1.การพบกัน ณ อนันตราธานีแกรนด์
บนถนนที่โล่งตลอดเส้นทาง มีเสียงรถแล่นปาดซ้ายขวาเบียดกันไปมาอยู่สองคัน คันหนึ่งเฉี่ยวหรูด้วยรูปลักษณ์ของสปอร์ตสีดำวาววับ อีกคันเป็นรถเก๋งธรรมดาสีเดียวกัน หากก็ไม่ยอมแพ้ให้กับรถที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า ความเร็วของรถทั้งสองคันราวกับอยู่ในสนามแข่ง ไม่มีใครหวาดหวั่นถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากพลาดเพียงนิด แต่แล้วอยู่ๆ ขณะที่กำลังตีโค้งสปอร์ตคันหรูก็ชะลอความเร็วลงอย่างกะทันหัน ทำเอารถที่เบียดคู่มาตั้งรับไม่ทันแซงหน้าไปลิ่ว ส่วนคันที่ชะลอกลับปาดเลี้ยวขวางทาง กลับรถแล้วเร่งเครื่องเสียงกระหึ่มพุ่งกลับทิศทางเก่าราวกับจรวด
ดวงตาคู่คมของชายหนุ่มในรถสปอร์ตมองกระจกหลังแล้วตระตุกยิ้มมุมปากบาง แม้จะแปลกใจที่อยู่ๆ ก็มีรถโผล่เข้ามาตีคู่เบียดกับเขาแต่มันก็สนุกดี จากที่กำลังมึนๆ เพราะฤทธิ์น้ำเมาตอนนี้รู้สึกกะปรี้กะเปร่าขึ้นมาเยอะ
“ฝีมือแค่นี้ยังซ่าจะมาแข่งกับชาวบ้าน”
หนุ่มหน้าขาวคมเอ่ยกลั้วหันเราะหลังสลัดอีกฝ่ายหลุด ก่อนจะมุ่งหน้ากลับบ้านพักของตนที่เชียงรายด้วยเส้นทางใหม่
“เฮ้ย! เบรกเร็วเข้า แล้วรีบกลับรถ มันหนีไปแล้วเห็นไหม”
ชายหนุ่มที่นั่งเบาะข้างคนขับในรถคันที่ถูกหลอกให้เลี้ยวโค้งไปไกลโวยวาย
“รู้แล้วน่าพี่ แต่ถ้าเร็วกว่านี้เราคว่ำแน่ ไอ้หมอนั่นมันใจถึงจริงๆ พับผ่าสิ”
คนขับรีบทำตาม แต่ไม่วายบ่นกับตัวเอง
“ใช่...มันร้ายกว่าที่คิด แล้วก็ไม่กลัวตายแบบนี้ ที่นายให้มาขู่มันจะกลัวเหรอวะ” คนเป็นลูกพี่บ่น
“นั่นสิพี่ แต่ไม่ต้องห่วง รับรองว่าผมจะไล่บี้ตามมันให้ทัน ไม่กลัวตกเขาก็ให้มันรู้ไป”
“ใช่ เอาให้มันจำขึ้นใจว่าที่นี่ถิ่นใคร จะได้ไม่กล้ามาแหยมเป็นขู่แข่งกับนายเรา”
พูดจบทั้งสองคนก็หัวเราะประสานกันดังลั่น พวกเขาต้องวกรถกลับค่อนข้างไกลเพราะโค้งยาว จากนั้นก็เร่งเครื่องตามรถอีกคันทว่าเมื่อพ้นโค้งมาแล้วกลับไม่เห็นแม้แต่ไฟท้ายรถคันหรู ถึงจะเหยียบคันเร่งจนมิดทางข้างหน้าก็มีแต่ความมืดมน
“มันหายไปแล้ว โธ่เว้ย!” คนเป็นลูกพี่สบถ
“ไม่อยากเชื่อ ไม่เห็นฝุ่นเลย”
“เออสิวะ ฉันบอกแกแล้วไง ว่าให้เร็วๆ โธ่เอ๊ย...ทำคุยว่าจะตามเบียดมัน ดูสิ แค่ไฟท้ายยังไม่เห็นเลย”
“โธ่พี่...นี่ก็เร็วสุดๆ แล้ว”
“เออๆ ยังไงก็ตามไม่ทันแล้ว ตอนนี้คงต้องรีบโทรรายงานนาย”
ว่าแล้วก็กดโทรศัพท์ออกเพื่อรายงานความผิดพลาดทันที แม้รู้อยู่แล้วว่าจะทำให้นายโมโห กลับไปอาจโดนกระทืบอีก
‘ไอ้พวกโง่เอ๊ย! แค่ให้ตามขู่ให้มันกลัวก็ทำไม่สำเร็จ’
แล้วเสียงตวาดที่ดังมาหลังจากรายงานผลเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
‘ฉันไม่สนว่าพวกแกจะตามหามันเจอได้ยังไง แต่พวกแกต้องทำให้มันไม่กล้ามาเสนอราคาที่ดินแข่งกับฉัน’
“เจ้านายคะ”
ใบหน้าขาวคมหันมองตามเสียงเรียก หลังจากผู้จัดการทุกฝ่ายรวมทั้งกรรมการทยอยออกไปจากห้องแล้วก็เจอกับรอยยิ้มเหมือนเกรงอกเกรงใจก่อนจะพูดต่อ
“เมื่อเช้าก่อนเข้าประชุมคุณศิตโทรมาค่ะ ขอคุยกับเจ้านาย นีเลยบอกว่ากำลังจะเข้าประชุม”
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยหลังจากได้ยินชื่อนั้น ดวงตาคมสีน้ำตาลมีแววครุ่นคิด ริมฝีปากบางสีแดงสดแบบธรรมชาติเม้มเข้าหากัน แต่ก็พยักหน้ารับ
วันนี้เขาเข้าประชุมประจำไตรมาสแรกตั้งแต่สิบโมงเช้าจนกระทั่งถึงบ่ายโมง ไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหนแม้แต่ทานข้าว
“คุณโทรกลับแล้วโอนเข้าไปให้ผมในห้องแล้วกัน”
ชายหนุ่มบอก เลขาสาวรับคำแล้วเก็บเอกสารออกไป ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นขณะที่ถูกมือของคนรูปร่างไม่ต่างกันตบลงบนไหล่
“เฮ้ย...ท่านประธานปานปกรณ์ครับ ไม่มีธุระที่ไหนใช่ไหม เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกันดีกว่า นี่บ่ายโมงแล้ว”
อีกฝ่ายเอ่ยขำๆ ขณะส่งเอกสารให้เลขาหนุ่มคนสนิท
“ก็ดีเหมือนกัน แต่ฉันขอกลับไปคุยกับไอ้ศิตก่อนนะ”
คนเป็นประธานกรรมการไม่ใส่ใจคำเรียกขำขันของเพื่อนสนิทอย่างธราดล เพราะกิจการโรงแรมภายในเครืออนันตราธานีนั้น ปานปกรณ์เป็นผู้ได้รับการโหวตจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหมดให้ได้ตำแหน่งนี้อย่างถูกต้อง แม้ผู้ถือหุ้นส่วนมากจะเป็นคนที่นามสกุลอนันตรนุชิตอยู่แล้ว แต่บ้านของปานปกรณ์ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีสิทธิ์บริหารงานเต็มอำนาจ
“เออ ฉันก็มีเรื่องจะสั่งงานกับชานนท์นิดหน่อย”
“งั้นอีกสิบห้านาทีเจอกันข้างล่าง”
ธราดลพยักหน้าก่อนจะเดินไปยังห้องทำงานประจำของเขาซึ่งอยู่ปีกด้านซ้ายของตัวตึก ไกลจากห้องทำงานของปานปกรณ์พอสมควร โดยมีชานนท์เลขาหนุ่มเดินตาม ส่วนชายหนุ่มอีกคนนั้นเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม
ปานปกรณ์เข้ามานั่งลงที่โต๊ะกลางห้องใหญ่ซึ่งตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลกับสีขาวเพียงห้านาที โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสียงของรัชนีบอกว่าเป็นสายชลศิตมือหนาจึงกดรับ กรอกเสียงแข็งลงไป
“มีอะไรไอ้ศิต ขอคุยผิดคนหรือเปล่าวะ”
‘ไม่ผิด เพราะฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย ไอ้ป่าน’
เสียงของชลศิตดังกลับมาอย่างสบายๆ ปานปกรณ์จึงเดาว่าน่าจะไม่เกี่ยวกับงาน
“ระวังคุณนีเขาน้อยใจนะโว้ย”
ชลศิตเป็นสามีของรัชนีเลขาสาวสวยของปานปกรณ์ที่เพิ่งแต่งงานกันได้สามเดือนกว่า และส่วนใหญ่เพื่อนของเขาจะโทรมาคุยกับภรรยาซึ่งอยู่ห่างกันคนละจังหวัดมากกว่าคุยกับเจ้านายของเธออย่างเขา
‘ฉันคุยกับนีรอนายตั้งนานแล้ว...วันนี้ไม่ได้พักที่นี่เหรอ ถึงได้มาช้า’
“เออ เพิ่งกลับจากเหนือเมื่อคืน เลยนอนที่บ้าน นายมีอะไรวะ โทรมาแต่เช้า”
‘ก็เรื่องที่จะให้นีมาทำงานกับฉันไง’
“ฉันก็บอกไปแล้วนี่หว่า ว่าขอเวลาสองสามเดือน”
‘นี่มันจะสี่เดือนแล้วโว้ย หมดเวลาของนายแล้ว’
“ทำไมมันเร็วอย่างนี้วะ”
ชายหนุ่มบ่นกับตัวเอง ก่อนคิดหาทางออก
“ขออีกหน่อยได้ไหมวะ ถ้าจะเอาคุณนีไปอย่างน้อยนายก็ต้องให้เวลาฉันหาเลขาใหม่ก่อน”
‘นายมีเวลาอาทิตย์เดียว’
“อะไรวะ อาทิตย์เดียว ฉันจะไปหาเลขาอย่างคุณนีมาจากที่ไหน นายก็รู้นี่หว่า ว่าคุณนีเป็นเลขาที่รู้ใจ แล้วก็ถูกใจฉันที่สุด”
‘ถูกใจนาย แต่ไม่ถูกใจฉันเว้ย ฉันไม่สน ฉันให้เวลานายอีกอาทิตย์เดียว แค่นี้นะ ฉันต้องไปตรวจงานแล้ว’
พูดจบชลศิตก็วางสายทันที ปานปกรณ์ท้วงไม่ทันจึงได้แต่สบถส่งเพื่อนยาวอย่างหงุดหงิด จนกระทั่งรัชนีเข้ามา หญิงสาวส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เขาพร้อมกับวางแฟ้มงานลงบนโต๊ะ ตามด้วยผู้ช่วยเลขาที่เอากาแฟเข้ามาเสิร์ฟก่อนจะกลับออกไป
“ไอ้ศิตมันมัดมือชกผม ให้ผมหาเลขาใหม่แทนคุณภายในอาทิตย์เดียว จะไปหาทันได้ไง”
เขาบอกเหมือนฟ้องแต่ก็รู้อยู่แล้วว่ารัชนีต้องรู้เรื่องนี้
“นีจะช่วยถามรุ่นน้องของนีให้นะคะ รับรองนีจะหาคนที่เก่งแล้วก็มีความรับผิดชอบสุดๆ เผลอๆ จะเก่งกว่านีซะอีกนะคะ”
เลขาสาวบอกอย่างเกรงใจเจ้านาย
“ขอบคุณครับ ผมรู้ว่าคุณรู้ใจผม เอาเถอะ ก็ไอ้ศิตมันบีบจนผมปฏิเสธไม่ได้แล้ว ในเมื่อมันจะเอาคุณไป ผมก็ไม่ใจร้ายพอจะพรากสามีภรรยาหรอก”
ปานปกรณ์บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ซึ่งรัชนีก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มนิดๆ เพราะรู้พื้นนิสัยของเจ้านายหนุ่มคนนี้ดีว่าเป็นคนค่อนข้างเจ้าอารมณ์ แตกต่างจากหุ้นส่วนใหญ่อีกคนโดยสิ้นเชิง
ร่างบางสมส่วนในชุดเรียบร้อยสีสุภาพจ้องกระจกห้องน้ำเช็กความพร้อมของตัวเอง หลังจากซับเหงื่อหวีผมเรียบร้อยเพราะต้องขึ้นรถเมล์ที่คนแน่นเอี้ยดถึงสามต่อกว่าจะมาถึงที่นี่ เมื่อทุกอย่างพร้อมก็เดินออกจากห้องน้ำ ตั้งใจจะไปตามชั้นที่ฝ่ายบุคคลซึ่งเธอเพิ่งไปรายงานตัวบอก แต่รู้สึกว่าเหงื่อออกเยอะจนต้องเช็ดใหม่จึงก้มลงควานหาผ้า ขณะเท้าก้าวมาหยุดยืนอยู่หน้าลิฟต์ที่เห็นจากปลายหางตาตอนออกจากห้องน้ำ
ระหว่างนั้นประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับมีคนเดินสวนออกมา ร่างบางก้มหน้าก้มตาเองก้าวเข้าไปทว่าแขนของหญิงสาวดันไปชนเข้ากับแขนของคนที่กำลังคุยโทรศัพท์ แรงปะทะน้อยนิดจากของเธอเมื่อเปรียบกับอีกฝ่ายที่ตัวสูงใหญ่ทำให้คนตัวเล็กกว่าเซถอยหลัง มือที่ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาถูกปัดจนมันหล่น
“อุ๊ย...”
ณิชชาอุทานพร้อมกับได้ยินคำขอโทษจากเขา ขณะที่เธอก้มลงจะเก็บผ้าของตัวเอง ทว่าอีกฝ่ายเร็วกว่า
“นี่ของคุณ”
คนตัวโตกว่าเก็บมันขึ้นมายื่นให้หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มก่อนจะเอ่ยขอบคุณขณะที่ชายหนุ่มหน้าหล่อคมสันขมวดคิ้วเล็กน้อยยิ้มรับนิดๆ แต่ก่อนที่จะพูดอะไรกันประตูลิฟต์ก็เปิดอีกครั้งพร้อมร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนก้าวออกมา
“อ้าว...ทำไม...”
ขณะพูดสายตาคมก็ปราดไปยังคนตัวเล็กตรงหน้าเพื่อนด้วยแต่กลับเงียบไป ปานปกรณ์ยืนนิ่งมองหน้าสวยหวานของหญิงสาวเหมือนระลึกได้ชั่วแวบก่อนแววตาเขาจะเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า
“ลงมาพอดีเลย”
ธราดลพูดขึ้นมาไม่สังเกตว่าเพื่อนนิ่งผิดปกติ เมื่อเห็นว่าเพื่อนมองหญิงสาวจึงหันมองตามแล้วขยับปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คนถูกมองรู้สึกกดดันเหมือนตัวเองเป็นมดตัวเล็กๆ จึงเอ่ยขึ้นมาก่อน
“เอ่อ...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
ณิชชาพยายามยิ้มหวานให้คนทั้งสองเพราะเห็นว่าตนควรหลีกทาง ร่างบางขยับก้าวเมื่อลิฟต์เปิดอีกครั้ง
“เอ่อ...คุณ” เสียงของธราดลทักขึ้น
“คะ”
“คือ...นี่เป็นลิฟต์ของผู้บริหารครับ”
หญิงสาวชะงักกึก หน้าถอดสีขึ้นทันทีเมื่อหันกลับมามองคนบอก พยายามจะพูดแต่เสียงมันไม่ออกมา จากนั้นหน้าเธอก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
“ความจริงผมไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่รปภ.ยืนมองคุณอยู่ตรงนั้น”
เขาชี้มือให้ดู และเธอก็มองตามอย่างเลิ่กลั่ก
“ไม่ทราบว่าคุณมาทำธุระอะไรครับ แนะนำให้ติดต่อที่เคาน์เตอร์ก่อนจะดีกว่า”
เขาเดาเอาจากชุดของเธอที่ไม่ใช่ฟอร์มของที่นี่ แถมยังหอบเอกสารมากมาย
“เอ่อ...ดิฉันมาสัมภาษณ์งานน่ะค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
ณิชชายิ้มให้ชายหนุ่มที่หวังดีแหยๆ ก่อนจะคอตกเดินเลี่ยงออกไป สายตาเหล่มองรปภ.ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าขรึมแต่ผายมือไปยังลิฟต์ธรรมดาของพนักงานเพื่อบอกทาง ยังถือว่าใจดีอยู่บ้าง หญิงสาวจึงขอบคุณแล้วเดินไปทางนั้น
ธราดลมองตามร่างบางของหญิงสาวแล้วยิ้มขำ คิดว่าที่รปภ.ไม่เข้ามาบอกเธอแต่แรกคงเพราะว่าเห็นอยู่กับพวกเขาจึงไม่กล้า ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วก็ได้ยินเสียงเพื่อนดังขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ลงมา
“มาสัมภาษณ์อะไร”
“ฉันจะไปรู้เหรอ”
ปานปกรณ์หันมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาที่ธราดลเห็นอยู่บ่อยๆ เพราะเป็นคนขี้หงุดหงิดและเจ้าอารมณ์เขาจึงไม่ใส่ใจ ก่อนจะยักคิ้วให้พร้อมกับถาม
“ทำไม สนใจเหรอ”
คนถูกถามมองร่างบางที่ก้าวเข้าลิฟต์ธรรมดาไปแล้วก็ยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ
“ฉันเหรอจะสนใจผู้หญิงธรรมดาๆ แบบนั้น”
แม้จะตอบอย่างนั้นหากสายตาคมกลับมีแววสนใจใคร่รู้ โดยที่เพื่อนของเขาไม่ได้สังเกตเห็น
=====