เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป คนที่ถูกบังคับให้ทำเรื่องยากเริ่มมีสีหน้าย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ความหนักอกหนักใจถาโถมจนแทบอยากจะร้องไห้ ไม่รู้ว่าควรจัดการเช่นไรดี ทว่าในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้างคนถูกข่มขู่ เมื่อนางกำนัลนางหนึ่งเดินแยกตัวออกมาจากกลุ่มด้วยใบหน้าซีดเซียว ร่างบอบบางเดินโซซัดโซเซมาทางพุ่มไม้ที่อาถิงซ่อนตัวอยู่
ท่ามกลางความกลัดกลุ้มไร้ทางออก จู่ๆ ร่างของแม่นางคนงามก็ทรุดฮวบลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้นดิน
อาถิงกะพริบตาปริบๆ ชะเง้อคอออกไปดูด้วยความตื่นตระหนก “เกิดอะไรขึ้นน่ะ!” เขาตกใจไม่น้อย ไม่รู้ว่านางเป็นลมหรือสิ้นใจไปแล้ว แต่ชั่วพริบตานั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว... ‘นี่มันส้มหล่นใส่มือข้าชัดๆ!’
อาศัยจังหวะปลอดคน เขารีบพุ่งตัวเข้าไปหาดรุณีนางนั้น ก่อนยื่นมือหยิบกลีบดอกท้อที่ร่วงหล่นบนแก้มขาวซีดออกให้นาง แล้วใช้นิ้วชี้อังที่ปลายจมูก ‘ยังไม่ตาย... โอว์ สวรรค์ ท่านเมตตาข้าแล้ว ขอบคุณท่าน อาถิงขอบคุณท่านจริงๆ’
เมื่อแน่ใจว่านางเพียงแค่หมดสติ เขาจึงยกมือไหว้ปลกๆ ‘พี่สาว ได้โปรดยกโทษให้อาถิงด้วย’ ก่อนจะรีบแบกร่างไร้สติขึ้นบ่า พาเข้าไปหลังพุ่มหญ้าเหมาที่ขึ้นรกชัน
อาถิงวางร่างนางกำนัลลงอย่างเบามือที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา บ่าวผู้ซื่อสัตย์แห่งสกุลฉีหลับหูหลับตายื่นมือสั่นเทาไปปลดเปลื้องอาภรณ์ของสตรีดวงซวยผู้นั้นด้วยความรวดเร็ว เมื่อได้ชุดที่ต้องการสมใจ เขาจึงถอดเสื้อตัวนอกของตนสวมใส่คืนให้นางเป็นการแลกเปลี่ยน
“พี่สาว เสื้อผ้าของข้าอาจจะสกปรกไปสักหน่อย ทั้งยังมีกลิ่นเหงื่อไคลอยู่บ้าง ท่านก็อย่าได้ถือสา อดทนใส่ไปก่อนเถิดนะขอรับ” อย่างน้อยก็ยังดีกว่าปล่อยให้นางนอนเปลือยกายตากลมอยู่เช่นนี้ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น อาถิงก็รีบหอบอาภรณ์ชุดนางกำนัลวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
..ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวาง ผนังด้านหนึ่งตกแต่งด้วยชั้นวางของประดับประดาไปด้วยของสะสมกระจุกกระจิก ทั้งเครื่องจักสานรูปแมลงนานาชนิด ไม้แกะสลัก แจกัน โคมกระดาษ และม้วนตำราไม้ไผ่ ถัดไปเป็นเตียงหลังใหญ่ที่เจ้าของห้องร่างเพรียวบางกำลังเดินวนไปเวียนมาราวกับมดบนกระทะร้อน
เวลาใกล้เข้ามาทุกที ไม่รู้ว่าอาถิงจะทำงานสำเร็จหรือไม่ ทว่ารอเพียงไม่นาน บ่าวคนสนิทก็วิ่งตึกตักหอบหิ้วอาภรณ์นางกำนัลเข้ามา
“นายน้อย ข้ามาแล้วขอรับ”
“อาถิง! เจ้ามาแล้ว” ฉีอันฉีหันขวับมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง ใบหน้าฉายแววตื่นเต้นยินดี เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ใช้วิธีข่มขู่บ่าวคนนี้
อาถิงยิ้มแห้งพลางยื่นของในมือให้ “ได้ชุดมาแล้วขอรับ”
“วิเศษ! เจ้าทำได้ดี ทำได้ดีมาก ไม่เสียแรงที่เจ้าติดตามข้ามานานเพียงนี้” นายน้อยรับชุดนางกำนัลมากอดไว้แนบอก เขาพูดว่า “อาถิง เห็นแก่ความดีความชอบครั้งนี้ รอข้ากลับมาแล้ว ข้าจะมอบรางวัลชิ้นใหญ่ให้เจ้า”
“นายน้อย ท่านจะทำอย่างไรกับชุดนี้หรือขอรับ? ...แต่ เอ๊ะ! เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรนะ? รอท่านกลับมา? ท่านคิดจะไปไหนหรือขอรับ? จะให้อาถิงติดตามไปรับใช้ด้วยหรือไม่?”
“ข้าจะสวมชุดนี้อย่างไรเล่า” ฉีอันฉีตอบคำถามแรกอย่างไม่ลังเล ก่อนจะหันมาตอบคำถามหลัง “ส่วนเจ้า... อยู่ที่นี่ ไม่ต้องตามข้าไป”
“หา! ทะ...ท่านจะสวมชุดสตรีนี่น่ะหรือ! นายน้อย ท่านล้อข้าเล่นใช่หรือไม่?”
ฉีอันฉีหุบยิ้มแทบไม่ทัน เปลี่ยนสีหน้าเป็นขึงขังทันควัน “บิดามันเถอะ ข้าดูเหมือนคนกำลังล้อเล่นกับเจ้าหรือไง?”
“โธ่! นายน้อย ท่านจะเล่นซนเกินไปแล้วนะ ท่านอย่าบอกนะว่า ท่านคิดจะแฝงตัวเข้าไปในขบวนนางกำนัล ท่านต้องสติวิปลาสไปแล้วแน่ๆ”
“ข้าจะตามไปอยู่ข้างกายพี่หญิง มีอะไรไม่ดี”
“หา!” อาถิงอุทานเสียงหลงยิ่งกว่าครั้งแรก “นี่ท่าน... คิดจะปลอมตัวเข้าไปอยู่ในตำหนักไฉ่หง ไปอยู่กับคุณหนูในที่แบบนั้นหรือขอรับ!”
“ถูกต้อง”
“โอว์ พระพุทธองค์ช่วยลูกช้างด้วย นายน้อยยย... ท่านรู้ตัวหรือไม่ ท่านกำลังหาเรื่องใส่ตัว หากถูกจับได้ขึ้นมา ท่านปลอมเป็นสตรีลอบเข้าวังฝ่ายใน มีหวัง...” อาถิงทำท่าปาดคอตัวเองประกอบ หวังเตือนสติเจ้านายน้อย แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม
“เจ้าจะกลัวไปไย นี่ใคร?” ฉีอันฉีชี้จมูกตัวเองอย่างอวดดี “ข้า! คือฉีอันฉีเชียวนะ”
ก็จริงอยู่ที่นายน้อยของเขาฉลาดหลักแหลม ไม่เคยเสียเปรียบผู้ใดและเอาตัวรอดได้เสมอ แต่ครั้งนี้เดิมพันด้วยชีวิต อาถิงรีบแย้ง “แต่มันเสี่ยงเกินไป นายน้อยได้โปรดไตร่ตรองดูใหม่เถิดขอรับ”
“หุบปากซะ! แล้วรีบไสหัวมาช่วยข้าแต่งตัวเร็วเข้า”
“นายน้อยย..อื้อ!” อาถิงกระทืบเท้าอย่างขัดใจ ปากก็โอดครวญไม่หยุดหย่อน แต่สุดท้ายก็จำต้องถอนหายใจยอมจำนน “ก็ได้ขอรับ... นายน้อย”
ณ. โถงกว้างกลางคฤหาสน์สกุลฉี บรรยากาศเงียบงันเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกไปแล้วนะเจ้าคะ”
ร่างระหงในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มรุ่มร่าม ประสานมือไว้ที่เอว ยอบกายคารวะบุพการีอย่างนอบน้อมเพื่อกล่าวคำอำลา อีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า ขบวนจากวังหลวงจะมารับตัวนางเข้าสู่พิธีสมรส
บุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่งสมตำแหน่งเจ้าแคว้นฉี ยืนหน้าเคร่งขรึม คิ้วเข้มขมวดมุ่นเคียงข้างฮูหยินคู่ชีวิต ทั้งสองจ้องมองบุตรสาวในชุดมงคลด้วยแววตาปวดร้าว มือหยาบกร้านจากการจับดาบทำศึกของบิดาสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อยื่นออกไปหมายจะสัมผัสบุตรสาว แต่แล้วกลับชะงักค้าง ก่อนจะหักห้ามใจดึงมือกลับมาแล้วสะบัดแขนเสื้อหันหลังให้นางแทน
“ฮึ่ย!”
คนอย่างเจ้าแคว้นฉี ผู้เจนจัดในสนามรบ ไม่เคยรู้สึกอับจนหนทางถึงเพียงนี้ เขาไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเลยว่าเหตุใดหวยจึงมาออกที่บุตรสาวของตน ไฉน 'ฉีเยี่ยนฟาง' จึงถูกเลือกให้สมรสกับองค์ชาย 'โจวอิ้งเยว่' ทั้งที่นางเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชทายาท 'โจวเจี้ยนกั๋ว' ยิ่งกว่าใคร
เมื่อครั้งที่เขายังดำรงตำแหน่งชิงต้าฟู(เสนาบดี) ก่อนจะเลื่อนขั้นเป็นเจ้าแคว้นตามพระบัญชาของเทียนจื่อ(กษัตริย์) เขาเคยเห็นองค์รัชทายาทเจี้ยนกั๋วมาตั้งแต่วัยเยาว์ เด็กหนุ่มผู้นั้นเฉลียวฉลาด รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและมีจิตใจเมตตาอารีย์ หากเยี่ยนฟางได้ครองคู่กับคนเช่นนั้นก็นับเป็นวาสนาของสกุลฉีแล้ว
ผิดกับองค์ชายอิ้งเยว่... แม้มิได้เลวร้าย แต่ฐานะของเขานั้นเปราะบางยิ่งนัก เขาเป็นเพียงโอรสของอดีตพระสนมกุ้ยเฟย ผู้ซึ่งเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิเหนือหญิงใด จนสร้างความริษยาชิงชังไปทั่ววังหลัง ไม่เว้นแม้แต่อัครมเหสีลู่เสียน ความเกลียดชังนั้นย่อมตกทอดมาสู่สายเลือดเพียงคนเดียวของนาง
หากฉีเยี่ยนฟางต้องแต่งเข้าตำหนักไฉ่หง ย่อมไม่แคล้วตกเป็นเป้าโจมตีของอัครมเหสี รองจากองค์ชายอิ้งเยว่ แล้วบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาจะมีชีวิตรอดปลอดภัยได้อย่างไรกัน
“ท่านพ่อ...” น้ำเสียงของฉีเยี่ยนฟางสั่นเครือ นัยน์ตาคู่สวยรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา นางรู้ดีว่าบิดาสะเทือนใจเพียงใด นางเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน ทว่า... ร้องไห้ฟูมฟายไปตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเล่า มิสู้ยอมรับชะตากรรมที่เบื้องบนลิขิตมาแล้วให้เข้มแข็งมิดีกว่าหรือ
ราชโองการสายฟ้าแลบเมื่อหนึ่งเดือนก่อนยังคงดังก้องในความทรงจำ...
‘ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งเทียนจื่อ มีพระราชประสงค์ประทานสมรสแก่บุตรตรีท่านฉีห่าวหราน เจ้าแคว้นฉี ขอให้เตรียมการให้พร้อมสรรพ ภายในหนึ่งเดือนทางวังหลวงจะส่งขบวนมารับตัวฉีเยี่ยนฟาง เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกับองค์ชายอิ้งเยว่ จบราชโองการ’
แม้คนสกุลฉีจะไม่เต็มใจ แต่ราชโองการเปรียบดั่งประกาศิตจากสวรรค์ หากขัดขืนย่อมหมายถึงข้อหากบฏ มีแต่ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมเท่านั้น