ตอนที่ 1
หุบเขาสยาอวิ๋น
พื้นที่โดยทั่วไปมีต้นไม้ขึ้นอยู่มากมายสูงต่ำสลับกันมองเห็นหมอกขาวปกคลุมกระจายไปทั่วทั้งหุบเขา เสียงย่ำเท้าเดินขึ้นมาตามทางเล็กๆ ที่ขรุขระมีก้อนหินใหญ่เล็กไปทั่ว มองดูเป็นเส้นทางที่แทบไม่มีคนเดินผ่านสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นหญ้าและกิ่งไม้รุกล้ำเข้ามาในเส้นทาง สองมือขาวราวหยวกแหวกใบไม้ไต่ขึ้นมาถึงริมผาสูงชันมีต้นไม้สูงใหญ่ที่ใหญ่ดูเก่าแก่ที่สุดเดินห่างบริเวณโคนต้นไม้ออกมาเล็กน้อยภายใต้ร่มเงา มองเห็นพุ่มดอกไม้ป่าส่งกลิ่นหอมจางๆ ล้อมรอบเนินดินสองเนินมองดูคล้ายหลุมฝังศพอยู่เคียงข้างเป็นหลุมฝังศพแต่ไร้ป้ายชื่อราวกับว่าไม่ต้องการให้ผู้ใดเข้ามารบกวนการพักผ่อนของทั้งสองผู้ที่หลับใหลอยู่ด้านล่าง
เด็กสาวรูปร่างเพรียวบางแต่งกายเช่นสาวชาวป่าดวงตาที่สวยงามราวกับเทพธิดาที่บริสุทธิ์ท่ามกลางป่าเขา ยืนมองไปข้างหน้าแม้จะเดินขึ้นเขามานานเกือบครึ่งชั่วยามแต่ลมหายใจของเด็กสาวยังคงเรียบไร้วี่แววเหนื่อยหอบที่แม้แต่ชายหนุ่มที่ร่างกายแข็งแรงทั่วไปก็ต้องมีอาการหายใจลำบากแต่เด็กสาวยังคงมีใบหน้าที่นิ่งเรียบ นี่เป็นผลจากกำลังภายในที่กล้าแกร่งไม่ธรรมดาของนาง
“ผ่านมาปีกว่าแล้วนะท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านสองคนได้อยู่ด้วยกันที่นี่คงมีความสุขมากเหมือนครั้งที่พวกเราสามคนอยู่ด้วยกันเป็นแน่ พวกท่านดูสิวันนี้ข้าไว้ทุกข์ครบหนึ่งปีแล้วข้าแต่ยังเศร้าเสียใจอยู่เลยและข้าคิดดูแล้วเพื่อให้ข้าทำใจกับการจากไปของพวกท่านให้ได้
วันนี้ข้าจะมาบอกกล่าวท่านพ่อท่านแม่ว่า ข้าขอไปท่องเที่ยวสำรวจพื้นที่รอบนอกของหุบเขาสยาอวิ๋น บางทีข้าอาจจะใช้เวลาไปหลายวันหน่อยคงมิได้มาเยี่ยมท่านทั้งสองในช่วงนี้ได้ พวกท่านวางใจข้าดูแลตัวเองได้ข้ามีเยว๋หว่านไปเป็นเพื่อน ท่านพ่อท่านแม่ข้าไปล่ะ”
เด็กสาวกระพริบเบาๆ พยายามไม่ให้น้ำตาเอ่อออกมาจากดวงตาคู่สวยก่อนที่จะก้มลงคำนับให้กับเนินดินทั้งสอง นางเดินเรื่อยๆ ราวกับยังลังเลกับการตัดสินใจของตนเองจนกระทั่งผ่านไปนานราวครึ่งชั่วยาม เบื้องหน้าปรากฏเรือนไม้ขนาดไม่เล็กนักแต่ยามนี้มันกลับดูใหญ่โตจนหน้าใจหาย เมื่อนางต้องอยู่ลำพังคนเดียวมานานหลายเดือน
หน้ากระท่อมไม้ขนาดสี่ห้อง ห้องแรกเป็นห้องนอนของท่านพ่อท่านแม่ ถัดเข้าไปห้องนอนของนาง ห้องฝึกฝนด้านสมุนไพรและหลอมโอสถ และห้องหนังสือแบ่งตัวเรือนแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ตรงกลางเป็นที่โล่งๆ บ้านที่นางอาศัยอยู่ตั้งแต่ได้รับการเลี้ยงดูจากท่านทั้งสองที่นี่อบอวลไปด้วยความเป็นครอบครัว ท่านแม่ที่ดุแสนดุต่างจากใบหน้าที่แสนงดงามในสายตาของนางทุกเช้าเย็นคอยเคี่ยวเข็ญให้นางร่ำเรียนวิชาความรู้ทุกอย่างที่นางตั้งใจถ่ายทอดให้ ตนเองเคยสงสัยเหตุใดต้องบังคับนางให้เรียนและฝึกตลอดเวลาบางครั้งนางบาดเจ็บ เจ็บป่วยคนที่ร้องไห้เสียใจยามค่ำคืนก็เป็นท่านแม่ที่แอบเข้ามาดู ท่านพ่อที่ยิ้มให้ทุกคราที่นางหันไปมอง ท่านพ่อเป็นคนใจเย็นใจดีแตกต่างจากท่านแม่ที่ใจร้อนขี้โมโหอย่างชัดเจน ยามที่ท่านถ่ายทอดความรู้ให้จะสอนอย่างละเอียดอีกทั้งทำซ้ำๆ ช้าๆ ค่อยๆให้กำลังใจยามที่เด็กน้อยอย่างนางไม่เข้าใจ สายตามองไปรอบๆ หากอยู่ที่นี่ทุกอย่างจะวนเวียนเช่นนี้ นางจะมีชีวิตต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างไร เด็กสาวตัดใจจึงหันหลังไปจูงม้าที่คอกเล็กๆ ด้านข้างออกมา
ด้านนอกมีม้าป่าตัวใหญ่สีดำสนิท ขนเงางามเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่สวยงามยืนเล็มยอดหญ้าอยู่ มันส่งเสียงตอบรับหญิงสาวเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้านางเดินเข้ามา หากชาวบ้านในเมืองได้พบเห็นมันต้องไม่เชื่อแน่นอนว่าม้าป่าตัวนี้จะเคยเป็นลูกม้าแรกเกิดที่ถูกฝูงม้าละทิ้งมาก่อน สองปีก่อนหลังจากที่ท่านพ่อป่วยหนักแล้วจากนางกับท่านแม่ไป แต่ละวันนางมองดูท่านแม่ที่สูญเสียกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ค่อยๆล้มป่วยลงเพราะจิตใจที่หดหู่เศร้าหมองคิดถึงท่านพ่อที่จากไป ยามที่ท่านแม่ป่วยหนักที่สุดนางทำใจไม่ได้วิ่งเตลิดออกไปท่ามกลางหิมะตกลงมาตลอดเวลาล้มลุกคลุกคลานไปตามเนินเขา ได้ไปพบลูกม้าผอมแห้งอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังไม่มีแม่ม้า ไม่มีฝูงม้าอยู่แถวนั้น เพียงสบตากันเด็กน้อยวัยสิบเอ็ดปีในยามนั้นก็รู้สึกสื่อถึงกันได้ว่าต่างก็ต้องการที่ยึดเหนี่ยว ร่างที่ผอมบางของเด็กอย่างนางพยายามที่จะอุ้มมันกลับมา เด็กน้อยฝังร่างมารดาลงคู่กับบิดาที่ใต้ต้นไม้ที่ซึ่งทั้งสองชมชอบการดูทิวทัศน์ด้วยกัน จากนั้นก็พยายามรักษาและดูแลเจ้าม้าผอมแห้งจนกลายเป็นม้าที่สวยงาม แข็งแรง ดุดันเช่นที่เห็นทุกวันนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า นางแอบหัวเราะในใจม้าที่สวยงามยามนี้สะพายรั้งไปด้วยสิ่งต่างๆ กระบอกใส่ลูกธนู ถุงผ้าใส่สัมภาระ และอุปกรณ์อ**บางส่วน รุงรังอย่างยิ่งทั้งเจ้าม้าก็แสดงอาการหงุดหงิดไม่พอใจแต่ก็ยอมขนของให้นางมันเดินนำหน้าไปแต่โดยดี
หลังจากมองเรือนจนพอใจนางหันหลังวิ่งไปเหวี่ยงกายขึ้นหลังม้าทั้งสองค่อยๆ เดินห่างออกไปจากกระท่อม เด็กสาวกับม้าเดินท่องเที่ยวไปเรื่อยๆทั้งคู่ตระเวนไปพื้นที่รอบๆ หุบเขาไกลออกไปจากเส้นทางเดิมที่เคยใช้ทุกวัน เมื่อพบสมุนไพรก็เก็บใส่ถุงผ้าแขวนไว้แค่่พอใช้งาน เจอสัตว์เล็กที่พอเป็นอาหารก็ล่าให้เพียงพอแต่ละมื้อเท่านั้นนางยึดตามคำสอนของท่านพ่อทำสิ่งใดทำแต่พอดีมากเกินไปทำให้ธรรมชาติสูญเสีย พืชบางชนิดทำยาพิษได้นางก็เก็บแยกไว้อีกถุง สิ่งที่ท่านแม่สอนนางก็จำใส่ใจเป็นสตรีระวังตัวหน่อยดีที่สุด
“เยว๋หว่าน พวกเราหยุดพักที่ลานด้านหน้าดีกว่า เดินอีกไม่ไกลเราก็เกือบจะออกจากพื้นที่ของหุบเขาสยาอวิ๋นเข้าพื้นที่เขตป่าชั้นนอกแล้ว”
ม้าส่งเสียงตอบรับเดินไปพักผ่อนฝั่งหนึ่งเล็มยอดหญ้าอย่างสบายใจกวัดแกว่งหางไล่แมลงเป็นบางครั้ง มือเรียวของชิงหมิงเยว่กำลังชำแหละกระต่ายป่าและหมูป่าตัวกระทัดรัด ล้างทำความสะอาดคลุกเคล้ากับสมุนไพร เกลือ และเครื่องปรุงเล็กน้อยที่ติดตัวมาจากกระท่อม การเคลื่อนไหวมือนั้นคล่องแคล่วไปมาเพียงไม่นาน ไฟที่ก่อไว้ก็มีเสียงน้ำมันจากเนื้อย่างหยดลงไป กลิ่นหอมเริ่มกระจายออกมา ผลสาลี่ป่าที่ล้างแล้วถูกกัดเบาๆ น้ำหวาน ปนฝาดน้อยๆเข้าปากบางให้ความรู้สึกสดชื่นไม่น้อย
ชายป่าด้านนอกเขตติดต่อกับหุบเขาสยาอวิ๋น เสียงฝีเท้าหนักรีบเร่งบ่งบอกว่ากำลังวิ่ง ใบไม้ต้นไม้ถูกแหวกดังต่อเนื่องเป็นทหารหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ดูแข็งแรงเสื้อผ้ามีร่องรอยขาดหลายแห่งบ่งบอกว่าผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากกำลังแบกชายอีกคนที่สวมชุดที่ขาดวิ่น มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนผสมปนเปกับคราบดิน
“หากพวกเราข้ามเขตเข้าสู่หุบเขาสยาอวิ๋นได้ พวกมันก็คงไม่กล้าติดตามเข้าไปภายในแล้ว อย่าหลับนะขอรับ นายท่านอดทนไว้ขอรับ”
อวี่หลง ขุนพลหนุ่มที่ได้ชื่อว่าหนุ่มรูปงามติดอันดับหนึ่งในสิบของเมืองหลวง ยามนี้ไม่เหลือสภาพที่ชวนมองแม้เพียงนิดพยายามส่งเสียงตะโกนเรียกคนบนหลัง ระยะทางอีกไม่ไกลนักป่าทึบเบื้องหน้าคือทางรอดสุดท้ายของพวกเขาแล้ว เสียงฝีเท้า เสียงสุนัขเห่า เสียงม้า และการตะโกนไล่ล่าตามมาจากด้านหลังแม้จะหมดแรงแต่ก็พยายามฝืนทนไม่เช่นนั้นเลือดเนื้อและชีวิตของเหล่าทหารและองครักษ์ที่เสียสละไปย่อมไร้ประโยชน์
“บ้าที่สุด ปล่อยพวกมันเข้าไปในเขตหุบเขาสยาอวิ๋นแล้ว”
“ตามไหมขอรับ”
“อยากตายก็ตามเข้าไปสิ เจ้าโง่”
สยาอวิ๋นคือหุบเขาที่เป็นอณาเขตของธิดาพิษซิ่วอี๋สยากับหมอเทวดาฟู่ชิงหลง นางผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการวางยาพิษ ข่ายกลและอาวุธลับหากมิใช่ตกลงปลงใจกับหมอเทวดาคงมิหันหลังให้ยุทธภพ จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายเพราะนางอีกนับไม่ถ้วน ในเวลายี่สิบกว่าปีมานี้หาผู้ใดกล้าลุกล้ำเข้าไปในเขตหุบเขาแห่งนี้ได้สำเร็จ มีคนเคยอยากพบหมอเทวดาลองก้าวล้ำเข้าไปแล้วแต่ไม่มีใครได้กลับออกมา โทษของผู้บุกรุกคือตายเท่านั้นนี่เป็นกฏเป็นสิ่งที่ผู้คนในยุทธภพต่างรู้กันดี
“ช่างเถอะ ยังไงพวกมันก็ไม่รอด พวกเจ้าให้คนค่อยจับตาดูเอาไว้รอบๆ ทางเข้าหุบเขาสยาอวิ๋น”
“ขอรับ”
เสียงน้ำไหลอยู่ไม่ไกล อวี่หลงพยายามลากเท้าไปต่อไปแม้ว่าลำคอจะแห้งผากกลิ่นคาวเค็มตีขึ้นมาในลำคอบนแผ่นหลังแบกชายตัวโตไว้ มือยังคงจับกระบี่และรั้งแขนและขาของอีกฝ่ายไม่ให้ร่วงลงไป เมื่อแหวกพุ่มไม้ออกเพื่อเดินต่อไป ทันใดรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งกำลังพุงเข้าใส่จึงเอียงตัวหลบ “ฉึก” ลูกธนูปักเข้าที่ต้นไม้ แม้ไม่่ทำให้เป็นอันตรายแต่เจตนาชัดเจน คือเตือนมิให้ขยับตัว เสียงฝีเท้าเบาค่อยๆเดินเข้ามา ผู้มาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ฝีมือสูงกว่าเขาแน่นอน
“พวกเจ้าเป็นใคร”
เสียงเบาๆ ดังด้านข้างใกล้ๆตัวอวี่หลงพยายามเอี้ยวตัวไปก็พบร่างเล็กจ้อยของเด็กสาวตัวน้อย หน้าตาหมดจดมีเค้าโครงความงามอีกไม่กี่ปีจะต้องเป็นสาวงามแน่นอนเพียงแต่ใบหน้าและแววตาแสดงออกด้วยความเย็นชาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ สื่อออกมาให้เห็น ในหุบเขาสยาอวิ๋นที่อันตรายเช่นนี้กลับมีเด็กน้อยที่งดงามเช่นนี้ได้ บางทีเขาอาจโชคดีมีชีวิตรอดกลับไป เขามองแววตาของอีกฝ่ายมิได้มีแววสังหารหรือทำอันตรายออกมาจึงเอ่ยปากด้วยเสียงแหบแห้ง
“เด็กน้อย พวกข้าไม่ใช่คนไม่ดี พวกเราสองคนถูกลอบทำร้ายระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง ถูกศัตรูไล่ล่าสิ้นหนทางจึงต้องรุกล้ำเข้ามาในเขตหุบเขาสยาอวิ๋น ไม่มีเจตนาไม่ดี”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบเอ็ดปีที่ชิงหมิงเยว่ได้พบผู้คนจากภายนอก นางมองจ้องสำรวจคนทั้งสองนี่เป็นความแปลกใหม่ที่นางได้เจอ สภาพย่ำแย่ดูไม่ได้เลยทั้งสองคน บาดแผลเต็มไปหมดซ้ำคนที่อยู่บนหลังยังได้รับพิษร้ายแรง แต่ดูแล้วชายคนที่แบกอีกฝ่ายไว้คงไม่อาการของอีกคนด้วยซ้ำก่อนหน้าจึงวิ่งทำให้หน้าอกอีกคนกระแทกต่อเนื่อง ระหว่างที่นางกำลังจดจ่อกับความคิดของตัวเอง ชายเบื้องหน้าก็ส่งเสียงคล้ายวิงวอนออกมา
“เด็กน้อย เจ้าพอมีเสบียง เอ่อ น้ำกับอาหารแบ่งปันให้เราสองคนบ้างได้หรือไม่ พวกเราขอพักที่นี่อาศัยกองไฟของเจ้าด้วย ยามนี้พวกข้าหลบนี้ศัตรูไม่มีสิ่งใดเหลือติดตัวมา”
“ได้ ไปพักด้านนั้น”
หลังจากมองไปรอบๆ เห็นมีกองไฟลุกไหม้อยู่จึงลองเอ่ยปากขอกับนาง ชิงหมิงเยว่ชี้ไปที่แท่นหินอีกฝากของกองไฟ ก่อนที่จะเดินกลับไปพลิกย่างเนื้อต่อ อวี่หลงรีบพาเจ้านายของตนไปนั่งกึ่งนอนพิงกับโคนต้นไม้ใหญ่ที่มีแท่นหินอยู่ด้านข้าง
“น้ำ”
ชิงหมิงเยว่มองชายร่างสูงใหญ่ที่เจ็บหนักส่งเสียงแหบแห้ง ส่วนชายอีกคนที่อายุน้อยกว่าท่าทางดีใจที่เห็นอีกคนส่งเสียงออกมาก็รีบขยับเอาใบไม้ตักน้ำวิ่งไปที่ลำธาร นำน้ำวิ่งกลับมาเตรียมจะป้อนเข้าปากอีกฝ่ายทันที
“หากไม่อยากให้เขาตายเร็วขึ้น ก็อย่าได้ป้อนน้ำแก่เขา คนผู้นั้นโดนพิษ”
มือที่กำลังจะป้อนน้ำบนใบไม้หยุดชะงักทันที สีหน้าตื่นตระหนกนี่ท่านแม่ทัพถูกพิษมิน่าตลอดทางที่หลบหลีกศัตรูจึงไม่ส่งเสียงออกมาสักนิด ส่วนตัวเขาก็มองไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่ได้สังเกตความผิดปกติของท่านแม่ทัพที่อาการทรุดหนักขึ้นเลยสักนิด
“ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ดีเองปกป้องท่านไม่ได้”
อวี่หลงพึมพำในลำคอก่อนจะหันไปหาเด็กหญิงอีกด้านของกองไฟ ส่งสายตาขอความช่วยเหลือเขามั่นใจว่าเด็กหญิงเบื้องหน้าอาจจะสามารถช่วยเหลือท่านแม่ทัพได้ หากสามารถบอกว่าโดนพิษได้ย่อมมีหนทางช่วยได้เขาเชื่อเช่นนั้น
“เด็กน้อย เจ้ามองออกว่านายท่านถูกพิษ เช่นนั้นเจ้าสามารถช่วยท่านได้หรือไม่”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารักษา(คน) เจ้าว่าไงล่ะ”
“ได้โปรดช่วยเจ้านายของข้าด้วยเถอะ ได้โปรด”
เขาค้อมศีรษะขอร้องขอความช่วยเหลืออย่างไม่คิดถึงความเหมาะสมใดๆทั้งสิ้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กสาวที่น่าจะยังไม่ปักปิ่นด้วยซ้ำ ขอเพียงนางยินดีช่วยสิ่งใดที่นางต้องการเขายินดีทำทั้งสิ้น
“ถอยไป”
ชิงหมิงเยว่เดินตรงเข้าไป อวี่หลงรีบเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างเขาไม่รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อยที่เด็กน้อยเบื้องหน้าพูดจาไม่มีหางเสียงใส่ตน เขามองดูนางแหวกเนื้อผ้าออกค่อยๆตรวจดูบาดแผลตามร่างกาย เปิดเปลือกตา จับชีพจรของท่านแม่ทัพโดยละเอียดก่อนที่นางจะหันเดินกลับไปที่ห่อผ้า ก้มลงค้นหาสิ่งของภายใน ชั่วอึดใจก็หันกลับมาพร้อมโยนบางสิ่งมาให้เขารีบคว้าไว้ทันที เมื่อแบมือออกเป็นโถกระเบื้องขนาดจิ๋วมีจุกผ้าสีขาวอุดไว้ด้านบน
“ให้เขากลืนลงไป แล้วเจ้าเช็ดทำความสะอาดแผลใช้สมุนไพรพวกนี้บดให้ละเอียดพอกไว้ที่ปากแผล เลือดจะได้หยุดไหล" (ก่อนที่จะไหลจนหมดตัวตายเสียก่อน นางขี้เกียจพูด)
เขามองพืชสีเขียวที่นางกำส่งมาให้รับมาด้วยความจนใจ เขาไม่รู้จักพวกมันทำเพียงต้องเชื่อใจนาง
________________________________________
เวลา
ยามจื่อ (23.00 - 00.59)
ยามโฉ่ว (01.00 - 02.59)
ยามอิ๋น (03.00 - 04.59)
ยามเหม่า (05.00 - 06.59)
ยามเฉิน (07.00 - 08.59)
ยามซื่อ (09.00 - 10.59)
ยามอู่ (11.00 - 12.59)
ยามเวย (13.00 - 14.59)
ยามเซิน (15.00 - 16.59)
ยามโหย่ว (17.00 - 18.59)
ยามซวี (19.00 - 20.59)
ยามไฮ่ (21.00 - 22.59)