ตอนที่ 4
ข้อตกลง
วันต่อมาหลังจากที่พายุฝนเริ่มซาลงแล้ว เขาและเธอก็รีบเดินทางกันไปที่ฟาร์มโคดำรงรักษ์ โดยที่ภูผาให้แสนและลูกน้องคนอื่น ๆ แยกกลับไปทีหลัง
แต่กว่าจะถึงที่หมายก็ใช้เวลานานพอสมควร เรียกได้ว่าอาจจะข้ามคืนเลยก็ว่าได้ ตอนแรกที่ตัดสินใจมา เธอก็เกิดความลังเลขึ้นในใจเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกทีก็ขึ้นเครื่องพร้อมกับเขาไปแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นก็คงเลือกจะกลับบ้าน แต่ตอนนี้เธอมีแค่ทางเลือกเดียว
เธอนอนคิดมาทั้งคืนแล้ว ถ้าหากเธอหนีออกมาแบบนี้ ลูกน้องของเจ้าหนี้ก็คงจะวนเวียนอยู่ที่บ้าน เธอสู้ออกมาจากตรงนั้นจะดีเสียกว่า ส่วนเงินใช้หนี้เธอจะส่งให้พ่อเป็นคนใช้หนี้ให้แทน
เธอจะไม่ยอมตกเป็นนางบำเรอของใครเด็ดขาด
“คุณนอนที่นี่นะ ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน กบ มานี่” ชายหนุ่มเรียกผู้ช่วยคนหนึ่งของผู้จัดการฟาร์มให้มายืนรับคำสั่ง “มาแล้วจ้าพ่อเลี้ยง”
ผู้ช่วยสาวอายุรุ่นราวใกล้กับปิ่นมุกเดินมารับคำสั่งเป็นภาษาเหนือ แต่ดันมีอยู่คำหนึ่งที่สะดุดหูเธอ
‘พ่อเลี้ยง’
“ผู้หญิงคนนี้ชื่อ ปิ่นมุก ผมจะให้คุณเป็นคนดูแลเขาในขณะที่เขากำลังฝึกงานกับคุณ ผมบอกผู้จัดการไว้แล้ว และไม่ต้องห่วงว่าเขาจะไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ผมตรวจเรซูเม่ของเขาแล้ว”
“ส่วนคุณอยู่ที่นี่ไปก่อน อยากได้อะไรก็บอกกบ ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็มาหาผมที่ไร่ได้ ให้กบพาไปเขารู้ทาง” เขาหันมาพูดกับเธอและหันไปมองหน้ากบอย่างชำนาญ ดูปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่าเขาเป็นเจ้านายตัวจริงเสียงจริงแน่ ๆ
แต่ตอนนี้เธอเริ่มคุ้นหน้าของเขามากขึ้นแล้วล่ะ
“งั้นผมไปล่ะ” เขาเอ่ยบอกลาและหันหลังกลับไปที่รถ ส่วนคนที่เพิ่งนึกออกก็รีบวิ่งมาหาและดึงแขนของอีกฝ่ายไว้ก่อน “เดี๋ยวคุณภูผา!”
“ว้าย!/คุณ!” แต่จู่ ๆ ปิ่นมุกก็เสียหลักจากการที่ภูผาเบี่ยงแขนเพื่อหันมา ทำให้เธอเซเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาทันที
ทั้งสองคนมองตากันอยู่ครู่หนึ่งก็ทำให้ปิ่นมุกรู้สึกจำภาพเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบผละออกจนอีกคนไม่ทันได้ตั้งตัว “คุณจริง ๆ ด้วย!”
“อะไรของคุณ อยู่ ๆ ก็โวยวาย เป็นอะไร”
“คุณจำฉันได้ไหม? ฉันที่คุณเคยเกือบขับรถชนสมัยที่ฉันยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยไง แล้วคุณก็ใช้เงินฟาดหัวฉัน!” เธอรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ไม่น้อยที่คนที่ช่วยชีวิตเธอเป็นคนที่เคยเกือบทำให้เธอกลายเป็นศพบนถนนในมหาวิทยาลัยพร้อมกับแมวน้อยในอ้อมกอด “เธอนี่เอง ฉันจำได้ละ”
ภูผาขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกออก เขาไม่ได้ตั้งใจใช้เงินฟาดหัวเธอเสียหน่อย ตอนนั้นกำลังรีบแล้วก็ไม่รู้จะเถียงคนตรงหน้ายังไงก็เลยแค่จะชดใช้ให้แทนก็เท่านั้นเอง “เธอนี่โตขนาดนี้แล้วเหรอยายเฉิ่ม ก็นึกว่าจะโตไปเป็นป้าซะอีก”
เหตุการณ์พลิกผัน ตลบม้วนหน้าม้วนหลังกันไปหมด เขาคือผู้ชายที่เธอรู้สึกไม่ถูกชะตาตอนนั้น ส่วนเธอก็กลายเป็นเด็กชอบเถียงคำไม่ตกฟากสำหรับเขาไปแล้วเรียบร้อย “นี่คุณ อย่ามาบูลลี่การแต่งตัวของคนอื่นนะ”
“ก็เธอทำฉันไว้ซะเจ็บแสบ หาว่าฉันเป็นไอ้เ*******ูบ้างล่ะ”
“ก็ถูกแล้วนี่ ตอนนั้นไปทำอะไรในมหา’ ลัยกันล่ะ” เธอว่าเขาทางอ้อม แต่ยังไม่ทันที่สงครามจะได้ปะทุขึ้นมา แสนผู้เป็นลูกน้องก็รีบวิ่งเข้ามาหาเจ้านาย
“พ่อเลี้ยง จะมาทำไมไม่บอกไอ้แสนล่ะครับ ว่าแต่มีขนมมาฝากไหมครับ..เฮ้ย!คุณ!” แสนที่วิ่งมาเพื่อมาเอาอกเอาใจเจ้านายสุดที่รักร้องขึ้นเสียงดังจนคนงานที่ยังไม่ได้กลับเข้าที่พักหันมามอง ส่วนปิ่นมุกก็ยืนค้างได้แต่มองหน้าภูผาสลับกับแสน
“นี่คุณคือ..”
ภูผาหันหน้ามาให้ตรงกับคนที่กำลังจะพูด เขายืดตัวตรงและเอามือสอดเข้ากระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างก่อนจะหยักไหล่ให้หญิงสาว
“เธอฉลาดนะที่หนีลูกน้องฉันออกมาได้ แต่เธอไว้ใจคนง่ายเกินไป”
“ฉันนี่แหละที่เป็นเจ้าหนี้ของเธอ”
“พ่อเลี้ยงภูผา”
ปิ่นมุกมองค้างอยู่ที่ใบหน้าคมพลางคิดอยู่ในใจว่าไม่น่าโง่เลยจริง ๆ แต่ยังดีที่ตอนที่อยู่ด้วยกันเขาไม่ได้ทำอะไรเธอ นั่นอาจแปลได้ว่า เขาไม่ได้คิดจะเอาเธอไปเป็นนางบำเรอของเขาจริง ๆ “คือว่า...ฉัน..”
“ถ้าคิดจะหนี หยุดความคิดนั้นไว้ซะดีกว่า เพราะตอนนี้พี่ชายเธอทำฉันรำคาญมามากพอแล้ว ส่วนเรื่องงานที่กรุงเทพฯ ฉันจะให้คนทำเรื่องลาออกให้เธอเอง เธอจะได้มาทำงานให้ฉันได้อย่างเต็มตัว ส่วนมึงไอ้แสน”
“ค..ครับนาย”
“กูกับมึงมีเรื่องต้องคุยกัน” บอกเสียงแข็ง
“ส่วนคุณ ผมคงต้องให้คนเฝ้าคุณไว้ในขณะที่คุณทำงานอยู่ที่นี่ ถ้าผมมั่นใจว่าคุณจะไม่หนีแล้ว ผมจะให้คนของผมเลิกเฝ้าคุณ”
“ไม่ต้องเฝ้าก็ได้ค่ะ ขอแค่คุณไม่แตะต้องตัวฉันอย่างที่พี่ชายฉันกับ..คุณแสนไปตกลงกันไว้ แค่นี้ฉันก็ไม่คิดจะหนีคุณแล้ว แต่มีข้อแม้”
“ข้อแม้อะไร”
“ในระหว่างที่ฉันหาเงินใช้หนี้คุณ คุณห้ามไปยุ่งกับพ่อแม่ฉันเด็ดขาด”
“เรื่องสุดท้ายน่ะได้นะ แต่เรื่องเฝ้าคงไม่ได้ เพราะคุณมันดื้อเกินเด็กปกติที่ผมเคยเจอ คุณจะทำอะไรตอนไหนก็ได้ ไม่มีใครรู้ ถ้าคุณหนีลูกน้องผมมาได้ก็แปลว่าคุณก็ฉลาดพอตัว อ้อ!แล้วพรุ่งนี้ผมจะให้กบพาคุณมาที่ไร่ คุณต้องมาเซ็นสัญญาผู้ค้ำประกันตามที่เคยตกลงกันไว้” พ่อเลี้ยงภูผาไม่ปล่อยให้หญิงสาวได้เถียงอะไรต่อ เขาพูดเองเสียเสร็จสรรพแล้วก็ส่งสัญญาณให้แสนที่กำลังตัวลีบอยู่ให้เดินตามเขาไป ปิ่นมุกได้แต่ถอนหายใจและมองท้องฟ้าที่มีเพียงดวงดาวที่ยังคงประดับค้างอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น “คุณมุกคุยกับพ่อเลี้ยงเสร็จรึยังเจ้า”
“เสร็จแล้วจ้ะ แต่กบไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหรอก”
“อ้าว ไม่ใช่แฟนพ่อเลี้ยงเหรอเจ้า”
“ไม่ใช่จ้ะ ฉันเป็นลูกหนี้เขา”
“แหม ถ่อมตัวจัง สวยขนาดนี้แต่ให้มาทำงานในไร่เนี่ยนะ”
“จริง ๆ กบ ฉันสาบานต่อหน้าแมวตรงนี้เลยเนี่ยะ” เธอชี้ไปที่แมวส้มอ้วนตุบที่กำลังนั่งเลียเท้าของมันอยู่ไม่ไกลจากรั้วไม้เตี้ยสีขาวนัก
“เรียกคุณมุกน่ะแหละจ้า กบสะดวก” กบยิ้มให้
“เออว่าแต่คุณมุกมีกระเป๋าเสื้อพงเสื้อผ้ามาไหมจ๊ะ ตอนเดินมาไม่เห็นมี”
“อ้อ..ไม่มีหรอก ฉันไม่ได้เอามาด้วยจ้ะ” เธอยิ้มแหยะ ไม่อยากจะบอกอีกคนเท่าไรว่าเธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาอยู่ แต่เธอโดนหลอกมาต่างหาก
“งั้นเดี๋ยวใส่ชุดกบก่อนก็ได้ คุณมุกตัวเท่า ๆ กบ น่าจะใส่ได้นะเจ้า”
“แต่ขากางเกงจะเต่อหน่อยนะเจ้า พอดีกบเตี้ย” ว่าแกล้งตัวเองยิ้ม ๆ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้กบพาคุณมุกไปหาพ่อเลี้ยง ถือโอกาสนี้พูดเรื่องของใช้ส่วนตัวของคุณมุกเลยก็ได้ จะได้เร็วกว่าบอกผู้จัดการ” กบแนะนำ พูดถึงเรื่องงานคร่าว ๆ พร้อมกับสถานที่ต่าง ๆ ในฟาร์มให้ปิ่นมุกได้รู้ ส่วนรายละเอียดที่ลึกลงไปค่อยอธิบายในเช้าวันรุ่งขึ้น เพราะอย่างไรเสีย ผู้จัดการก็ต้องมาดูหน้าพนักงานใหม่ก่อน
ตะวันขึ้นขอบฟ้าในวันถัดมา นายเมศโทรหาลูกสาวตั้งแต่เช้าตรู่ว่าจะถามเรื่องข่าวคราวการเซ็นสัญญา เธอจึงเล่าให้บิดาฟังคร่าว ๆ ทำให้อีกฝ่ายที่กำลังตกใจตั้งแต่ได้ยินเกริ่นเรื่องค่อย ๆ สงบลง โล่งใจที่ลูกสาวไม่ได้เป็นอะไร
ตอนนี้ทางฝั่งกรุงเทพฯ นายเตได้โดนคนของภูผาจัดการจนเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว ข่าวนี้แม้ตัวของปิ่นมุกจะพอเดาออก แต่ก็อดที่จะตกใจและสงสารไม่ได้ เพราะพ่อเลี้ยงภูผาดูไม่ได้เป็นคนใจร้ายหรือเด็ดขาดอะไรมากมายขนาดนั้น
แต่พอเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าไป ทำให้เธอรู้แล้วว่าไม่ควรทำให้เขารำคาญหรือโกรธไปมากกว่านี้ เพราะอาจจะตายตอนไหนก็ได้ ไม่มีใครรู้
ส่วนเรื่องของนายเต ผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพียงแต่ตกใจและโวยวายจนตัวแทบทรุดที่เห็นสภาพลูกชายนอนหน้าแนบพื้นอยู่หน้าบ้าน เพราะส่วนตัวนายเตนั้นชอบมีเรื่องกับคนอื่นไปทั่วตั้งแต่ไหนแต่ไร ไปมีเรื่องมาทีไรก็เป็นแบบนี้ประจำ บุญหัวแค่ไหนที่ยังมีชีวิตรอดและคู่อริไม่มาเอาชีวิตคนในบ้านไปด้วย
“อ้าวคุณมุก ตื่นไวจังเจ้า” เสียงกบเอ่ยทักทายขึ้นด้านหลัง
“พอดีพ่อโทรมาจ้ะ กบก็ตื่นเช้าเหมือนกัน จะไปไหนเหรอ”
“อ้อ กบจะไปดูแม่วัวเจ้า อยู่คอกนู่นแน่ะ คุณมุกจะไปด้วยไหม”
“ไปสิ อยากเห็นเหมือนกัน”
“เออคุณมุกอยู่กรุงเทพฯ นี่เนอะ ไปเถอะเจ้า”
กบเดินนำปิ่นมุกออกไป โดยไม่ลืมที่จะอธิบายงานให้ปิ่นมุกฟังไปด้วย ตั้งแต่เรื่องวิธีการเลี้ยงโคไปจนถึงการรีดนม การนำวัวมาเป็นวัตถุดิบทำอาหารแช่แข็งเพื่อส่งออกไปทั่วประเทศจนถึงประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงเอเชีย
ไม่แปลกเลยว่าทำไมพ่อเลี้ยงภูผาถึงได้รวยและมีอิทธิพลมากขนาดนั้น
เพราะนอกจากเขาจะเป็นมาเฟียปล่อยเงินกู้แล้วก็ยังมีธุรกิจฟาร์มและธุรกิจไร่ดำรงรักษ์ของที่บ้านที่เรียกได้ว่าเป็นมรดกตกทอดมาไว้ให้ทำอีกด้วย
“ว่าแต่พ่อเลี้ยงให้คุณมุกทำตำแหน่งอะไรเหรอเจ้า”
“เป็นไกด์นำเที่ยวจ้ะ เพราะแบบนั้นพ่อเลี้ยงภูผาเลยให้กบมาดูแลฉัน”
“โห คุณมุก เก่งภาษาอังกฤษด้วยเหรอเจ้า ดีจังเจ้า นอกจากอังกฤษแล้วมีภาษาอื่นด้วยไหมเจ้า” กบทำตาลุกวาว เพราะเธอไม่ได้เห็นพนักงานที่มาสมัครเป็นไกด์ประจำมานานมากแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ได้มาอยู่ประจำเป็นแค่พาร์ทไทม์เท่านั้น
“ภาษาจีน เกาหลี ญี่ปุ่นก็พอได้อยู่จ้ะ ว่าแต่นักท่องเที่ยวที่มานี่ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไหนเหรอ” ถามพร้อมเตรียมสมองรับข้อมูล
“ก็มีพวกฝรั่งตัวสูง ๆ เจ้า ส่วนคนเอเชียก็มีนะเจ้าแต่ก็ค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่งที่มา นี่กบอยากจะบอก พนักงานที่ทำงานที่นี่มีคนลาออกไปแต่งงานกับฝรั่งที่เป็นนักท่องเที่ยวหลายคนแล้วด้วยนะเจ้า แต่ละคนได้เป็นคุณนายกันทั้งนั้นเจ้า” แอบทำท่าซุบซิบจนปิ่นมุกยิ้มน้อย ๆ และส่ายหัวหน่อย ๆ
“แล้วแบบนี้คุณภูผา..พ่อเลี้ยงภูผาเขาไม่บ่นหน่อยเหรอ”
“โอ๊ย ปะล้ำปะเหลือเจ้า พ่อเลี้ยงน่ะขี้บ่นจะตายไป แต่บ่นไปก็ไม่ได้อะไร ห้ามคนมีความรักห้ามได้ที่ไหน” กบบอกไป แม้ทุกคนจะเกรงในบารมีของเจ้านายแต่ภูผาก็ทำหน้าที่ของเจ้านายได้ดีพอ ๆ กับบิดาของเขา ถอดแบบความใจดีออกมาเหมือนกันอย่างกับแกะ ทำให้เขาก็ยังคงเป็นที่รักของลูกน้องทุกคนอยู่ แม้จะมีมัจจุราชเข้าสิงทุกท้ายเดือนก็ตามที
“เดี๋ยวสาย ๆ ผู้จัดการก็เข้าแล้วนะเจ้า คุณมุกมากินข้าวก่อนเร็ว มีเนื้อโคขุนด้วยนะเจ้า อร่อยมาก” กบพาหญิงสาวมาที่โรงอาหารสวัสดิการพนักงาน ชี้นั่นชี้นี่ให้เธอดูจนสะดุดเข้ากับโคขุนย่างหอมกรุ่น ทำเอาคนที่ผ่านไปมาต่างกลืนน้ำลาย
แต่พอพูดคุยกันอยู่สักพัก ก็มีเสียงซุบซิบที่คนพูดจงใจพูดขึ้นเสียงดัง
“งงจังเลยนะ ฟาร์มโคดำรงรักษ์เนี่ย เข้ายากไม่ใช่เหรอ แล้วอีกอย่างก็รับพนักงานตั้งท้ายปีรอบเดียวนี่ ทำไมรอบนี้ถึงได้หลุดมาได้คนหนึ่งตั้งแต่กลางปีเลยล่ะ” พนักงานสาวสวยคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับหันมามองหน้าปิ่นมุก
“นั่นสิเธอ แถมยังมากับพ่อเลี้ยงด้วยแบบนี้ ไม่รู้ว่าไปสมัครท่าไหนถึงได้เข้ามาเร๊วเร็ว เร็วกว่าพวกเราอีกอะ มีความสามารถหรือเปล่าก็ไม่รู้” สาวสวยอีกคนพูด
“กบ ฉันว่าเราไปนั่งกันตรงนู่นดีกว่า” ปิ่นมุกเลือกที่จะไม่ตอบโต้อีกฝ่ายเพราะนี่เป็นวันแรกที่เธอต้องอยู่ที่นี่ เธอไม่อยากให้ตัวเองเสียงานเสียการเพราะคำพูดพวกนี้ “อย่าไปใส่ใจนังส้มกับนังแจ่มมันมากเลยนะเจ้า”
“ปากมันก็หมาแบบนี้แหละ ถ้าเจอพ่อเลี้ยงด่าเดี๋ยวก็หุบปากกันไปเอง” กบหันมาบอกเพราะกลัวว่าปิ่นมุกจะเกิดอารมณ์ขุ่นขึ้นมา ประเดี๋ยวจะทำงานไม่ได้กันพอดี “ไม่เป็นไรหรอกกบ ฉันเจอคนแบบนี้จนชินแล้ว”
ว่าพลางจูงมือกบให้ออกไปนั่งทานข้างนอก จนกระทั่งถึงช่วงสายที่ผู้จัดการมาถึงที่ทำงานพอดีกับเวลาเข้างาน ไม่ขาดไม่เกิน
ผู้จัดการได้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมรวมถึงเรื่องเงินเดือนให้ปิ่นมุกได้รับทราบก่อนที่กบจะพาเธอขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปที่ไร่ดำรงรักษ์
“นั่นบ้านพ่อเลี้ยงเหรอกบ”
หญิงสาวถามเพราะเห็นปลายยอดของหลังคา เมื่อรถค่อย ๆ เลื่อนเข้าไปใกล้ก็ยิ่งได้เห็นตัวบ้านสามชั้นได้ชัดเจนขึ้น เรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์สไตล์โมเดิร์นที่ผสมสไตล์ตะวันตกได้อย่างลงตัว “ใช่เจ้า นี่แหละบ้านพ่อเลี้ยง”
“แล้วพ่อเลี้ยงอยู่กับใครเหรอ บ้านใหญ่ขนาดนี้เขาอยู่คนเดียวเหรอ”
“ใช่เจ้า คุณไพรนรินทร์ลูกพี่ลูกน้องของพ่อเลี้ยงอยู่อีกบ้าน แต่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศนานแล้ว จะกลับก็นาน ๆ ที ส่วนนายพ่อกับนายแม่ก็เสียนานแล้วเจ้า ที่บ้านใหญ่ก็เลยมีแต่พ่อเลี้ยงอยู่คนเดียว ส่วนคนงานในไร่ก็อยู่ในเป็นส่วน ๆ ใกล้ ๆ กับแปลงไร่นั่นแหละ”
“แล้วอย่างพวกคุณแสนล่ะจ๊ะ”
“อ้อ คุณแสนกับพวก เขาก็อยู่นี่แหละเจ้า พวกลูกน้องที่เรียกใช้เรื่องงานอื่นต้องอยู่ใกล้ ๆ พ่อเลี้ยงไว้ เผื่อเรียกกระทันหันจะได้มาทัน ที่พักอยู่ข้าง ๆ บ้านใหญ่นี่เอง” ชี้ให้เห็นถึงที่พักที่เรียงกันคล้ายกับหอพักของเด็กมหาวิทยาลัย แถวนั้นมีต้นไม้ปกคลุมอยู่มาก คาดว่าเจ้าของบ้านน่าจะจงใจให้รอบข้างไม่เห็นที่พักของลูกน้องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำไร่ หรือไม่ก็อาจจะทำเพื่อความสวยงาม
“คุณมุกเข้าไปเถอะ เดี๋ยวกบรออยู่ข้างนอก”
“คุณแสนมาพอดี สวัสดีเจ้า” กบยกมือไหว้แสน แสนรับไหว้ แต่กบที่อยู่ใกล้แสนมากกว่าเธอก็ไม่ได้รู้สึกตกใจกับใบหน้าที่มีรอยช้ำ แม้จะเป็นจุดเล็ก ๆ แต่ก็สามารถสังเกตเห็นได้
ปิ่นมุกนึกไปถึงเมื่อตอนค่ำที่พ่อเลี้ยงภูผาพูดกับนายแสนว่ามีเรื่องจะคุย ถ้าสภาพหน้าของนายแสนจะเป็นแบบนี้แล้ว จะเรียกว่าคุยได้อย่างไร
“เอ่อ คุณแสนคะหน้าคุณ?”
“อ้อ ตรงนี้เหรอครับ” แสนชี้ไปที่แผล นิ้วชี้ที่แตะถูกแผลทำให้แสนสะดุ้งขึ้นมา “นี่พ่อเลี้ยงภูผาเขาทำขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“อะไรเหรอครับ?”
“ก็ที่หน้าคุณ เมื่อกี้คุณก็ชี้อยู่”
“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกครับ เจ้านายผมไม่ทำอะไรแบบนั้นกับลูกน้องหรอก นี่น่ะเป็นรอยที่ซ้อมต่อสู้กันเมื่อวาน ค่ายอยู่หลังไร่นู่นครับ” แสนยิ้มให้อีกคนอย่างไม่คิดอะไร ปิ่นมุกฟังแล้วก็พยักหน้าเข้าใจ เพราะเอาเข้าจริง เป็นใครที่เห็นก็คงจะคิดแบบเดียวกับปิ่นมุกกันทั้งนั้น แล้วอีกอย่างพ่อเลี้ยงภูผาก็สั่งให้คนของเขาไปทำร้ายพี่ชายเธอ ใจก็อยากจะโวยวายอยู่หรอก แต่เธอเป็นแค่นกน้อยตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ในอุ้งมือของเหยี่ยวตัวใหญ่ จะโวยวายอะไรได้ เธอกลัวว่าถ้าทำแบบนั้นไปเธอจะไม่ได้มีชีวิตกลับไปเจอหน้าพ่อแม่ของเธออีกน่ะสิ
“แล้วเมื่อวันก่อนผมขอโทษด้วยนะครับ”
“ผมนึกว่าคุณเต็มใจที่จะมา..เอ่อ..”
“ค่ะ ถ้าให้ฉันเดา พี่ชายฉันเขาคงเป็นคนคิดเรื่องนี้ทั้งหมด”
“ยังไงก็ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ แต่คุณคงจะรู้เรื่องของพี่ชายแล้ว ทางที่ดีถ้าคุณคิดตะขิดตะขวงใจคนที่นี่ บอกก่อนเลยนะครับว่าเป็นเพราะพี่ชายคุณหัวหมอกับพ่อเลี้ยงก่อน ไม่งั้นพ่อเลี้ยงคงไม่เอาคุณมาไว้ที่นี่ และพี่ชายคุณก็คงไม่เจ็บตัว”
“เห็นพ่อเลี้ยงรวยแบบนี้ เงินสองล้านกว่าก็เป็นเงินนะครับ ไม่ใช่เศษเงิน”
“เออแล้วนี่มาหาพ่อเลี้ยงใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ เขาให้ฉันมาหาที่นี่”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญครับ” เขาเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งขรึมเมื่อครู่มาเป็นยิ้มตามปกติที่เคยทำแทน เขาเดินนำหน้าหญิงสาวเข้าไป
เมื่อก้าวเข้ามาในบริเวณบ้าน ก็พบเข้ากับรูปบานใหญ่ที่เป็นเจ้าของบ้านคนก่อน ผู้ชายและผู้หญิงสองคนนี้เป็นพ่อและแม่ของพ่อเลี้ยงภูผา ส่วนอีกสองคนที่อยู่ในรูปกรอบเล็กเป็นพ่อและแม่ของไพรนรินทร์ พร้อมกับรูปครอบครัวที่มีทั้งครอบครัวของภูผาและไพรนรินทร์อยู่ร่วมกัน โดยรูปที่วางอยู่ขั้นกลางก็ไม่ลืมที่จะมีรูปคู่ของสองพี่น้องวางไว้ด้วย
ทุกอย่างในบ้านทุกจัดเรียงไว้อย่างดี เธอเดินตามแสนเข้ามาจนถึงหน้าประตูหัวมนสีขาวสลักลายงาม เขาเปิดเข้าไปและผายมือให้หญิงสาวเดินเข้าไป
ทันทีที่ก้าวเข้าไป ประตูก็ถูกปิดลง เธอลอบกลืนน้ำลายเดินเข้าไปใกล้ ๆ คนที่นั่งเซ็นเอกสารอยู่ “คุณ..เอ่อ พ่อเลี้ยงคะ”
พ่อเลี้ยงภูผาเงยหน้าขึ้นมองคนมาใหม่พร้อมกับวางปากกาลงและเอนหลังยิ้มให้อีกคน “อ้าวว่าไงครับคุณไกด์ ยอมให้ผมแล้วเหรอถึงได้เรียกผมว่าพ่อเลี้ยง”
“จริง ๆ ก็ไม่อยากยอมหรอกค่ะ ถ้าไม่ติดว่าคุณส่งคนไปทำร้ายพี่ชายฉัน”
“โห นี่คุณพูดแบบนี้ไม่ได้นะ พี่ชายคุณมันรนหาเรื่องเอง ถ้ามันตั้งใจใช้หนี้ผมตั้งแต่แรก คุณก็ไม่ต้องมาซวยแบบนี้หรอก แล้วถ้าคุณจะโทษผมล่ะก็ บอกเลยนะว่าคุณโทษผิดคน ตัวต้นเรื่องมันคือพี่ชายคุณต่างหาก”
“จะยังไงก็แล้วแต่คุณเถอะค่ะ เรามาเซ็นสัญญากันดีกว่า”
ภูผายิ้มเจ้าชู้ให้ ไม่เหมือนเมื่อตอนเจอกันครั้งแรกที่เขาดูนิ่งขรึม มีความเป็นผู้ใหญ่ หรือนี่จะเป็นอีกวิธีที่เขาใช้ตะล่อมเหยื่อกัน เธอชักไม่มั่นใจแล้ว
“อ่านข้อตกลงฉบับใหม่ดี ๆ ล่ะ มันจะไม่ใช่ฉบับเดิมที่แม่ของคุณเคยเซ็น”
ปิ่นมุกกวาดสายตาอ่านข้อตกลงทั้งหมดอย่างละเอียดจนไปสะดุดกับข้อหนึ่งที่เขาเขียนไว้ว่า ‘ทุกวันอาทิตย์ต้องมาเป็นแม่บ้านทำความสะอาดที่บ้านใหญ่’
“เดี๋ยวนะคะ ข้อที่บอกว่าวันอาทิตย์ต้องมาที่นี่ หมายความว่ายังไงคะ”
“นี่เท่ากับว่าฉันไม่มีวันพักผ่อนเลยนะคะ”
“ใช่สิ คุณเป็นลูกหนี้ผมนะ จริง ๆ เพราะผมสงสารพ่อคุณกับคุณหรอกนะถึงได้ให้เงินเดือนคุณไปในระหว่างที่ใช้หนี้ด้วย แล้วอีกอย่างเงินเดือนคนที่เก่งรอบด้านแบบคุณไม่ใช่น้อย ๆ นะ มีโอกาสก็ต้องใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์สิถูกไหม”
“คุณนี่มันเจ้าเล่ห์จริง ๆ”
“ช่วยไม่ได้นะคนสวย พี่ชายคุณหัวหมอกับผมก่อน “
“บ้านคุณใหญ่ขนาดนี้ น่าจะมีแม่บ้านอยู่เยอะแล้วนะคะ คุณให้ฉันทำงานอย่างอื่นแทนดีกว่า อย่างพวกเอกสาร บัญชีอะไรพวกนี้”
“ผมไม่ได้โง่ให้ลูกหนี้ที่ผมพามาไว้ที่นี่มาจับบัญชีของกิจการครอบครัวหรอกนะ” เขาเปลี่ยนรอยยิ้มเป็นยิ้มแบบนิ่ง ๆ เป็นรอยยิ้มที่ดูตลกร้ายจนเธอไม่สามารถจะต่อรองอะไรกับเขาได้ “เอ..หรือคุณจะมาเป็นนางบำเรอคนใหม่ของผมดี”
“โอเค ฉันยอมแล้วค่ะ” เธอยกมือเป็นธงขาวให้เขาทันทีที่ได้ยินข้อเสนออีกข้อที่เขาเสนอออกมา “แหม ใครก็อยากเป็นคู่ขาผมทั้งนั้นนะ คุณไม่ลองสักหน่อยล่ะ อ้อนผม ปรนนิบัติผมดี ๆ ทุกวัน ผมอาจจะใจอ่อนให้ก็ได้”
“เผลอ ๆ คุณอาจจะมีเงินใช้มากกว่าที่เป็นอยู่ด้วย”
“ขอโทษนะคะพ่อเลี้ยงภูผา ฉันไม่อยากได้ความหวังดีนี้ของคุณเท่าไร ฉันหาเงินเองได้ แม้จะเหนื่อยมากแค่ไหนก็ตาม” พอพูดจบเธอก็รีบเซ็นสัญญาและรีบลากลับออกไป ชายหนุ่มที่นั่งมองบานประตูที่ถูกปิดลง ก็ค่อย ๆ เผยยิ้มออกมาเล็กน้อยให้รู้ว่าเขาค่อนข้างพอใจกับคำตอบของปิ่นมุก..มันทำให้เขานึกถึงแก้วกานต์..
แต่เขาก็ต้องหยุดความคิดของตัวเองไว้เพียงเท่านั้น เพราะเขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะตัดใจจากคน ๆ นั้นให้ได้ “พอได้แล้วไอ้ผา”
เขาลูบใบหน้าของตนเองและพยายามคิดว่า จะไม่มีใครมาเป็นตัวแทนของใครทั้งนั้น ยิ่งเป็นปิ่นมุกแล้ว เธอเป็นคนดีมากกว่าที่จะคิดแบบนั้น เขาไม่อยากคิดว่าเธอเป็นแก้วกานต์ และเขาก็มั่นใจว่า ตนเองไม่สามารถรักปิ่นมุกได้เหมือนกับที่รักแก้วกานต์แน่ ๆ