ตอนที่ 2
เป็นหนี้ ต้องใช้หนี้
หลังจากวันที่หมอได้ทำการวินิจฉัยโรคของนายเมศแล้ว นายเมศก็เริ่มรักษาตัวไปพร้อมกับทำงานไปด้วย นางมาลีเองก็เริ่มบ่นน้อยลงเพราะถึงอย่างไรตัวนางก็รักนายเมศผู้เป็นสามีอยู่ไม่น้อย ถึงได้โกรธเขาในเรื่องวันนั้นมาจนถึงวันนี้
ไม่ใช่เพียงแค่โกรธแต่ยังเสียใจที่นายเมศยังคงรักผู้หญิงคนอื่นอยู่ตลอดเวลา..แม้ผู้หญิงคนนั้นจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม
“พ่อกินยาหรือยังจ๊ะ” ปิ่นมุกที่รีบมาหาพ่อและแม่ เมื่อถึงที่หมายก็ถามขึ้นทันที พร้อมกับยื่นถุงอาหารให้ผู้เป็นมารดา “กินแล้วลูก” เขาหันมายิ้มให้
“ดีเลย งั้นมุกจะทำน้ำผักให้กินนะ วิตามินล้วน ๆ”
“เดี๋ยว ๆ นังมุก แกจะเอาผักที่ไหนไปทำ อย่าบอกนะว่..”
“แหม ก็ผักของแม่ไงจ๊ะ ขอนิดขอหน่อยน่านะแม่จ๋า” ทำทีเป็นอ้อนมารดาจนอีกคนใจอ่อน “เออ ๆ จะทำอะไรก็ทำ อย่าเอาไปเยอะนักล่ะ”
“แม่ ๆ!พ่อ!ช่วยด้วย!”
แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของนายเตดังมาแต่ใกล้จนในตลาดพากันหันไปสนใจ
“อะไร ๆ เป็นอะไรลูก รีบวิ่งมาแบบนี้เป็นอะไร” นางมาลีจับแขนลูกชายไว้
“ฉันอยู่ไม่ได้แล้วแม่ พวกมันมาตามฉัน ขอเงินหน่อยสิพ่อแม่ มุก!” หันมาหาน้องสาวที่กำลังยืนมองเหตุการณ์อยู่ “อะไรพี่ เป็นอะไร!”
ผู้เป็นพี่ชายรีบเข้ามาเขย่าแขนน้องสาว ส่วนนายเมศและนางมาลีก็พากันห้าม “มุกต้องช่วยพี่นะ มันจะฆ่าพี่แล้ว!”
“ใคร!ใครจะฆ่าพี่ ใจเย็น ๆ ก่อนสิพี่เต!” ปิ่นมุกจับตัวของอีกฝ่ายไว้ให้เขาตั้งสติ แต่ยังไม่ทันที่นายเตจะได้ตอบกลับอะไรก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ ๆ
ชายฉกรรจ์สี่คน สวมเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนขึ้น กางเกงสแลคชั้นดี มาดดูแมนสมชายเหมือนคนมีอันจะกินในละครที่เธอเคยดู
“สวัสดีครับ คุณปิ่นมุก” ชายคนหนึ่งที่อยู่หน้าสุดถอดแว่นดำมียี่ห้อออก
“คุณเป็นใคร จะทำอะไรพี่ชายฉัน”
“ว้าว มึงนี่นอกจากเป็นปลิงแล้ว ยังเกาะชายกระโปรงน้องสาวอีกเหรอวะ”
“อย่าทำอะไรผมเลยนะพี่ ผมไม่มีเงินจริง ๆ”
“ฉันว่าเราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่าค่ะ ในนี้คงไม่เหมาะเท่าไร”
“ก็ได้ครับ แต่..คุณพ่อคุณแม่ ออกไปรับทราบสิ่งที่นายผมฝากแจ้งมาด้วยนะครับ เชิญ” คนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องถูกพาตัวออกมานั่งคุยกันด้านนอกแต่ยังอยู่ในบริเวณตลาดมหาศาล ปิ่นมุกยังคงมีสีหน้าที่เคร่งเครียดและใจเต้นระทึกไปพร้อมกัน แต่ก็เป็นฝ่ายถามออกไปก่อน “พี่ชายฉันไปทำอะไรไว้เหรอคะ?”
แสนผู้นำทีมยื่นมืออกรับเอกสารสำคัญจากลูกน้องส่งต่อให้หญิงสาวได้เปิดอ่าน ปิ่นมุกอ่านอยู่ครู่หนึ่งก็นิ่งไปจนนายเมศและนางมาลีสงสัย
“พ่อขอดูหน่อยสิมุก” เสียงแข็งบอกลูกสาวก่อนจะยื้อจากมือลูกมาอ่านพร้อมกับนางมาลี ส่วนนายเตก็เหงื่อแตกพลั่กเพราะรู้ว่าบิดาและมารดาต้องรู้เรื่องที่ตนสร้างไว้ภายในวันนี้แน่นอน “ไอ้เต..” นายเมศหันไปมองลูกชายด้วยความโกรธ
“นี่เป็นเอกสาร เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ระบุว่านายเตได้กู้เงินจากพ่อเลี้ยงมาในจำนวนเงินสองล้านบาทไม่รวมดอกเบี้ย ส่วนชื่อผู้ค้ำก็เป็นชื่อของนางมาลี ผู้มีสถานะเป็นมารดาชอบด้วยกฎหมาย” อธิบายให้ผู้เป็นลูกสาวฟัง
“ในสัญญา..พ่อเลี้ยงได้กำหนดให้ลูกหนี้ทุกคนผ่อนจ่ายได้ตามแรงกำลังของตนเอง ทุกคนที่กู้เงินพ่อเลี้ยงไปหาเงินมาใช้ได้หมด มันจะมีเพียงแค่สองสามคนเท่านั้นแหละที่บิดเงิน ไม่คืนเงินเจ้านายผม”
“แล้วแบบนี้เจ้านายคุณ..จะทำยังไงต่อเหรอคะ?”
“ครั้งแรกจะเกิดการทวงผ่านโทรศัพท์ก่อน แต่ถ้าทวงแล้วทวงอีกหลายครั้ง หนำซ้ำยังทำหัวหมอคิดบิดเงินเจ้าหนี้ คิดว่าเจ้าหนี้จะโกรธไหมครับคุณปิ่นมุก?”
เอาล่ะ ถามคำถามนี้ เป็นเด็กอนุบาลก็ยังตอบได้ว่า โกรธแน่ ๆ และเท่าที่เธอดูจากการแต่งกายของลูกน้องของผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘พ่อเลี้ยง’ แล้ว เจ้านายคนนั้นก็คงจะเป็นคนที่เส้นใหญ่หรือมีอิทธิพลมากแน่ ๆ เพราะลูกน้องไม่ใช่กระจอกหรือดูเป็นนักเลงเลยสักคน “แล้วฉันต้องทำยังไงต่อคะ”
“คุณไม่ต้องทำ แม่คุณต่างหาก”
“ในเมื่อนายเตหลีกเลี่ยงที่จะจ่ายหนี้ คนค้ำก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย”
“เดี๋ยวสิคะ!” เธอออกตัวต่อต้านคนพูด
“พี่ชายของคุณไม่เคยจ่ายหนี้เลยสักบาทเดียวจนตอนนี้ดอกค่อย ๆ ขยับขึ้นสูงตามเกณฑ์ ทั้งที่พ่อเลี้ยงใจดีมากแล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังกล้าจะมาตลบหลังเจ้านายผมได้ แบบนี้พี่ชายคุณต้องเป็นคนยังไงกันล่ะครับ ถ้าตอนนี้พ่อเลี้ยงจะไม่ใจดีกับพี่ชายคุณแล้ว ก็ไม่มีใครปกป้องพี่ชายและแม่ของคุณได้หรอกนะ”
“เปลี่ยนคนค้ำแทนได้ไหมครับ” นายเมศที่เงียบอยู่นานเป็นคนพูดขึ้น
ทำให้นางมาลีที่หน้าซีดอยู่หันไปมองผู้เป็นสามี “พี่เมศ”
“พ่อจ๊ะ” ปิ่นมุกเองก็ไม่ต่างจากนางมาลีสักเท่าไร เธอหันมามองหน้าบิดาที่มีสีหน้าที่จริงจังมากขึ้น ทำให้แสนผู้เป็นตัวแทนของพ่อเลี้ยงภูผายิ้มออกมา
“ได้ครับ แต่ผู้ค้ำต้องไม่มีโรคประจำตัว ต้องแข็งแรงมากพอที่จะหาเงินมาใช้หนี้พ่อเลี้ยงได้ มันเป็นข้อตกลงข้อที่เก้าน่ะครับ ลองอ่านดูสิ”
ตอนนี้ไม่มีใครเหลือ แม้แต่นายเมศที่ต้องการจะเป็นผู้ค้ำประกันแทนนางมาลีเองก็ไม่สามารถเป็นได้ ในสถานการณ์ที่บีบบังคับเช่นนี้ คนที่โดนต่อไปก็คงไม่พ้นปิ่นมุก “มีใครมาค้ำให้ได้ไหมล่ะครับ?” แสนถามอีกครั้ง
“ฉันเองค่ะ ฉันจะเปลี่ยนกับแม่เอง”
“มุก!ทำไมพูดแบบนี้ลูก!” ด้วยความที่เป็นโรคหัวใจทำให้นายเมศรู้สึกเจ็บที่หัวใจขึ้นมาทันทีจนต้องนั่งลงที่ม้านั่งหินอ่อนโดยมีนางมาลีประคองไว้
นางมาลีหันมาหาลูกสาวแววตาสะท้อนความรู้สึกที่หลากหลายออกมา แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าลูกชายของตนจะเป็นคนผิด เพราะความรักลูกชายมากเข้ามาบังตาบังใจจนทำให้ไม่มีความรู้สึกผิดเลยสักนิดเดียว
“คุณแน่ใจนะ?” ถามย้ำอีกครั้งหนึ่ง
“ค่ะ ฉันแน่ใจ”
“ถ้าอย่างนั้นอีกสองอาทิตย์คุณเตรียมตัวไปเซ็นสัญญาที่โคราชด้วยนะครับ พอดีว่าพ่อเลี้ยงไปดูผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นั่นพอดี ไม่สะดวกคุยกับคุณผ่านทางออนไลน์ เพราะมันเป็นการเซ็นสัญญาฉบับใหม่ ต้องเจอหน้ากันด้วยน่ะครับ เผื่อหนีอีกจะได้จำหน้าได้ ครั้นจะให้เจ้าหนี้ลงมาหาเองก็คงจะไม่ได้ พอดีงานนายเขาเยอะน่ะครับ ไม่สะดวกมาหาใคร” คำพูดประชดประชันที่สุภาพถูกพ่นใส่นายเต แต่รายนั้นก็ทำตัวไม่ถูกเพราะเห็นปืนที่อยู่หลังเสื้อสูทตัวงาม อีกทั้งถ้าหากเกิดบันดาลโทสะตามวิสัยแล้วอาจจะถูกนายเมศผู้เป็นบิดาโกรธมากกว่านี้ก็เป็นได้
“เกิดอะไรขึ้นเหรอน้องมุก?”
หลังจากที่คนของพ่อเลี้ยงภูผากลับไป ก็ประจวบเหมาะกับที่ธาวิน ลูกชายของคุณนายกิมลั้วมาตรวจตลาดของตนแทนมารดาพอดี “สวัสดีค่ะพี่วิน”
เธอยกมือไหว้อีกคนจนธาวินรับไหว้แทบไม่ทัน
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีมีธุระอะไรกันนิดหน่อยน่ะค่ะ แล้วนี่พี่วินมาตรวจตลาดแทนคุณนายกิมลั้วเหรอคะ” แม้จะเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ชายร่างสูงดูสง่าก็ยังคงนึกสงสัยอยู่ เพราะเขาเห็นว่าคู่สนทนาของปิ่นมุกดูท่าทางไม่น่าไว้ใจ
“ใช่ครับ แต่..แน่ใจนะน้องมุก? พี่ว่าคนพวกนั้นดูไม่น่าไว้ใจเท่าไรนะ”
ปิ่นมุกเงียบไปครู่หนึ่งก่อนยิ้มออกมา “ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะพี่วิน”
“เดี๋ยวมุกขอตัวก่อนนะคะ พอดีว่ามุกมีธุระต้องไปทำ”
“แกก็บอกคุณธาวินเขาไปเลยสิว่าอยากให้ช่วย..สวัสดีค่ะคุณธาวิน แหม มาตรวจตลาดไวกว่าคุณนายกิมลั้วอีกนะคะเนี่ย” นางมาลีที่โผล่มาได้ทันก็รีบพูดประจบ พูดราวกับจะยกประเคนลูกสาวใส่พานให้กับลูกชายเจ้าของตลาด
“แม่!” ปิ่นมุกหันไปเรียกเสียงเบาเป็นการห้ามไม่ให้มารดาพูด แต่นางมาลีก็หันมาทำหน้าดุใส่ลูกสาวทันที ก่อนหันกลับไปยิ้มให้อีกคน
“เปิดอะไรขึ้นเหรอครับน้ามาลี”
“ให้นังมุกมันเป็นคนพูดดีกว่า ตอนนี้เนี่ยนะมันกำลังลำบากอยู่ ถ้าคุณอยากให้มันชอบคุณล่ะก็..คุณก็ต้องหาทางช่วยมันให้ได้ล่ะนะ น้าไปล่ะ” ทิ้งระเบิดไว้แล้วก็ขอตัวออกไปจนปิ่นมุกเอือมระอากับสิ่งที่มารดาทำ
ทุกครั้งที่มีโอกาส นางมาลีมักจะทำตัวเป็นแม่สี่อให้ธาวินได้เข้าใกล้ปิ่นมุกอยู่เสมอ ไม่แปลกที่ปิ่นมุกจะรู้สึกเอือมระอากับเหตุการณ์เมื่อครู่
“น้องมุก มีเรื่องเดือดร้อนอะไรบอกพี่ได้นะ ถ้าเป็นเรื่องเงินเดี๋ยวพี่ช่วยเอง”
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ มุกไม่อยากเป็นหนี้เพิ่มไปมากกว่านี้แล้ว”
“น้องมุกมีหนี้ที่ไหนเหรอครับ?”
“ไม่ใช่ของมุกหรอกค่ะ” เธอตอบเพียงแค่นั้น ธาวินเองก็พอจะเข้าใจความหมาย หากเขาเดาไม่ผิดก็ต้องเป็นของนางมาลีหรือไม่ก็ของนายเตผู้เป็นพี่ชายแน่ ๆ “ให้พี่เดา หนี้ของนายเตใช่ไหม?”
“หรือว่าน้ามาลีไปยืมเงินใครมาอีก ไม่น่าใช่..นายเตนั่นแหละ”
เธอไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้าให้ “แต่มุกไม่รบกวนพี่วินดีกว่าค่ะ”
“ขอบคุณที่ตั้งใจจะช่วยนะคะ แต่ไม่ดีกว่าค่ะ” เธอตอบปฏิเสธเป็นนัยทั้งเรื่องของเงินทองและความสัมพันธ์
แม้ธาวินจะเป็นคนหน้าตาดีตามที่สาว ๆ หลายคนต้องการ ทั้งการศึกษา ฐานะทางการเงิน และนิสัยดีมากก็ตาม เพราะเป็นแบบนั้น เธอจึงรู้สึกว่าตนไม่เหมาะสมกับคนตรงหน้าเลยสักนิดเดียว
เขาควรได้เจอคนที่ดีกว่าเธอ
“แต่ว่าพี่เต็มใจช่วยมุกจริง ๆ นะ”
“แต่มุกว่า ถ้าคุณนายกิมลั้วรู้เรื่อง น่าจะไม่พอใจได้นะคะ”
“หนี้เก่าที่แม่ไปยืมไว้ก็ยังคืนไม่หมด แล้วยังจะมีหนี้ใหม่เพิ่มแบบนี้”
“เพราะงั้น พี่วินอย่าทำให้คุณนายกิมลั้วไม่พอใจดีกว่าค่ะ มุกกลัวว่าถ้าคุณนายเขาไม่พอใจแล้ว พ่อแม่มุกจะเดือดร้อน ไม่มีที่หากิน”
ปิ่นมุกถอนหายใจและบอกไปตามตรง ทำให้ธาวินนิ่งไป เธอจึงใช้โอกาสนั้นลาเขาอีกครั้งหนึ่งก่อนเดินเข้าไปในตลาด ปล่อยให้เขายืนอยู่ที่เดิมคนเดียว
“เป็นไงนังมุก คุณธาวินเขายอมช่วยไหม?”
พอกลับเข้าไป นางมาลีที่กำลังหน้าเครียดอยู่พอเห็นลูกสาวเดินเข้ามาก็รีบเดินเข้ามาจับแขนไว้ทันที “มุกไม่ให้เขาช่วย” เธอตอบ
“อ้าว!นังนี่!แกโง่รึเปล่าเนี่ย คนรวยแบบนั้นปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง”
“แล้วอีกอย่างนะ ถ้าแกเอ่ยปาก เขาก็ยอมช่วยอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องไปเกรงจงเกรงใจอะไรเลย” มาลีทำท่าอารมณ์เสียใส่ลูกสาว แต่ปิ่นมุกก็ไม่ได้สนใจเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าถ้ามาลีรู้เข้าก็คงจะทำแบบนี้ “แล้วนี่พี่เตไปไหนจ๊ะแม่”
“ฉันให้มันกลับบ้านไปแล้ว แกมีอะไร?”
“พี่เตควรจะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นนะแม่”
“แกก็ไปคุยกับมันเองสิ จะมาบอกฉันทำไม”
“เอ็งก็ควรโดนด่าด้วยเหมือนกันนะมาลี ทำแบบนี้ได้ยังไง” นายเมศมาเสริม เพราะยังรู้สึกโกรธสองแม่ลูกไม่หาย ทำให้ปิ่นมุกนึกคิดไปว่า ไม่น่าเปิดประเด็นขึ้นมาตั้งแต่แรกเลย “เอาเป็นว่าเราเอาเรื่องนี้กลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่าจ้ะ”
พอกลับมาถึงบ้าน นายเมศก็หันรีหันขวางมองหาลูกชายตัวดีที่สร้างความเดือดร้อนไม่เว้นแต่ละวัน “ไอ้เต!แกอยู่ไหน!” ตะโกนเรียก
“พี่จะเสียงดังใส่ลูกทำไมเนี่ย เรียกเบา ๆ มันก็ได้ยิน”
“หุบปากไปเลยมาลี”
“เอะ นี่พี่!”
“แม่พอเถอะจ้ะ หยุดได้แล้ว พ่ออย่าโกรธมากสิจ๊ะ เดี๋ยวอาการก็กำเริบหรอก” ปิ่นมุกพยายามห้ามทั้งพ่อและแม่ แต่คราวนี้คนที่ยอมกลับสลับฝั่งกลายเป็นมาลีแทน “ไม่ได้หรอกมุก ก็เห็นอยู่ว่าไอ้เตมันทำให้มุกต้องเดือดร้อนไปด้วย”
“ลูกกำลังจะเกือบเงินซื้อบ้านอยู่นะ ไหนจะเรื่องของพ่ออีก ทำไมถึงชอบรับทุกอย่างไว้คนเดียวห้ะลูก?” เมศพูดออกไปด้วยความรู้สึกที่ทั้งเหลืออดทั้งเห็นใจลูกสาว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาจากปิ่นมุกนั้นมีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ ที่เหมือนกับแม่แท้ ๆ ของหญิงสาวเท่านั้น
“มุกหาทางได้จ้ะพ่อ ไม่เป็นไร”
“ยังไงวันนี้พ่อก็ต้องสั่งสอนไอ้เวรตะไลนั่นให้รู้สำนึก เลี้ยงเสียข้าวสุก”
“พี่เมศ นั่นลูกเรานะพี่”
“มุกก็ลูกเรามาลี!”
“ไอ้เตออกมา!” เรียกอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปดูหลังบ้าน พอเห็นตัวคนหลบอยู่ก็ดึงคอเสื้อและลากให้ออกมา ท่ามกลางความตกใจของนางมาลี
นางมาลีเดินเข้าไปประคองลูกชายขึ้นก่อนจะมองค้อนผู้เป็นสามีด้วยความเจ็บใจ แต่ก็เถียงอะไรไม่ได้เพราะนั่นคือความจริง
“พ่อดึงฉันทำไมเนี่ย มันเจ็บนะ!” แต่ดูเหมือนว่าตัวต้นเรื่องจะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการทำให้คนอื่นเดือดร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังโวยวายใส่บิดาจนเกิดการทะเลาะกันขึ้น “แกควรจะรับผิดชอบในสิ่งที่แกทำ ไม่ใช่ให้น้องมารับแทน”
“แล้วฉันขอให้มุกมันมารับแทนรึไงล่ะพ่อ”
“เหอะ วิ่งมาเหมือนหมาจุกตูด เรียกร้องหาพ่อกับแม่ วิ่งไปขอให้น้องช่วย ยังมีหน้ามาพูดว่าตัวเองไม่ได้ขอ แกนี่มัน..ฉันล่ะหมดคำจะพูดจริง ๆ”
“ส่งให้เรียนหนังสือสูง ๆ ก็ไม่เรียน งานก็ไม่ทำ หาแต่เรื่องเดือดร้อนให้ไม่เว้นแต่ละวัน ไอ้เด็กไม่รักดี!” พูดประโยคสุดท้ายจบก็เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ พร้อมกับเจ็บที่หัวใจจนต้องนั่งลง “พ่อ!” ปิ่นมุกรีบเข้าไปประคองนายเมศไว้
“พ่อนั่นแหละ แก่จะตายอยู่แล้ว เอาตัวเองให้รอดเถอะ” นายเตว่า
“พี่นั่นแหละที่ต้องเอาตัวเองให้รอด!” ปิ่นมุกที่ตอนนี้ฟางเส้นสุดท้ายขาดไปแล้วเรียบร้อย หันหน้ามาประจัญหน้ากับเตแทน “อะไรนังมุก? แกจะพูดอะไร?”
เตมองปิ่นมุกอย่างเย้ยหยัน เพราะเห็นว่าน้องสาวก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่สู้แรงผู้ชายไม่ได้เท่านั้น “ฉันถามจริง ๆ เถอะ น้ำหน้าอย่างพี่น่ะ”
“ถ้าไม่มีฉัน ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่จะไปไหนรอด?”
“เห็นผู้ชายเสื้อดำที่มาทวงหนี้เราไหม? ให้ฉันเดานะว่าพี่ก็เห็นว่าเขามีปืน พี่เลยไม่กล้าถึงได้รีบวิ่งเหมือนหมากลัวคนมาแบบนั้น ถ้าไม่มีพ่อแม่กับฉัน พี่คงได้โดนฆ่าตายเหมือนในข่าวนั่นแล้ว ไม่ได้มาใส่ผ้าถุงแม่ยืนเยาะเย้ยฉันอยู่แบบนี้หรอก” คำว่ากล่าวทางอ้อมที่คนฟังฟังแล้วรู้สึกเจ็บไปพร้อมกับคนโดน
“นังมุก!นี่แกกล้าว่าฉันเหรอ!” เตขยับเข้ามาง้างมือจะตบน้องสาว แต่ปิ่นมุกที่ไหวตัวทันก็ใช้วิชาการต่อสู้ที่แอบไปเรียนมาเมื่อหลายเดือนก่อนทำให้เตที่ยืนอยู่เมื่อครู่ลงไปนอนกองอยู่กับพื้น “นังมุก ไอ้เตมันเป็นพี่แกนะ!”
นางมาลีว่าแค่นั้นก่อนจะประคองลูกชายขึ้นและพาหนีออกไปข้างนอก เพราะตัวนางเองก็ตกใจ และไม่คิดว่าเมื่อปิ่นมุกหมดความอดทนแล้วจะน่ากลัวขนาดนี้
เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยเห็น เพราะปิ่นมุกไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนนายเมศก็ได้แต่มอง เพราะมันเหลืออดมากแล้วจริง ๆ
“พ่อจ๊ะ ลุกไหวไหม” ปิ่นมุกรีบหันมาประคองผู้เป็นพ่อให้ลุกขึ้นนั่งที่เก้าอี้ เธอรีบเดินไปหยิบยาและยาดมมาให้นายเมศ แต่นายเมศก็นิ่ง ไม่ได้รับมา
“มุก พ่อพูดจริง ๆ นะ”
“มุกไม่ต้องช่วยไอ้เตหรอกลูก ถ้าเขาจะฆ่ามันทิ้งก็ให้มันตายไปเลย สอนแล้วไม่จำ ไม่เคยรักดีแบบนี้ พ่อก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงจริง ๆ”
หญิงสาวนั่งลงต่อหน้าผู้เป็นพ่อก่อนจะค่อย ๆ จับมือที่เริ่มเหี่ยวลงนั้นไว้ในมือ เธอรู้และเข้าใจความลำบากใจของพ่อที่มีอยู่ตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วเตก็คือพี่ชายของเธอ อีกทั้งนางมาลีที่เป็นผู้ค้ำก็ยังเป็นแม่ของเธอ ถ้าตอนนี้เธอจะเป็นคนเดียวที่พ่อและแม่จะพึ่งได้ เธอก็ยินดีจะทำให้
“มุกบอกแล้วไงพ่อ มุกพอรับไหวน่า อีกอย่างสองล้านนิด ๆ ถ้ามุกตั้งใจหน่อยก็คงคืนหมด ไม่นานนักหรอก” แม้มันจะยากสำหรับพนักงานออฟฟิศ แต่ถ้าคิดว่าทำได้แล้วก็ต้องทำให้ได้
“มุกจะไปหาเจ้าหนี้ของไอ้เตมันจริง ๆ เหรอลูก” นายเมศค่อย ๆ อ่อนลงแต่ก็ยังไม่วายถามขึ้นอีก เพราะแม้จะอ่อนก็ไม่ได้แปลว่าอยากจะยอมให้ลูกสาวทำร้อยเปอร์เซ็นต์ “แน่ใจจ้ะ มุกแน่ใจ”