ตอนที่ 3
รู้ทันท่าที
“เราจะทำยังไงกันดีล่ะเต นี่ถ้านังมุกมันไม่เห็นแก่พ่อนะ ป่านนี้มันไม่รับแทนหรอก” ด้านนางมาลีและนายเตที่เดินออกมาไกลจากบ้านแล้วก็ต่างพากันคิดวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้เงินสองล้านนั้นสลายไปในพริบตาโดยที่ไม่ต้องมาเดือดร้อนทีหลังหากว่าในระหว่างใช้หนี้ ปิ่นมุกเกิดเป็นอะไรตามนายเมศไป
“แล้วแม่พูดกับมุกมันรึยังว่าให้ไปยั่วไปอ่อยเอาเงินจากไอ้ลูกเจ้าของตลาดนั่นน่ะ” นายเตยืนค้ำเอวพลางคิดไปพร้อมกับแม่ “พูดแล้ว”
“แต่มันไม่ยอมน่ะสิ แม่ล่ะเบื่อความโง่ของมันจริง ๆ”
“แทนที่จะแต่งงานกับคุณธาวินแล้วเอาเงินเขามาใช้หนี้ เอามาให้พ่อแม่กับพี่มันใช้ มันก็ยังจะรักศักดิ์ศรีของตัวเองอยู่นั่นแหละ กินไม่ได้ก็ยังจะกอดไว้อยู่ได้”
“งั้นเอางี้ดีไหมแม่”
“อะไรของแก”
“ระหว่างสองอาทิตย์เนี่ย เราแอบตกลงกับลูกน้องของพ่อเลี้ยงให้เอานังมุกไปเป็นนางบำเรอบนเตียงของพ่อเลี้ยงเขาดีไหมล่ะ เผื่อเขาจะใจอ่อนยอมลดหนี้ให้” ถึงแม้ว่านายเตจะตั้งใจเก็บปิ่นมุกไว้กินเอง แต่เรื่องเงินก็ต้องมาก่อน มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แม้จะเสียดายแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ต้องเอาตัวเองกับผู้เป็นแม่ให้รอดจากสถานการณ์ตอนนี้ก่อน
“เดี๋ยวนะ นี่แกจะให้น้องไปเป็นเมียน้อยเหรอ เดี๋ยวพวกปากตลาดมันก็ได้เอามาเยาะเย้ยพ่อกับแม่แกพอดี” นางมาลีทำท่าไม่ยอม
“เอ้า ไหนแม่บอกศักดิ์ศรีกินไม่ได้”
“เออ แม่ก็รู้อยู่ว่ามันกินไม่ได้ แต่พ่อเลี้ยงเจ้าของหนี้ของแกมันก็มีเมียแล้ว”
“โอ๊ย ไม่มีหรอก ฉันเคยเจอหน้าพ่อเลี้ยงอยู่นะตอนเซ็นสัญญา”
“เป็นไงลูก หล่อไหม”
“แน่นอนแม่ แล้วฉันก็เคยแอบถามลูกน้องเขามาเหมือนกัน ลูกน้องพ่อเลี้ยงก็บอกว่า ยังไม่มีแม้แต่แฟนเลยนะ ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่เดินเข้าเดินออกเป็นคู่ขาอะไรของเขามาแต่ไหนแต่ไรน่ะแหละ”
“เออ งั้นก็ดีนะ ดูท่าทางพ่อเลี้ยงเจ้าหนี้แกจะรวยมากกว่าคุณธาวิน ถ้าอย่างนั้นแม่กับแกต้องช่วยกันพูดกับนังมุกให้จับพ่อเลี้ยงนี่ทำผัวให้ได้”
“โอ๊ยแม่ แค่นางบำเรอก็ได้อยู่หรอก หวังสูงเกินไปมั้ง”
“ของแบบนี้ไม่แน่หรอกลูก นังมุกมันก็สวยขนาดนี้”
“ไม่จ้ะ ไม่มีทาง”
“มุกจะเอาอนาคตตัวเองไปทิ้งแบบนั้นได้ยังไง”
เสียงแข็งราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของมารดาและพี่ชาย ในขณะที่ตอนนี้บิดากำลังรับการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลยังไม่กลับมา
เท่ากับว่าตอนนี้ในบ้านมีเพียงปิ่นมุก นายเตและนางมาลี
“แกนี่นะ โง่เรื่องคุณธาวินยังไม่พอ ยังจะโง่เรื่องเงินเรื่องทองอีก นี่จะบอกให้นะ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาก็ไปตั้งแต่รวยแล้ว ไม่มานั่งกอดศักดิ์ศรีไว้แบบแกหรอกนังมุก” มารดาเอานิ้วจิ้มที่ขมับของปิ่นมุกจนเธอรู้สึกเจ็บไปหมด
ไม่เว้นแม้แต่หัวใจตอนนี้
“มันไม่ได้เหมือนกันทุกคนนะแม่ ถ้าแม่รักเงินรักทองขนาดนั้นทำไมแม่ถึงมาแต่งงานกับพ่อกันล่ะ” คำถามที่จี้จุดแบบนี้ทำให้นางมาลีชะงักไป แต่ก็ถูกนายเตสะกิดแขนเรียกสติให้กลับมาเสียก่อน “ก็ฉันมันโง่ไงที่หลงรักพ่อแก ไม่อย่างนั้นฉันก็คงแต่งกับปลัดอำเภอที่บ้านไปแล้ว” นางทำท่าไม่รู้ไม่ชี้
แต่นั่นก็เป็นความจริงตามที่พูด
“ยังไงก็เถอะ ฉันไม่ยอมเป็นนางบำเรอใครทั้งนั้น ต่อให้ไม่มีทาง ฉันก็จะหาทางเอาเงินมาใช้หนี้เขาให้ได้”
เวลาผ่านไปสองอาทิตย์ นางมาลีก็ยังพูดเป่าหูปิ่นมุกอยู่เรื่อย ๆ ในระหว่างที่นายเมศผู้เป็นสามีไม่อยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ปิ่นมุกลดละความตั้งใจของตนเองได้
จนถึงตอนนี้ที่เธอเดินทางมาที่รีสอร์ทหรูแห่งหนึ่งในโคราช ซึ่งเรียกได้ว่าค่าห้องแพงพอสมควรสำหรับคนธรรมดาอย่างเธอ
“สวัสดีค่ะ” เธอเดินเข้ามาทักคนที่นัดหมายไว้ แสนหันมามองอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดเรียบร้อยอย่าง เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นกับกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบธรรมดา ก็แปลกใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป “สวัสดีครับคุณปิ่นมุก เชิญทางนี้ก่อนครับ”
“เอ่อ คือว่า..”
“สงสัยอะไรเหรอครับ?”
หญิงสาวลองมองดูรอบ ๆ ทั้งอิริยาบทลูกน้องของเจ้าหนี้ที่ดูสุภาพไม่เป็นธรรมชาติมากกว่าปกติที่เคยพบเจอ พร้อมกับอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะด้านในก็ดูหรูหราและมากมายเกินกว่าที่จะกินคนเดียว
ทั้งที่เจ้านายไม่อยู่แบบนี้เนี่ยนะ? เธอคิดในใจ
“คือว่าตอนที่ฉันโทรหาคุณ คุณบอกว่าพ่อเลี้ยงไม่ได้อยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ครับ ตอนนี้พ่อเลี้ยงกำลังเดินทางกลับ ส่วนคุณต้องรออยู่ที่นี่จนกว่าจะได้พบกับพ่อเลี้ยงนะครับ” แม้จะเริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจแล้ว แต่การที่เห็นปืนอยู่ใต้เสื้อสูทก็ไม่ได้น่าภิรมย์เท่าไรนัก เธอจึงเดินตามแสนเข้าไปด้านใน
นั่งอยู่สักพักจนตกเย็นก็เริ่มแน่ใจขึ้นมาแล้ว และนึกถึงคำพูดกรอกหูของมารดาได้จึงตัดสินใจเดินออกมา ทำให้ลูกน้องคนอื่น ๆ ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องนำตัวเข้าบังหน้าประตูไว้ทันที “ถอยค่ะ ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
แต่หญิงสาวก็เก็บอาการไว้ได้ดี ไม่มีท่าทีให้ดูน่าสงสัยทำให้คนฟังเปิดทางให้เธอ แต่ก็ไม่ลืมที่จะตามไปประกบด้วย เธอจึงกรอกตาไปมาเพื่อดูทางหนีทีไล่ พอจำได้ก็ทำทีเป็นเดินเข้าห้องน้ำและถอนหายใจออกมา “ว่าแล้วเชียว แปลกจริงด้วย”
“แม่กับพี่เตหลอกเราแน่ ๆ” ใจจริงเธออยากจะเสียใจมากกว่านี้ อยากจะร้องไห้ออกมาเสียด้วยซ้ำที่คนในครอบครัวทำแบบนี้กับเธอได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาร้องไห้ เธอต้องหาทางหนีก่อนที่จะกลายเป็นคู่ขานางบำเรอบนเตียงของเจ้าหนี้
พอคิดไปก็มองเห็นหน้าต่างขนาดปานกลางที่เปิดแง้มไว้เพื่อระบายอากาศ เธอเข้าไปเปิดน้ำทิ้งไว้เพื่อหลอกว่ายังมีคนอยู่ด้านในและกลบเสียงเปิดปิดหน้าต่าง ซึ่งมันก็ได้ผล เสียงน้ำด้านในดังมากพอที่จะทำให้การเปิดหน้าต่างที่มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดแบบนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
เธอหนีออกมาได้และพยายามมองดูหน้าหลังอยู่ตลอดจนออกมาจาก
รีสอร์ทได้ แต่พอออกมาได้ไม่เท่าไรก็พบเข้ากับพี่ชายและนายแสนที่เดินคุยกันมาทำให้เธอหลบเข้าที่พุ่มไม้มองดูคนสองคนคุยกัน
“พี่เต..เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ” เธอพูดเสียงเบาก่อนจะค่อย ๆ เดินออกมาแต่ก็ต้องพลาดท่าเพราะลูกน้องของเจ้าหนี้ไหวตัวแทน พวกเขาวิ่งหน้าตื่นออกมาเสียก่อน ทำให้เธอต้องรีบวิ่งลัดเลาะป่าข้างรีสอร์ทออกไป
“จะไปไหนคุณปิ่นมุก” เสียงของแสนดังขึ้นด้านหลัง “ฉันประเมินคุณต่ำไป”
“แน่นอนครับ” แสนยิ้มนิ่ง ปิ่นมุกก็คอยระวังทั้งหน้าหลังราวกับว่ากำลังจะสู้กับเสือกับงู แต่จู่ ๆ เธอก็คิดอะไรออกและโพล่งออกมา “สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง!”
ทันทีที่เธอตะโกนออกไป ทุกคนก็พากันหันไปมอง ทำให้เธอรีบใช้โอกาสนี้วิ่งหนีออกไปทางเดิมจนถึงถนนใหญ่โดยมีพวกแสนตามมาด้วย
และไม่รู้ว่าโชคดีหรือฟ้าแกล้ง พอวิ่งตามกันอยู่อย่างนั้นสักพักฝนห่าใหญ่ก็เกิดตกลงมา แต่มีหรือที่สาวน้อยสู้ชีวิตจะยอมแพ้
เธอยังคงวิ่งต่อไปในขณะที่พวกแสนต้องกลับไปเอารถเพื่อออกมาตามหาหญิงสาว และแน่นอนว่านายเตก็ต้องโดนไปด้วยเพราะผิดคำพูด
ตัวของหญิงสาวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ร่างกายทุกส่วนก็เปียกไปหมด แรงฝนที่กระหน่ำลงมาทำให้เธอวิ่งช้าลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งพบกับแสงสว่างที่ทอดมาจากถนนขาเข้า แน่นอนว่ามันไม่ใช่พวกแสนแน่ ๆ “ช่วยด้วย!”
ภูผาขมวดคิ้วมองแสงสีขาวที่สะท้อนกับแสงไฟของรถเขาจนเกิดเห็นเป็นตัวคน แต่ขมวดคิ้วไปได้ครู่เดียวก็เบิกตาโต รีบหักพวงมาลัยรถจนเกือบพุ่งเข้าข้างทาง “เชี่ย!อะไรวะ!”
เสียงตบประตูรถจากฝั่งคนนั่งดังขึ้น พร้อมกับเสียงที่ดังแข่งกับฝนตะโกนเข้ามาภายในรถ “ช่วยด้วยค่ะ!คุณช่วยฉันที!”
เขาค่อย ๆ เพ่งมองไปที่อีกคนพร้อมกับเปิดไฟฉายจากมือถือส่องไปที่คนข้างนอก “นี่มัน..”
ประตูรถถูกแง้มออกเล็กน้อยเปิดการบอกอนุญาตให้เธอเข้าไปได้ หญิงสาวไม่รอช้ารีบเข้าไปนั่งด้านในทันที “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริง ๆ”
เธอเอาแต่ยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายจนเขาต้องเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ แล้วทำไมคุณถึงวิ่งมาแบบนี้ล่ะ?”
“เกิดอะไรขึ้น”
“คือฉัน..”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบเสียงมือถือของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นมา ทำให้การสนทนาต้องหยุดลงเพียงเท่านั้นก่อน “อืม กูกำลังไป”
“ว่าไงนะ?”
“ปล่อยไป ตอนนี้กูมีธุระ ไม่สะดวกคุยแล้ว”
“ไหนว่าต่อสิครับ” เมื่อวางสายแล้วก็วกกลับมาคุยเรื่องของคนข้าง ๆ ต่อ
“ฉันโดนแม่กับพี่ชายหลอกให้มาที่นี่”
“ทำไมถึงโดนหลอกมาล่ะ”
“คือ..มันเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อนะคะ แต่ฉันโดนหลอกมาให้เป็นนางบำเรอบนเตียงของพ่อเลี้ยงคนหนึ่งที่เป็นเจ้าหนี้ของพี่ชายฉัน”
“อะไรนะ?” ภูผาถึงกับต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังความจริงจากปากของปิ่นมุก เขาไม่เห็นจะรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้
ไอ้แสนนะไอ้แสน เขาคิดในใจ
เมื่อครู่เขารู้เพียงแค่ว่าผู้ที่จะมาเป็นผู้ค้ำและมาต่อรองสัญญาการใช้หนี้กับเขาได้กลับไปก่อนแล้วจากการที่แสนเป็นผู้โทรมา แต่ก็ไม่ได้นึกสะกิดใจน้ำเสียงของลูกน้องคนสนิทที่ดูกระหืดกระหอบเหมือนคนที่เพิ่งวิ่งออกกำลังกายเสร็จ
จนกระทั่งมาคิดเมื่อครู่ว่าหน้าตาของผู้หญิงข้างเขาช่างเหมือนกับผู้หญิงที่มีชื่อว่า ปิ่นมุก น้องสาวของนายเต
ตอนแรกที่รับขึ้นมาเพียงเพราะดูออกว่ากำลังเดือดร้อนอยู่จริง ๆ
“ตอนนี้ฉันอยากกลับบ้าน ถ้าเป็นไปได้ คุณช่วยไปส่งฉันที่โรงแรมในเมืองทีได้ไหมคะ” เมื่อเห็นว่าอีกคนเงียบจึงเริ่มพูดจุดประสงค์ของตนต่อ
ภูผามองดูด้านนอก ฟ้าฝนเริ่มแรงขึ้น ลมก็เริ่มพัดแรงมากขึ้น ถ้าชานเมืองเป็นแบบนี้ ในเมืองก็คงจะไม่ต่างอะไรมาก “ผมว่าคุณนอนข้างที่พักแถวนี้ก่อนดีกว่า ผมเองก็ไม่กล้าเสี่ยงขับไปขับมาทั้ง ๆ ที่ฝนยังตกแบบนี้เท่าไร”
“นั่นสิ..แต่รีสอร์ทแถวนี้ฉันเพิ่งหนีออกมา” เธอมีสีหน้าลังเล
“ไม่เป็นไร แถวนี้มีรีสอร์ทอีกเยอะ รีสอร์ทที่คุณหนีออกมาคือที่ไหนล่ะ จะได้ไม่ต้องเข้าไป”
“รีสอร์ทมณีรัตน์ค่ะ”
“อ้อ..โอเคครับ งั้นเราไปพักที่อื่นกันดีกว่า” ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าใช่แน่ ๆ จึงทำเป็นไม่รู้ไปก่อน หากพูดไปตอนนี้อีกฝ่ายอาจจะตกใจไปก่อนได้
“แล้วสรุปว่าเจ้าหนี้คุณเป็นใครเหรอ พอจะรู้ชื่อเขาไหม”
หลังจากที่เช็คอินเสร็จ ประจวบเหมาะเหลือเพียงห้องเดียว ทำให้เขาและเธอต้องมานั่งอยู่ด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่ตัวเธอยังเปียกอยู่ “เอ่อ ขอโทษทีครับ”
“คุณเอาชุดผมไปใส่ก่อน” เขายื่นยืดตัวใหญ่มาให้และหันหน้าไปมองทางอื่น เพราะด้วยความที่ชุดของเธอเป็นเชิ้ตขาวทับเสื้อกล้ามด้านใน พอเปียกก็ทำให้เห็นเนื้อหนังที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้านั้น เธอรับเสื้อนั้นมาก่อนจะรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ผ่านไปสักพักก็เดินกลับออกมาด้วยเสื้อยืดตัวใหญ่พร้อมกับผ้าเช็ดผม จนคนที่รออยู่เผลอมองตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะหันหน้ากลับไป
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” เธอพูดเสียงเบา
“ไม่เป็นไร”
“คือ..ว่าแต่เจ้าหนี้คนนั้นคือ..?”
เขาถามอีกครั้ง ปิ่นมุกเงียบไปก่อนตอบ
“ฉันก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเขาชื่ออะไร แต่ลูกน้องเขาเรียกตลอดว่า พ่อเลี้ยง เจ้านาย หรือนาย มีแค่นั้น”
“ในใบสัญญาควรจะมีชื่อเขาไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ค่ะ แต่ฉันมองแค่แวบเดียวก็ต้องฟังคนของเขาพูดต่อ จำไม่ได้หรอก”
“ฉันไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้ ได้ข่าวว่าอายุก็ตั้งสามสิบกว่า ๆ ห่างกับฉันตั้งหลายปีจนแทบจะเป็นน้าเป็นอาฉันแล้ว” ว่าพลางนั่งลงบน จนอีกคนที่โดนว่าสะดุ้งเลยทีเดียว “เฮ้ยคุณ บางทีเขาอาจจะไม่รู้ก็ได้นะ”
“ยังไงคะ? ถ้าเจ้านายไม่สั่ง ลูกน้องจะทำเกินคำสั่งเจ้านายได้ด้วยเหรอ”
“ก็ลูกน้องรักเจ้านายเกินไปไงคุณ มีเยอะแยะไป” เขาล่ะอยากจะตบปากตัวเอง เพราะคำแก้ตัวของเขามันฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด
“ว่าแต่คุณจะกลับบ้านจริง ๆ เหรอ” เขาเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่ค่ะ พ่อฉันไม่สบาย มีหลายโรคที่ต้องรักษา ถ้าฉันไม่กลับบ้าน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหนีไปอยู่ที่ไหนได้” เธอทำหน้าลำบากใจ แม้เพิ่งจะรู้จักกัน แต่เขาเป็นคนที่ช่วยเธอไว้และเขาดูท่าทางน่าไว้ใจ เธอจึงค่อย ๆ ระบายให้เขาฟัง
“คุณทำอะไรเป็นบ้างล่ะ” เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะสงสารแต่ก็ไม่อยากปล่อยให้กลับไปง่าย ๆ
ก็นายเตเล่นตลบหลังเขาขนาดนี้ แถมยังไปคุยกับลูกน้องของเขาให้ประเคนน้องสาวให้มาเป็นเมียเขาอีก ก็หยามมันให้น้องมันไปทำงานใช้หนี้แทนแล้วกัน ส่วนตัวมันเขาจะจัดการทีหลัง และแน่นอนว่านายเตไม่รอดแน่ ๆ
“ทำไมเหรอคะ? ..คุณจะช่วยฉันเหรอ?” เธอหันหน้ามองใบหน้าคมนั้นชัด ๆ ในใจก็รู้สึกสะกิดใจขึ้นมาว่าหน้าของเขาคุ้นเหมือนเคยเจอที่ไหน แต่มันก็ติดอยู่ในหัว นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก “ใช่ เผื่อจะช่วยได้น่ะครับ”
“พอดีที่ฟาร์มผมยังขาดคนอยู่ เผื่อคุณสมบัติของคุณจะใช้ได้”
“ฉันทำได้ทุกอย่างนะคะ แผนกบัญชี แผนกบุคคลเอกสาร สอนภาษาอังกฤษ ทำขนมก็ได้” แววตาเป็นประกายนั้น ทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกระแอมไอออกมา “ถ้างั้นก็ดีเลย”
“ผมต้องการคนอยู่พอดี”
“ว่าแต่..ฉันคุยกับคุณตั้งนาน คุณชื่ออะไรเหรอคะ ฉันชื่อปิ่นมุกค่ะ เรียกว่ามุกก็ได้”
ภูผานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบออกไป
“ผมชื่อ..”
“ภูผา”