--ย้อนกลับไปเมื่อ 3 เดือนก่อน—
“นี่ ปู่เห็นข่าวว่าท่านอธิบดีมหาลัยที่เราเคยเรียนล้มป่วย หามกันส่งโรงพยาบาลดึกดื่น เราได้รับเคสนี้ไหม?”
เสียงชายแก่วัยเจ็ดสิบห้าปีเอ่ยถามหลานชายขณะที่ทุกคนบนโต๊ะอาหารกำลังตักข้าวเข้าปาก ก่อนที่ทุกคนจะหันไปมอง นายแพทย์นิรันดร์ ศัลยกรรมหัวใจ เป็นตาเดียว
“ช่วยกันดูแลกับหมออีกครับปู่”
นิรันดร์เอ่ยบอกคุณปู่ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลนี้มากับมือจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ แม้ตอนนี้จะวางมือไปนานแล้วแต่ก็ยังคงติดตามข่าวสารแทบทุกวินาที ไม่ใช่ไม่ไว้ใจลูกหลานหรอกหนาแต่เพราะเป็นคนชอบทำงานหากก่อนหน้านี้ลูกชาย (เนวัช) ไม่เอ่ยปากขอให้หยุดพัก ป่านนี้ตนคงเดินเหินอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นแน่
“แล้วช่วงนี้เป็นไง เห็นบอกว่าจะปรับตำแหน่งอาจารย์หมอใหม่รึ?”
คุณปู่ไม่วายที่จะอยากรู้หันไปถามลูกชายที่ตอนนี้เข้าไปบริหารโรงพยาบาลอย่างเต็มตัว โดยมีนิรันดร์ลูกชายคนโตคอยช่วยอยู่
“ปรับเรียบร้อยแล้วพ่อ แก่ปูนนี้แล้วไม่ต้องรู้เยอะหรอกครับ เลิกอ่านข่าวแล้วหาเวลาพาแม่ไปเที่ยวบ้างเถอะ”
“บร้ะ! ไอ้นี่ เอ็งก็พึ่งพูดไปหยก ๆ ว่าฉันแก่ ยังจะสรรหาให้ไปเที่ยวไหนอีก! แค่จะก้าวเท้าออกบ้านยังยากสำหรับคนอายุเจ็ดสิบห้าอย่างฉันเลย!” คุณปู่เอ็ดเนวัชไปทีทำเอาผู้คนบนโต๊ะอาหารยกยิ้มอย่างเป็นเรื่องชินหูชินตาไปเสียแล้วเพราะสองพ่อลูกคู่นี้ไม่เคยยอมกันเลยสักครั้ง
“แล้วเราละนิชา ไปฝึกงานเป็นยังไงบ้าง ที่บอกว่าจะเอามาอวดย่านะ ได้มารึยัง”
นิชายกยิ้มแหยะ ๆ อุตส่าห์อยู่เงียบ ๆ เป็นผู้ฟังที่ดีแล้วเชียว คุณย่าสุดแสนใจดีของเธอยังจะวกหันมาถามอีก
“หนูพึ่งฝึกงานได้แค่สองอาทิตย์เองนะคะคุณย่า”
หลานสาวคนโปรดเอ่ยบอกคุณย่าเสียงออดอ้อนพร้อมหันไปส่งสายตาให้คุณปู่ที่อยู่ ๆ ก็ทำท่ามึนตึงขึ้นมา ก็มีอย่างที่ไหนทางบ้านมีธุรกิจโรงพยาบาลใหญ่โต ผู้ใหญ่ก็อุตส่าห์อุ่นใจหวังให้นิชาเข้ามาช่วยบริหารโรงพยาบาลทว่าเธอกลับขัดใจคุณปู่แล้วหนีไปเรียนโลจิสติกส์ซะงั้น หากตอนนั้นไม่มีคุณย่าคอยให้ท้ายละก็สังขารของไอ้นิชาคนนี้คงขาดลิ่วไม่เหลือแม้แต่นามให้ได้รู้จักหรอก
“นี่ถ้าเราเรียนอย่างที่ปู่บอก ป่านนี้คงได้เป็นหมออย่างพี่นิรันดร์มันไปแล้ว”
คนแก่ยกยอหลานชายคนโตขึ้นมาเปรียบเทียบ นิชาหันไปมองพี่ชายก่อนจะแบะปากใส่อย่างที่เคยทำ นิรันดร์เพียงไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ส่งสายตาบอกว่า ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน
“ไม่จบหรอกค่ะปู่ ชาไม่ชอบรักษาคน ฝืนเรียนยังไงก็ไม่จบหรอก ใช่ไหมแม่”
นิชาหันไปสะกิดคนเป็นแม่เพื่อหาพรรคพวกทว่าอีกคนกลับส่งยิ้มหวานมาเท่านั้น ไม่รู้ว่านิชานั้นลืมไปแล้วหรือไงว่า คนบ้านนี้ไม่มีใครกล้าต่อกลอนกับคุณปู่เลยสักคน จะเห็นที่ถกเถียงกับปู่บ่อย ๆ ก็มีแต่นิชากับคุณเนวัชเท่านั้นแหละ
เธอนะนิสัยได้พ่อมาอย่างกับแกะ
“ไม่ชอบก็เรียนได้ดูอย่างน้องชายเราสิ ตอนเด็ก ๆ ปู่เห็นมันเล่นแต่ปืน ถามทีไรก็บอกว่าอยากเป็นตำรวจ ๆ แล้วดูตอนนี้สิ สอบติดหมอตั้งแต่ยังเรียนมัธยมไม่จบด้วยซ้ำ เรานะ! เป็นผู้หญิงเสียเปล่า ไปทำงานอะไรก็ไม่รู้ จนป่านนี้แล้วปู่ก็ยังไม่เข้าใจ”
คนหัวโบราณบ่นยาวเป็นหางว่าวพลางส่ายหัวพลัน มีหลานอยู่สามคนก็อยากให้เป็นหมอหมดทั้งตระกูลไล่เลียงมาตั้งแต่รุ่นลูกสู่รุ่นหลาน เอาเข้าจริงก็คงจะมีแต่นิชานี่กระมังที่กล้าขัดใจคุณปู่คนนี้ ดื้อรั้นไม่ยอมฟังใคร ตอนเข้ามอบตัวมหาลัยก็แอบเอาพี่ชายไปเป็นผู้ปกครอง ทางครอบครัวมารู้ทีหลังว่าเธอไม่ได้เรียนหมอก็ตอนอยู่ปีสองแล้ว การโป๊ะแตกครั้งนั้นก็ทำเอาปู่หลานแง่งอลใส่กันไปหลายเดือนเลยทีเดียว
“เอาเถอะค่ะคุณปู่ อย่ามาตั้งความหวังกันหนูนักเลย พี่รันดร์ก็เป็นหมอแล้ว เดี๋ยวอีกไม่กี่ปีเจ้าชินก็เรียนจบแล้ว ส่วนหนู...ปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรมเถอะค่ะ หนูอยากทำในสิ่งที่หนูรักหนูชอบจริง ๆ”
“นั้นไง! คำเดิมไม่มีผิด” ปู่เค้นหัวเราะเมื่อคำพูดของหลานสาวนั้นเหมือนเดิมราวกับดูหนังม้วนเก่า “ปู่ปลงตั้งแต่เราไม่กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว”
ไม่กลับบ้านเพราะมัวแต่อยู่คอนโด ไม่ได้ติดเพื่อนติดผู้ชายที่ไหนหรอกหนา แค่ไม่อยากขับรถนาน ๆ
“คืนนี้หนูก็ไม่กลับนะคะ”
“ทำไม?”
นิรันดร์พี่ชายคนเดียวเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วเป็นปม เขาเข้าใจว่าน้องสาวตัวดีจะกลับมาอยู่ที่บ้านแล้วสะอีก อุตส่าห์อุ่นใจที่จะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันบ่อย ๆ นิรันดร์นั้นโหยหาความรู้สึกอบอุ่นที่อยู่ครบทั้งครอบครัวเหลือเกิน
“ที่บริษัทเค้าจัดงานเลี้ยงประจำปีค่ะ ชาเลยจะไปนอนคอนโด”
“เป็นแค่เด็กฝึกงานเค้าให้ไปด้วยหรอพี่?” นิชินน้องชายคนเล็กที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เด็กฝึกงานก็คือคนทำงานนะชิน นายพูดเหมือนกับพี่ไม่มีประโยชน์สะงั้น”
“ก็นึกว่าเลี้ยงแค่พนักงานสะอีก” นิชินไหวไหล่ไปทีก่อนจะกระดกน้ำลงคอ
“กลับมานอนที่บ้านเถอะลูก วันนี้พี่รันดร์เค้าหยุด ให้พี่เค้าไปรับไปส่ง” คนเป็นแม่เอื้อนเอ่ยข้อเสนอให้ลูกสาว
“ใช่ ชาจะกลับกี่โมงเดี๋ยวพี่ไปรับ”
คนเป็นพี่ขี้หวงน้องสาวเอ่ยบอกเสียงเข้ม แม้ตนจะไม่ค่อยมีเวลาแต่ก็ติดตามทุกการเคลื่อนไหวของนิชาอยู่ห่าง ๆ อย่างล่าสุดที่เห็นนิชาไปเดทกับคนที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจ เขาก็ไปตามสืบตามเก็บประวัติมาให้หมด แม้งานตัวเองจะยุ่งมากแค่ไหนแต่เขานั้นมีน้องสาวอยู่คนเดียวจะปล่อยปละละเลยไปเสียทีเดียวก็ไมได้
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกพี่รันดร์ หนูดูแลตัวเองได้”
“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ไว้ใจเรานะชา แต่อย่าลืมว่าชาพึ่งไปฝึกงานได้แค่สองอาทิตย์ คนที่ทำงานไว้ใจได้รึเปล่า ชาตอบพี่ได้ไหม?”
ช้อนส้อมในมือหนาถูกวางลงก่อนจะตั้งคำถามใส่น้องสาวเสียงเรียบ นิชานิ่งไปชั่วครู่เพราะเธอเองก็ไม่ได้สนิทกับคนในบริษัทมากนักที่คุยอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ก็มีแต่อรทัย (พี่เลี้ยงฝึกงาน) ส่วนคนอื่น ๆ ก็แวะเวียนมาหยอกมาแซวบ้างเป็นบางครั้ง โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ มาขายขนมจีบให้เธอไม่เว้นแต่ละวัน จนอรทัยทนไม่ไหวออกโรงปกป้องลูกน้องอย่างดี ถึงกับต้องเขียนป้ายติดโต๊ะตัวหนา ๆ ไว้เลยว่า ‘โต๊ะนี้ไม่รับขนมจีบ เชิญป้ายหน้าค่ะ’
“ที่เงียบคือไม่รู้?”
“ชาจะไม่เมาค่ะ” นิชาไม่อยากให้พี่ชายไปรับไปส่ง มันเหมือนเด็กไม่เอาไหนที่มีผู้ปกครองคอยควบคุมอยู่ตลอดเวลา
“ไม่ใช่ว่าชาจะไม่เมาค่ะ แต่ชาจะไม่ดื่ม” เสียงทุ้มเอ่ยบอกน้องสาว
“โถ่ พี่รันดน์ เป็นแบบนั้นชาไม่ไปดีกว่าค่ะ”
“ได้ไหมละ?”
คนหวงน้องสาวดีดนิ้วดังเปราะอย่างเห็นด้วยกับถ้อยคำประชดประชันเมื่อครู่ นิชาเพียงแยกเคี้ยวใส่อย่างเอาเรื่อง
“ไม่ได้ค่ะ ชารับปากพี่ ๆ เขาไว้แล้ว” หญิงสาวว่าหน้าบูดหน้างอ “งั้นพี่รันดน์ไปรับชาก็ได้ค่ะ ชาจะโทรเรียกเอง”
“อืม ตามนั้น”
ตามนั้นก็คือ จบ ผู้ใหญ่ต่างก็เห็นด้วยจะมีก็แต่นิชานี่แหละที่ต้องยอมจำนนต่อพี่ชาย เพราะมีแต่นิรันดร์เท่านั้นแหละที่จะสยบความหัวรั้นของเธอได้