คำเตือน
นวนิยายเรื่อง เล่ห์รักดอกไม้ริมทาง (พ่อเลี้ยงมาเฟีย) เป็นหนึ่งในนวนิยายจักรวาล ‘โซ่รัก’ แต่จะแยกชื่อเรื่องออกไปเป็นชื่ออื่นแทนการใช้คำว่า โซ่รักต่อด้านหน้า เนื้อหาภายในอาจมีการเอ่ยถึงสถานที่ต่าง ๆ ที่มีอยู่จริง และสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริงเพื่ออรรถรสภายในเรื่อง ทั้งนี้ อาจมีคำพูดที่รุนแรง กิจกรรมทางเพศ หรือฉากที่รุนแรงอยู่ในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์หรือฉากที่มีความรุนแรงทางด้านอารมณ์ ด้วยเหตุนี้ นักเขียนขอความกรุณาให้นักอ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านเสพผลงานค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ปทุมวดี
บทนำ
ท่ามกลางความวุ่นวายในตลาดมหาศาล พ่อค้าแม่ค้าขายของกันอย่างชำนาญกันทุกแผง คุณนายเจ้าของตลาดเดินดูของไปด้วยพร้อมเก็บค่าเช่าไปด้วยตามสไตล์คุณนายสะใภ้จีน
พร้อมกันนั้นมีสามีภรรยาคู่หนึ่งที่กำลังช่วยกันทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่ที่แผงผักและปลา สามีขายปลา ภรรยาขายผัก
“ตอนไหนนังมุกมันจะมาสักทีวะ ฉันรอตั้งนานแล้วนะ” ว่าไปพร้อมกับฟาดผักลงบนแผงทับ ๆ ไว้ไม่กลัวผักช้ำ
“ก็มันทำงานอยู่ จะไปเร่งมันทำไม มีเงินให้เอ็งใช้ทุกวันก็ดีแล้วมาลี” สามีบอกพร้อมกับส่งถุงใส่ชิ้นส่วนปลาที่ทำการถอดเกล็ดและสับเป็นส่วน ๆ ให้แก่ลูกค้าหน้าร้าน
“พี่ก็ด้วยพี่เมศ เลิกกินเหล้าได้แล้ว จะเป็นตับแข็งอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก” นายเมศส่ายหน้าเนือย ๆ ให้กับความขี้บ่นของนางมาลีผู้เป็นภรรยา ตั้งใจก้มหน้าก้มตาทำงานดีกว่าไปต่อล้อต่อเถียงกับคนขี้บ่นเห็นทีจะมีประโยชน์กว่า
“อ้าว ๆ เป็งงะมั่ง อาเมศ อามาลี ขายดีไหมลื้อสองคน” เสียงของคุณนายกิมลั้วเจ้าของตลาดดังขึ้นหน้าแผงขาย มาลีที่เห็นแบบนั้นก็รีบเอาใจ ยกมือไหว้ใหญ่
“สวัสดีค่ะคุณนาย แหม วันนี้มาเดินตรวจตลอดเป็นยังไงบ้างจ๊ะคุณนาย”
“ขายดีจ้ะคุณนาย” เมศบอก แต่ดันโดนภรรยาหันไปค้อน เพราะเดี๋ยวจะโดนเก็บดอกที่ยืมไปเพิ่ม แต่ดีที่คุณนายกิมลั้วเป็นคนใจดี พ่อค้าแม่ค้าจากหลายที่จึงค่อย ๆ ทยอยมาขายของที่ตลาดมหาศาลกันมากขึ้น
“ก็ดี ไม่มีอาไรผิดปกกาติ”
“แล้วลูกสาวลื้อสองคน อาปิ่นมุก อีเป็งไงมั่ง”
“โอ๊ย มันสบายดีสุด ๆ เลยค่ะคุณนาย นี่มันกำลังจะมาหาฉันกับพี่เมศด้วย คุณนายอยู่คุยกับมันก่อนไหมล่ะจ๊ะ”
“อั๊วก็อยากอยู่คุยกับอีอยู่หรอก แต่ถ้าอาตี๋มันรู้คงจะหอบงานการมาทำถึงแผงผักแผงปลาของพวกลื้ออา แล้วอามาลีนา ลื้อทยอยคืนเงินต้นอั๊วด้วยนา อั๊วอุตส่าห์ลดดอกให้ อั๊วไปล่ะ” ว่าพร้อมรับไหว้ของพ่อค้าแม่ค้าสามีภรรยา
“พี่เมศฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้บอกว่าขายไม่ดี”
“อย่าทำแบบนั้นเลยน่ามาลี ขอเถอะ ผลัดแบบนี้ตอนไหนหนี้มันจะหมด” ปัดรำคาญ ประจวบกับลูกค้าเข้ามาพอดี จึงช่วยหยุดทัพทั้งสองคนได้
ตกเย็นเป็นเวลาตลาดเย็นของตลาดมหาศาล หญิงสาวมัดผมทรงหางม้า ชุดสาวออฟฟิศแบบทะมัดทะแมง กางเกงผ้าลื่นใส่สบายสีดำขายาวเอวสูง เสื้อกล้ามสีขาวปิดทับด้วยเสื้อเชิ้ตคลุมสีดำพื้น พับแขนทั้งสองข้าง ข้างกันมีกระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่พร้อมถุงผ้าใส่อาหาร ปิดท้ายด้วยบัตรพนักงานที่ยังไม่ได้ถอดเพราะความเร่งรีบ “มาแล้วจ้ะ มาแล้ว”
“มาสักทีนะนังมุก ช้าจริง ๆ”
“ไม่ช้าเลยแม่ มุกเพิ่งเลิกงาน”
“ยังจะมาเถียงอีก มาเก็บของช่วยฉันกับพ่อแกได้แล้ว” พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แต่ปิ่นมุกก็ไม่ได้โกรธกับการกระทำที่ไม่มีเหตุผลของนางมาลีเพราะปกติก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วจึงได้แต่ปล่อยผ่าน “จ้า ๆ พ่อกับแม่ไปพักเถอะกินข้าวเถอะ มุกซื้อข้าวมาให้ด้วย เดี๋ยวทางนี้มุกเก็บให้”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก เสื้อกล้ามด้านในเป็นเสื้อขาวเดี๋ยวมันเปื้อนเลือดปลาเปล่า ๆ ไปเก็บของแม่เถอะ เดี๋ยวพ่อเก็บทางนี้เอง”
“นี่พี่ ผ้ากันเปื้อนก็มีให้ไอ้มุกมันใส่ไปสิ เสื้อคลุมมันก็สีดำ คงไม่เปื้อนเท่าไรหรอกน่า” รับข้าวมาจากลูกก่อนจะนั่งลง “มากินข้าวสิพี่เมศ กลับบ้านไปก็ให้นังมุกมันทำให้ไอ้เตกินคนเดียวไปแล้วกัน ฉันเหนื่อย จะนอน”
“เออไอ้มุก กลับไปแกกวาดบ้านแทนแม่ด้วยล่ะ” เสียงอ่อนลง
“ได้จ้ะ เดี๋ยวมุกทำให้”
“พ่อมากินข้าวเถอะ”
“แล้วนี่แกได้คุยกับคุณธาวินเขาบ้างไหม”
ในระหว่างที่ปิ่นมุกกำลังเก็บของแผงปลาอยู่ นางมาลีก็หันมาถามลูกสาว
“ลูกคุณนายกิมลั้วน่ะเหรอแม่”
“ใช่ เขาดูชอบแกนะ ไม่ลองสานต่อดู เผื่อว่าพ่อกับแม่แกจะได้สบายบ้าง”
“คุณธาวินไม่ใช่อย่างที่ฉันชอบเท่าไร แล้วแต่งไปก็คงไม่ได้เป็นเมียออกหน้าออกตาอะไรขนาดนั้นหรอกแม่”
“โอ๊ย เอ็งนี่ เงินกับหน้าตาเลือกเงินไม่ดีกว่าเหรอ อีกอย่างคุณนายกิมลั้วใจดีจะตายไป แกชอบคนขยัน ยังไงก็เอ็นดูเอ็งอยู่แล้ว”
“โถ ๆ นังมาลี เอ็งจะไปบังคับลูกไปทำไม๊ ในเมื่อมันไม่ชอบ เออนังมุก แกน่ะรีบปฏิเสธคุณธาวินไปเลย นังโฉมลูกสาวฉันจะได้เสียบต่อ”
“จริงแม่” เสียงของแม่ค้าข้างแผงลอยมาคุยกับมาลีด้วยน้ำเสียง
กระแนะกระแหน “แหม วาสนาคนมีผัวรวยมันก็ไม่พ้นนังมุกล่ะวะ คุณนายกิมลั้วกับคุณธาวินเขาชอบคนขยัน ลูกเอ็งมันขี้เกียจสันหลังยาว ไม่เหมือนลูกข้า”
“พูดแบบนี้อยากโดนตบกลางตลาดรึไงป้า”
“พูดว่าลูกซะเต็มปาก กูล่ะอยากจะประกาศโทรโข่งจริง ๆ ว่านังมุกมั...”
“พอ ๆ พอทั้งคู่เลย” ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค เมศก็สวนขึ้นยกมือห้ามทั้งสองฝ่ายให้เลิกรากันไป ปิ่นมุกเองก็ขมวดคิ้วมอง เพราะ ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง
“มุก เสร็จหรือยังลูก มา พ่อกินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวพ่อช่วย”
ภาคเหนือ
ไร่ดำรงรักษ์
“ไอ้แสน”
เสียงเรียกดังขึ้นทั่วบริเวณบ้าน เจ้าของเสียงเดินขึ้นห้องไปแล้วรอบหนึ่งและลงมาหยุดยืนอยู่กลางบ้านหันซ้ายหันขวามอง
“ไอ้แสน!!” พร้อมกับตะโกนเรียกจนเสียงดังขึ้นอีกเท่าตัว แสนผู้เป็นลูกน้องลูกไล่ที่กำลังนอนอย่างสบายใจอยู่บนเปลใต้ต้นไม้หลังบ้านสะดุ้งตื่นจนตกเปล
“ครับ ๆ พ่อเลี้ยง มาแล้วคร้าบ”
“กูเรียกตั้งแต่ชาติที่แล้วจนป่านนี้มึงเพิ่งมา”
“พ่อเลี้ยงไปทำอะไรชาติที่แล้วครับ ไปได้ด้วยเหรอ” ว่าพลางตาโต
“กูประชด เดี๋ยวเถอะมึง”
“กูยังไม่ลืม มึงทำไมไม่ไปรับกูที่สนามบิน ปล่อยให้ไก่มันมารับได้ไง ใบขับขี่ก็ไม่มี” พูดถึงเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปี หลานของป้าพร แม่บ้าน
“อุ่ย ขอโทษครับพ่อเลี้ยง ไอ้แสนคนนี้มันขี้ลืมไปหน่อย ขออภัยครับเจ้านาย”
“เดี๋ยวกูลืมออกเงินเดือนของมึงด้วยดีไหม”
“โอ้ อย่าขนาดนั้นเลยครับลูกพี่ มา ๆ เดี๋ยวไอ้แสนช่วยถือ จะเอาไปไว้ที่ไหนดีครับ”
“เอาของฝากไปให้พวกคนงาน เสร็จแล้วตามมาที่โกดัง”
“พ่อเลี้ยง นี่มันเย็นแล้วนะครับ จะไปอีกเหรอครับ”
“เออ จะไปเช็คดูว่าทำงานกันจริงไหม โดยเฉพาะมึงไอ้แสน”
ว่าจบก็เดินลิ่วออกจากบ้านไป ไอ้แสนผู้เป็นลูกน้องสนิทมองเจ้านาย พ่อเลี้ยงภูผา เดชะดำรงษ์ ยิ้มแหะและมองขนมในถุงพร้อมกับแอบกินก่อนจะรีบเดินตามหลังเจ้านายออกไป
ระยะเวลาที่จบคดีเรื่องอาสนัย เพื่อนสนิทของเขารวม ๆ แล้วก็ผ่านมาสามปีแล้ว เขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้น เห็นคนคุ้นเคยอย่างหลาน ๆ ของบ้านนเรศอัศวกุลเติบโตขึ้นจนตามไม่ทัน บ่อยครั้งก็ถูกพ่อเลี้ยงอัคนีเอ่ยแซวอยู่บ่อย ๆ ว่าเมื่อไรจะแต่งงานสักที ลูกคงอยากมาเกิดแล้ว แต่เรื่องนั้นเขายังไม่คิด
สามปีกับสิบกว่าปี คิดว่าใครจะทำใจได้เร็วขนาดนั้นกันล่ะ
ไม่มีทาง
แม้เขาจะทำใจได้บ้างแล้ว แต่นั่นก็เพราะว่าแก้วกานต์มีความสุข มีครอบครัวที่อบอุ่นกับนธีธรอย่างที่แก้วกานต์ต้องการ
“พ่อเลี้ยงครับ นี่เอกสารจากฟาร์มครับ ปีนี้นักท่องเที่ยวมากันเยอะ พวกเราประชุมกันได้ข้อสรุปว่า ต้องจ้างพนักงานเพิ่มครับ และต้องรู้ภาษาอังกฤษด้วยครับ” ที่โกดังเพาะชำพืช ผู้จัดการจากฝ่ายฟาร์มโคดำรงรักษ์เดินทางมาที่ไร่ เขายื่นรายงานการประชุมให้กับภูผาพร้อมกับบอกรายละเอียดสำคัญให้เจ้านายได้รับรู้ด้วย
ภูผาเปิดดูเอกสารคร่าว ๆ “เดี๋ยวผมจะคิดดูอีกที”
ว่าเพียงแค่นั้น ผู้จัดการก็ขอตัวกลับเพราะงานที่ฟาร์มค่อนข้างรัดตัว ภูผาจะอยู่ที่ไร่ดำรงรักษ์ความคุมการผลิตผลผลิตมากกว่า ส่วนงานในฟาร์ม เขาจะเข้าไปแค่วันพฤหัสบดีกับวันเสาร์เท่านั้น เพราะฉะนั้นทีมบริหารตั้งแต่ผู้จัดการฟาร์มลงไปจนถึงลูกน้องจะต้องช่วยกันดูแลให้รอดพ้นการประเมินคุณภาพสุดโหดช่วงปลายเดือน
ถ้าใครทำไม่ได้ก็ไล่ออก
และใครทนไม่ได้ก็ออกไป
แค่นั้น
ไม่มีอะไรแปลก
ภูผาไม่ใช่คนที่ทารุณกับลูกน้องมากขนาดที่ว่าจะตึงทุกระเบียดนิ้วหรอก แต่ก็ต้องคงไว้ด้วยระเบียบวินัยในการทำงาน กฎบางกฎที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัดก็ต้องยอมรับให้ได้ ส่วนกฎในที่หยวนได้ก็จะพิจารณาทีหลัง เช่นว่าการลาป่วย ลากิจ ลาป่วยได้ตลอดไม่มีข้อแม้ ส่วนลากิจต้องเป็นธุระที่สำคัญ พ่อตายแม่ป่วย ปู่ย่าตายายเข้าโรงพยาบาล ถ้ามีหลักฐานก็ไปได้หมด เขาไม่บ่ายเบี่ยงอยู่แล้ว
ทำให้พนักงานไม่ต้องทนกับอะไรมากมาย ยกเว้นท้ายเดือนที่มีการประเมินที่ทุกสิ้นเดือนจะต้องมานั่งตัวเกรงรอผลออกวันที่หนึ่ง ถ้าไม่นึกว่าเป็นการทำงาน การเกร็งรอผลก็คงจะเป็นเกร็งรอหวยออกแทน
“พ่อเลี้ยงครับ ๆ” แสนเดินเข้ามาหาผู้เป็นนาย ทำท่าเหมือนจะกระซิบกระซาบบางอย่าง ทำให้ภูผาต้องโบกมือให้ผู้จัดการออกไปและหันมาถามลูกน้องตน “มีอะไรวะ”
“บัญชีรายชื่อลูกหนี้ที่ปิดหนี้เดือนนี้ครับ”
“มีแค่สี่คนเองเหรอ ที่มึงส่งไปให้กูดูเมื่อเดือนที่แล้ว รายชื่อที่ต้องปิดหนี้ภายในเดือนนี้ต้องมีห้าคนไม่ใช่เหรอวะไอ้แสน” ขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้แหละครับที่จะพูด คือว่า..พ่อเลี้ยงครับ พวกผมติดต่อลูกหนี้คนนี้ไม่ได้ แบบว่ามันคงหนีหนี้แล้วอะครับ” แสนยิ้มแห้งบอกเจ้านาย จนภูผาเบนหน้าออกจากเอกสารขึ้นมามองหน้าลูกน้อง ทำให้แสนทำหน้าตาขึงขังขึ้นทันที
“มันเป็นใคร รู้ข้อมูลมันไหม”
“รู้ครับ เอกสารที่มันให้ไว้อยู่นี่ครับลูกพี่” ยื่นให้
พ่อเลี้ยงภูผารับเอกสารขนาดเท่ากับกระดาษเอสี่สีขาวมาอ่านรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ เป็นข้อมูลส่วนตัวที่เจ้าตัวเต็มใจทำสัญญาไว้
“ติดต่อผู้ค้ำประกันได้ไหม” ถามลูกน้อง
“ยิ่งแล้วใหญ่เลยครับลูกพี่ ติดต่อไม่ได้สักเบอร์”
“เบอร์เก่า..” เขาพูดกับตัวเอง “มันตั้งใจบิดเงินเราตั้งแต่แรก” เขาบอก
“แล้วแบบนี้จะเอายังไงดีล่ะครับพ่อเลี้ยง”
“หาตัวมันให้เจอ เอาตามข้อมูลที่มีอยู่ กูว่ามันคงไม่ฉลาดพอที่จะหนีหนี้กูเท่าไรหรอก ไอ้นี่..เป็นแค่นักเลงกระจอกยังจะกล้ามาตลบหลังกู”