากที่วิ่งเล่นกับน้องหมาจนเหนื่อย โดยมีเพื่อนใหม่ต่างวัยมาเล่นด้วยถึงสามคน แม้ขณะนั่งพัก แต่ปากเล็กๆ ก็ยังทำงานไม่หยุด ส่วนเพื่อนต่างวัยนั้นก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญ มีแต่จะเอ็นดูในความน่ารัก ความฉลาดและช่างพูดของเด็กหญิง “มีสิจ๊ะ พี่วิวกับพี่เพชรมีน้องหมากันคนละตัวแหละ มันแสนรู้มากเลยนะจ๊ะ” “จริงเหรอคะ แล้วน้องหมาของพี่วิวกับพี่เพชรแสนรู้ยังไงคะ” เด็กน้อยทำตาโตด้วยความตื่นเต้น เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ขึ้นมา “ก็สั่งให้นั่งก็นั่ง ให้นอนก็นอน ให้คลาน หมอบ คาบของ ทำได้หมดเลย ฉลาดยังงี้” ฉัตรวิไลโฆษณาความสามารถ พร้อมชูนิ้วโป้งอวดเด็กน้อย ทำให้คนฟังยิ่งตื่นเต้นในความแสนรู้และนึกอยากให้เจ้าสุนัขตัวโปรดเป็นอย่างนั้นบ้าง “แล้วถ้าน้องปัญอยากให้น้องหมาทำได้มั่งต้องทำไงคะ พี่วิวสอนหน่อยได้ไหมคะ” “ได้สิคะ แต่คนสอนคราวนี้ต้องให้พี่เพชรเป็นคนช่วยแล้วล่ะ เพราะพี่เพชรเป็นคนฝึกน้องหมาของพี่มันถึงได้เก่ง” หลังจากนั่งฟังสองสาวจ้อกันมานาน ก็ถึงคราวที่เด็กหนุ่มต้องเป็นฝ่ายตอบบ้าง เพราะว่าเด็กน้อยเปลี่ยนทิศทางมายังเป้าหมายล่าสุด พร้อมทั้งขยับเข้าไปใกล้ แล้วยิ้มหวานเป็นการเอาใจในเบื้องต้น “พี่เพชรเก่งจังเลยค่ะ ยังงี้ก็ช่วยสอนน้องปัญได้สิคะ” คำพูดออดอ้อนน่ารักของแม่หนูน้อย ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับยิ้มกว้าง “ได้สิครับ เดี๋ยวพี่เพชรสอนให้ จะฝึกให้เก่งกว่าของพี่วิวอีก” เขาพูดพร้อมยักคิ้วหลิ่วตา “จริงนะคะ ห้ามโกหกน้องปัญด้วย” แม่คนตัวเล็กสุดขอคำมั่น ด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “จริงสิครับ ไม่เชื่อถามพี่วิวกับพี่ตะวันได้เลย” “ใช่จ้ะ พี่เพชรไม่โกหกหรอก” ฉัตรตะวัน น้องสาวคนสุดท้องผู้มีบุคลิกอ่อนโยน พูดน้อยและขี้อาย กล่าวเสริมพี่ชายทันที “ถ้างั้น เรามาทำสัญญากัน” เด็กหญิงปัญชิตากล่าว หลังจากคุยเล่นกันอยู่สักพัก จึงชวนกันไปอาบน้ำให้น้องหมา และขณะที่กำลังสนุกสนานอยู่นั้น ทั้งสี่ไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนมายืนมองอยู่ไม่ไกล “เป็นไงมั่งน้องหมา เดี๋ยวพี่ปัญจะประแป้งให้หอมเลยนะ อ๊ะ! เดี๋ยวก่อนต้องหวีผมก่อนนะ จะได้หล่อเหมือนพี่ภัทร” ประโยคที่ว่า “จะได้หล่อเหมือนพี่ภัทร” ที่หลุดออกจากปากจิ้มลิ้มทำให้สามพี่น้องขบขันจินตนาการของเด็กน้อยถึงกับชะงัก โดยเฉพาะคนที่กอดอกยืนมองนั้นถึงกับสะดุ้งที่ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับหมาโดยพลการ “เอ เมื่อกี้ น้องปัญบอกว่าพี่ภัทรเหรอคะ พี่ภัทรลูกคุณป้าอุ่นเรือนใช่ไหมจ๊ะ” ฉัตรวิไลถามเพื่อให้แน่ใจว่าใช่เขาจริง ๆ “ใช่ค่ะ พี่วิวรู้จักไหมคะ” เด็กน้อยตอบพร้อมคำถามที่ไม่ได้สนใจคำตอบสักเท่าไร “แล้วตอนนี้พี่ภัทรอยู่ไหนล่ะคะ” “ใครกันเหรอพี่วิว” หลังจากนั่งฟังมานาน ฉัตรตะวันก็ถามแทรกด้วยความอยากรู้ “ลูกชายของคุณป้าอุ่นจ้ะ เคยเจอกันตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่พาพี่มาเยี่ยมคุณลุงคุณป้าน่ะ” ฉัตรตะวันทำเสียงพึมพำรับรู้ในลำคอผิดกับน้องชายที่ตอนนี้เหมือนไม่รับรู้อะไรเพราะมัวแต่ง่วนอยู่กับเด็กน้อย ขณะเดียวกัน เบื้องหลังคนทั้งหมด ภัทรยืนมองอยู่ครู่ใหญ่แล้ว แต่เพราะความไม่แน่ใจทำให้เขายังไม่ก้าวออกไปจากที่ยืนอยู่ ทว่าในใจกำลังครุ่นคิดถึงสาวสวยนามว่าฉัตรวิไล วิว… เด็กผู้หญิงที่เขาเคยเล่นด้วยเมื่อสมัยเด็กนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงหน้าสดใสอ่อนหวาน งดงาม ไม่เคยเลือนไปจากใจของเขาเลย ไม่นานเสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยก็ทำให้เขาต้องยิ้มให้กับความน่ารักไร้เดียงสาอีกครั้ง ชายหนุ่มยืนดูต่อไปเพราะอยากรู้ว่ายัยตัวยุ่งจะทำอย่างไรกับของเล่นชิ้นใหม่ที่มีชีวิตตัวนี้ “เดี๋ยวๆ อย่าดิ้นสิคะ น้องหมา เดี๋ยวพี่ปัญไม่รักนะคะ” เด็กน้อยพูดไปเรื่อยตามประสาเด็กช่างพูดผสมกับจินตนาการอันมากมาย สามพี่น้องได้แต่ยิ้มให้กับจินตนาการของปัญชิตา “วันนี้น้องหมาอยากกินอะไรคะ เดี๋ยวพี่ปัญจะหาให้นะคะ ถ้ากินเสร็จแล้ว เดี๋ยวพี่ปัญจะสอนให้น้องหมาพูด ได้ใช่ไหมคะ” ประโยคหลังเด็กน้อยหันมาถามกับสามพี่น้องที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แต่ภัทรที่ยืนฟังอยู่ก็ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ก็มีที่ไหน จะสอนให้หมาพูด จินตนาการบรรเจิดจริง ๆ ยัยตัวยุ่งของเขา ทว่าเสียงหัวเราะของเขาทำให้ปัญชิตาและสามพี่น้องหันขวับมาทางตนทันที... “พี่ภัทรกลับมาแล้ว” เด็กน้อยตะโกนด้วยความดีใจ ปล่อยหมาน้อยออกจากอ้อมแขนวิ่งไปหาเขาทันที ภัทรยอบตัวลงไปอุ้มยัยตัวยุ่งขึ้นมาในอ้อมแขน พร้อมกับมองเลยไปยังหนึ่งหนุ่มและสองสาว และก้มลงถามคนตัวเล็กยิ้มๆ “ว่าไงยัยตัวยุ่ง เล่นอะไรอยู่” “เล่นกับน้องหมา กับพี่วิวกับพี่เพชรและก็พี่ตะวันค่ะ” ภัทรเงยหน้าขึ้นมองไปยังฉัตรวิไลและน้องทั้งสองของหล่อนอีกครั้งพร้อมทักทาย “สวัสดีครับ ผมภัทร จำได้ไหมครับ” เขาแนะนำตัวขณะสบตากับฉัตรวิไลเพราะไม่แน่ใจว่าหล่อนจะยังจำเขาได้อยู่ “สวัสดีค่ะ วิวจำได้ค่ะ ส่วนนี่ก็เพชรกับตะวัน น้องของวิวเอง” “สวัสดีครับ” ภัทรทักทายเพชรกับตะวัน ใบหน้าระบายยิ้มอ่อน... “ถ้าจำไม่ผิด เมื่อก่อนเราเคยวิ่งเล่นกันตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่พาวิวมาเยี่ยมคุณลุงคุณป้าใช่ไหมคะ” คำถามพร้อมรอยยิ้มหวานทำให้ดวงตาคมกริบของภัทรเป็นประกาย ดีใจที่หล่อนไม่ลืมเขาเช่นกัน “ใช่ครับ ผมนึกว่าคุณจะจำไม่ได้ซะอีก” “ทีแรกก็ไม่แน่ใจ แต่พอถามน้องปัญเลยแน่ใจ” เด็กหญิงปัญชิตาหันไปมองหน้าฉัตรวิไลสลับกับหน้าของภัทรเพราะไม่เข้าใจว่าทั้งสองกำลังพูดเรื่องอะไร “อะไรกันเหรอคะพี่ภัทรกับพี่วิวไปวิ่งเล่นกันตอนไหนคะ ทำไมน้องปัญไม่เห็นล่ะ” คำถามไร้เดียงสาทำให้ทั้งสองต้องหัวเราะออกมาพร้อมกัน หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับทุกคนแล้ว ภัทรก็ปล่อยให้เด็กหญิงปัญชิตาอุ้มเจ้าหมาน้อยสีขาวปุกปุยไปเล่นกับสองพี่น้องที่นั่งอยู่ไม่ไกล ส่วนตัวเขาถือโอกาสเข้าไปนั่งคุยกับฉัตรวิไลต่างถามไถ่ความเป็นมาหลังจากที่ไม่เจอกันเสียนาน สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองรู้สึกได้หลังจากพูดคุยกันก็คือความรู้สึกดี อบอุ่นและอ่อนหวานปะปนกันจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้... เย็นนั้นคุณอุ่นเรือนเชิญครอบครัวของคุณฉัตรและคุณวิไลร่วมรับประทานอาหารเย็นที่ไร่อุ่นรัก ผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัวต่างสนทนากันอย่างออกรส ส่วนยัยตัวยุ่งของใครๆ ตอนนี้ก็กำลังคุยจ้อไม่หยุดกับเพื่อนใหม่ จะมีก็แต่ภัทรกับฉัตรวิไลที่พูดคุยกันนับคำได้ เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่คนทั้งคู่ก็นึกกระดากอาย ไม่กล้าคุยกันมากนัก เพราะเกรงว่าจะเผลอแสดงความรู้สึกในใจที่มีให้กันตั้งแต่เจอหน้าให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้ “วิวจะไปกรุงเทพฯ เมื่อไรครับ” หลังจากนั่งมองตากันอยู่ครู่ใหญ่ ภัทรจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นเอง เพราะขืนปล่อยนานกว่านี้เขาคงอึดอัดแย่ “วันอาทิตย์นี้ค่ะ พอดีวันจันทร์วิวมีเรียนเช้า ต้องพรีเซนต์งานกลุ่มด้วย” รอยยิ้มอ่อนหวานขณะพูดประทับใจคนมองนัก “คราวนี้กว่าจะกลับมาที่นี่ก็คงเป็นต้นเดือนหน้า แล้วภัทรล่ะคะเรียนเป็นไงมั่ง” “ดีครับ เรียนด้านเกษตรเหนื่อยหน่อยแต่ก็สนุก” ภัทรตอบยิ้มๆ เขารักที่จะเรียนด้านนี้ จึงไม่มีปัญหากับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น “ดีจัง... แต่เห็นคุณป้าบอกว่าถ้าภัทรเรียนจบแล้วจะส่งไปเรียนต่อที่เมืองนอกด้วยนี่” ขณะเปรยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหาย ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจ สีหน้าคมคายของเขามีแววครุ่นคิด “จริงๆ ภัทรก็ไม่อยากไปหรอก เป็นห่วงคุณแม่กับน้องปัญ แต่คุณพ่อเคยบอกว่าอยากให้ไป เพราะไร่ของเรายังต้องมีการพัฒนาอีกเยอะ ผมเลยต้องศึกษาเกี่ยวกับภาคการเกษตรแนวใหม่ให้มากขึ้น เพราะต่างชาติเขามีวิวัฒนาการในภาคเกษตรที่ก้าวหน้ากว่าเรามาก จะได้เอามาประยุกต์ใช้เพื่อที่จะเอามาต่อยอด” เมื่อได้พูดถึงไร่อุ่นรัก แววตาของภัทรจึงเป็นประกายกล้าเขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพัฒนาไร่ที่บิดารักมากและเป็นคนสร้างมันขึ้นมากับมือด้วยความยากลำบากจนสามารถขยายอาณาเขตออกไปจนสุดลูกหูลูกตาและมีฐานะมั่นคงขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ให้ดีที่สุด ฉัตรวิไลรู้สึกชื่นชมความคิดของภัทรไม่น้อย แต่เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยดึงความสนใจจากเจ้าของใบหน้างามให้หันไปมอง “ภัทรคะ น้องปัญมาอยู่กับภัทรนานหรือยังคะ แล้วพ่อแม่ของน้องปัญอยู่ที่ไหน ตั้งแต่มาถึงวิวยังไม่เจอเลย” เอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะทั้งคุณอุ่นเรือนและภัทรไม่เคยกล่าวถึงภูมิหลังของแม่หนูน้อย ทั้งๆ ที่สองแม่ลูกแสดงให้เห็นว่าปัญชิตานั้นเป็นที่รักใคร่ของพวกเขามากเพียงใด ความเงียบของภัทรทำให้ฉัตรวิไลสังเกตเห็นความผิดปกติ เพิ่งคิดได้ว่าอาจละลาบละล้วงเรื่องภายในครอบครัวของเขามากเกินไป “เอ่อ วิวขอโทษนะภัทร คือวิวไม่ตั้งใจจะทำให้ภัทรไม่สบายใจ” ภัทรสบตาคู่งาม จึงได้เห็นความร้อนใจและรู้สึกผิดในแววตาและน้ำเสียงของหญิงสาว ชายหนุ่มจึงยิ้มให้หล่อนอย่างปลอบใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ที่เงียบเพราะไม่รู้จะเริ่มยังไงมากกว่า เรื่องมันยาว” คำบอกเล่าของเขาทำให้ฉัตรวิไลค่อยยิ้มออกมาได้ด้วยความโล่งใจ หลังจากคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวของฉัตรวิไลก็ลากลับ หลังจากวันนั้นเรื่อยมา ความสัมพันธ์ของภัทรและฉัตรวิไลแน่นแฟ้น มากยิ่งขึ้น ภัทรได้เล่าเรื่องราวของเด็กหญิงปัญชิตาให้กับฉัตรวิไลฟัง หญิงสาวได้รับรู้ถึงเรื่องราวอันน่าสงสารของเด็กหญิง จึงเกิดความเอ็นดูในตัวน้องน้อยขึ้นเป็นทวีคูณ... ความสนิทสนมของภัทรและฉัตรวิไลเป็นไปด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ความเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงเกินวัย ทำให้ทุกคนต่างคาดการณ์ว่าภัทรนั้นจะต้องเติบโตเป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตไกล เรื่องฐานะนั้นไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เพราะบิดาของเขาปูพื้นฐานไว้แล้วอย่างมั่นคง รอเพียงให้เขาสานต่อความจนกลายเป็นความมั่งคั่งในอนาคต นอกจากสิ่งเหล่านี้ที่ผู้หญิงมองหาในตัวผู้ชายแล้ว ภัทรยังเป็นหนุ่มน้อยรูปหล่อ เขาเป็นที่จับตามองของสาวๆ ในมหาวิทยาลัย เป็นเดือนที่ถูกดาวล้อมรอบเต็มไปหมด ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ได้รู้สึกยินดีกับความโด่งดังของตัวเองในหมู่สาวๆ ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกรำคาญด้วยซ้ำไป ซึ่งก็ไม่ต่างกับฉัตรวิไล ความสวย ความน่ารักและความอ่อนโยน กลายเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ มากหน้าหลายตา วันเวลาผ่านไปราวกับติดปีกบิน จากหนุ่มน้อยรูปหล่อ วันเวลาทำให้เขากลายเป็นบุรุษรูปงาม ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนอยู่เสมอ แต่มาวันนี้กลับดูคมเข้มและติดจะกร้าวกระด้างในบางครั้ง ทว่าไม่ได้ทำให้ความน่าดูลดน้อยลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามความเข้มดุ เอาจริงเอาจังจากแววตา กลับเป็นเสน่ห์ทำให้สตรีหลงใหลมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต่างชาติหรือแม้แต่คนไทยด้วยกันเอง ร่างกายที่เคยสูงผอม บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยมัดกล้ามที่บ่งบอกถึงความเป็นชายชาตรีและบุรุษเพศอย่างแท้จริง ถึงแม้จะมีผู้หญิงพยายามเข้ามาพัวพันกับเขามากแค่ไหนก็ไม่เคยคิดที่จะใส่ใจ เพราะเขามีฉัตรวิไลเป็นผู้หญิงที่รักเพียงคนเดียวเท่านั้น จนกระทั่งชายหนุ่มต้องจากไปเพื่อศึกษาต่อยังต่างประเทศ ทั้งภัทรและฉัตรวิไลสัญญาว่าเมื่อชายหนุ่มสำเร็จการศึกษา ทั้งสองก็จะแต่งงานกันทันที จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ระยะเวลาหลายปีที่ภัทรจากไปศึกษาต่อในด้านการเกษตรยังต่างประเทศนั้น ถึงแม้เขาจะไม่สามารถกลับมาเยี่ยมบ้านได้บ่อยนัก แต่ก็ไม่ได้ขาดการติดต่อกับมารดาและคนรักแต่อย่างใด เพราะเมื่อเขาไม่สามารถกลับได้ ฉัตรวิไลก็จะเป็นฝ่ายไปหาเสียเองพร้อมกับของฝากจากมารดาเสมอ ทั้งนี้ก็เพราะนอกจากการเรียนต่อจนถึงระดับปริญญาเอกแล้ว ด้วยความสามารถอันโดดเด่นของเขาทำให้มีนักธุรกิจต่างชาติที่ทำธุรกิจในด้านการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรชักชวนให้ทำงานด้วย เขาจึงตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการปฏิบัติให้ได้มากที่สุด เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนางานในไร่ของเขาในอนาคต จนในที่สุด เขาตัดสินใจกลับเมืองไทย หลังจากใช้ชีวิตภายในต่างประเทศและไปกลับเมืองไทยเป็นเวลาเก้าปีเต็ม...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD