“ปันปัน”
เสียงนกหวีดของพี่ว้ากดังลั่นทั่วลานกิจกรรม
“ปีหนึ่ง! แยกโซนของตัวเองด่วน!”
ท่ามกลางความวุ่นวาย ปันปันยืนกอดอกมองรุ่นน้องด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เธอไม่อยากมาเป็นพี่สตาฟเท่าไหร่ แต่เพื่อนดันลากมาเพราะคนไม่พอ
เธอกำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กเวลา แต่เสียงแหลมสูงก็พุ่งมาตัดอากาศก่อน
“อีปันปัน!!”
ปันปันหันไปมองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเห็นสาเหตุของเสียง
คิตตี้ เพื่อนสาวแต่งร่างชาย เดินสะบัดสะโพกเข้ามาหาแทบจะลากลมตามมาเป็นทาง
“อะไรของมึงอีณัฐวุฒิ” ปันปันพูดหน้าเรียบ
คิตตี้ถึงกับตบอกตัวเองดังผั๊วะ
“อร๊ายยย! อีปันปัน ตบปากเดี๋ยวนี้นะคะ! คิตตี้ค่ะ คิตตี้! จะให้กูเป็นณัฐวุฒิต่อหน้าคนหมู่มากไม่ด้ายยย”
ปันปันหลุดหัวเราะ
“ฮ่าๆ ก็เออนั่นแหละ แล้วมีอะไร เรียกเสียงดังฉิบหาย คนทั้งลานมองหมดแล้ว”
คิตตี้ทำตาวาวเหมือนจะเมาท์อะไรแรงมาก
“กูมีเรื่องใหญ่… ใหญ่แบบใหญ่มาก!”
เธอสบัดผมหนึ่งทีแล้ววิ่งเข้ามากระซิบเหมือนกำลังจะเปิดโปงอาชญากรรมระดับประเทศ
“มึงรู้ยัง…ว่าผัวเก่ามึงย้ายมาเรียนที่นี่นะ”
ปันปันเลิกคิ้ว
“ผัวเก่ากู? ใครวะ”
คิตตี้ถึงกับเอามือทาบอก ทำหน้าเหมือนโลกแห่งความจริงกำลังจะถล่ม
“ก็ศิลาไง! อย่ามาทำเป็นจำไม่ได้ สมองที่จำหลักสูตรโยธาได้อย่างมึง จะจำผัวเก่าตัวเองไม่ได้ได้ไงเล่า!”
ปันปันไหวไหล่
“แล้ว? บอกเพื่อ?”
“เอ้า ไม่อยากรู้หน่อยเหรอ!” คิตตี้เสียงสูง “กูอุตส่าห์ไปได้ยินมาจากเพื่อนกูที่เรียนหมอ เขาบอกว่าพ่อมันสั่งให้มาอยู่ที่นี่
ดีเนอะ พ่อเป็นอธิการบดี ส่วนแม่ก็เป็นหมอผ่าตัดดังสุดในกรุงเทพ ครอบครัวเพอร์เฟ็กต์จนกูอยากถวายบัตรประชาชนให้เลย”
ปันปันยืนฟังนิ่ง ๆ เหมือนไม่สะเทือน
แต่ใจกลับกระตุกแปลก ๆ เหมือนโดนใครเอานิ้วจิ้มแผลเก่าที่คิดว่าหายไปนานแล้ว
“จะมาเรียนที่นี่ก็ไม่แปลกป่ะ ก็นี่มันมหาลัยของเขา” ปันปันพูดพลางถอนหายใจ “มึงน่ะ เลิกสนใจเรื่องคนอื่นแล้วสนใจเรื่องของตัวเองก่อนไหมจ๊ะ”
คิตตี้กำลังจะเถียงกลับ แต่ปันปันยกนิ้วชี้ไปด้านหลังเพื่อนก่อน
“นู่น ไปนู่นเลย ไอตะวันมันยืนจ้องมึงอยู่แล้วน่ะ จะมามัวเผือกเรื่องกูทำไมจ๊ะ”
คิตตี้หันขวับทันที เห็น ตะวัน ผู้ชายตัวสูง ผิวเข้ม ล่ำแบบนักกีฬา และ เพื่อนสนิทของพวกเธอ ที่ปีนี้ดันรับบทเป็น พี่ว้ากเต็มตัว
เขายืนพิงราวกั้น มองมาทางคิตตี้ด้วยสายตานิ่ง ๆ แต่เสือกดูมีไออุ่นประหลาดเหมือนพร้อมจะลากเหยื่อเข้าป่าได้ทุกเมื่อ
คิตตี้ถึงกับยืนแข็งทื่อ
“อีปัน… มึงดูมองกูดิ มัน มัน มันต้องคิดอะไรกับกูแน่เลย!”
ปันปันทำหน้าเอือม “ก็มึงไปอ่อยมันไว้ทุกวัน จะไม่คิดก็แปลกละป่ะ”
คิตตี้ทำตาวาว “กูยังไม่ได้อ่อย! แค่ส่งหัวใจให้มันวันละสามสี่ทีเฉย ๆ!”
“อ๋อ แค่นั้นเอง?” ปันปันกลอกตา
ตะวันยกคิ้วให้นิดหนึ่ง เหมือนจะเรียกให้คิตตี้เดินไปหา
คิตตี้ถึงกับตั้งสติไม่อยู่ สะบัดผมทีหนึ่งแล้วกระซิบกับปันปันว่า
“โอ๊ยยย มึงช่วยกูด้วย กูจะใจสั่นตายตรงนี้!”
“ไปเลยค่ะ คนสวย” ปันปันดันหลังเพื่อนเบา ๆ “ไปคุยกับผัวมึงไป๊”
คิตตี้หน้าแดงก่ำแล้ววิ่งไปหาตะวันทันที
ปันปันส่ายหน้าแรง ๆ เหมือนจะปัดความวุ่นวายในหัวออกไป
“เรื่องรักนี่มันชวนปวดหัวชะมัด…” เธอบ่นเบา ๆ พร้อมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์กลับขึ้นมา
แต่ยังไม่ทันได้จับเครื่องดี ๆ เสียงเด็กผู้หญิงรีบร้อนก็ดังขึ้นด้านหลัง
“พี่คะ! พี่!”
ปันปันชะงัก หันกลับไป เจอเด็กผู้หญิงใบหน้าซีดเผือด หอบหายใจเหมือนวิ่งมาเต็มฝีเท้า
“อะไรเหรอ…”
“เพื่อนหนู…เพื่อนหนูหายใจไม่ออกค่ะ!”
เสียงนั้นสั่นเครือจนฟังแล้วใจหวิว น้องคนนั้นยกมือสั่น ๆ ชี้ไปทางโต๊ะหินอ่อนตรงลานเกียร์
ปันปันหันตาม เห็นผู้หญิงคนนึงนั่งพิงโต๊ะ ตัวงอ มือกุมหน้าอก
หน้าเริ่มซีดเหมือนจะหมดสติ หัวใจปันปันทิ้งวูบลงทันที
“เห้ย! เกิดอะไรขึ้น!” เธอรีบพุ่งตัวออกไปโดยไม่คิดชีวิต
ปันปันทรุดลงข้างตัวน้องทันที มือสองข้างจับไหล่แล้วเขย่าเบา ๆ
“น้อง! น้องได้ยินพี่ไหม น้องคะ!”
ไม่มีคำตอบ มีแค่ลมหายใจครืดต่ำ ๆ ในลำคอเหมือนอากาศกำลังติดอยู่ข้างใน
ปันปันรีบตบแก้มเบา ๆ เพื่อกระตุ้น
แต่สิ่งที่เห็นทำให้เลือดในกายเธอเย็นวาบทันที
ใบหน้าของน้องคนนั้นซีดแบบ ซีดผิดมนุษย์ ริมฝีปากเริ่มอมม่วง เหงื่อเย็นเกาะเต็มขมับ
ที่สำคัญที่สุด
หน้าอกขวาของน้องแทบไม่ขยับเวลาหายใจ ผิวตึงเหมือนมีแรงดันอยู่ข้างใน
“นี่มันไม่ปกติเลย…” ปันปันพึมพำ
ลมหายใจของน้องดัง ครืด ครืด เหมือนร่างกายพยายามสูดอากาศแต่ไม่สามารถรับได้
เสียงราวกับอกด้านหนึ่งถูกกดทับจากด้านใน ลมหายใจแรง แต่ดูเหมือนอากาศไม่ลงปอด
น้องกำลังจะขาดอากาศ…แบบจริงจัง ปันปันหน้าซีดตามทันที หัวใจเต้นรัวจนเหมือนจะหลุดออกมานอกอก
ปันปันยกมือขึ้นทาบปาก ตัวสั่นจนแทบยืนไม่อยู่
“ทำไงดี… ทำไงดี…” เธอพึมพำอย่างหวาดกลัว
แต่ในหัวกลับแล่นวาบ เหมือนหนังสือการแพทย์ที่เธอเคยเปิดอ่าน เสียงแฟนเก่า ที่เคยสอนเธอเวลาติวด้วยกันลอยขึ้นมาในความคิด
“ถ้าหน้าอกด้านหนึ่งโป่งตึง หายใจครืด ๆ คล้ายอากาศไม่ลง อาจเป็น tension pneumothorax (ภาวะปอดรั่วจากแรงตึง) ลมกดหัวใจ… ต้องระบายลมให้เร็วที่สุด
ไม่งั้นหัวใจหยุดเต้น”
ปันปันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอ
มือสั่นไม่หยุด แต่สมองกลับค่อย ๆ เลือกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเฉียบพลัน
เธอกวาดสายตามองรอบตัว
โต๊ะหินอ่อน ไม่มีอะไรช่วยได้
กระเป๋าตัวเอง ไม่มีอะไรแหลมพอ
บริเวณรอบ ๆ คนกำลังแตกตื่น
อีกไม่กี่วินาทีต่อมา…
และแล้วเธอก็เห็นมัน
ปากกาพลาสติกสีดำ เสียบอยู่ตรงกระเป๋าเสื้อของรุ่นน้องผู้หญิงที่ยืนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ
หัวใจปันปันเต้นวูบ เธอพุ่งเข้าไปดึงปากกาออกมาทันที
“น้อง! ขอปากกา!”
ดึง แกร๊ก! ออกมาจากกระเป๋าเสื้อจนรุ่นน้องสะดุ้ง
ปันปันยืนค้างไปหนึ่งวินาที มองปากกาในมือ มือที่ยังคงสั่นไม่หยุด
ภาพในหัวซ้อนทับขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงแฟนเก่าที่เคยสอนแบบกึ่งดุ กึ่งห่วงใย
“ถ้ามีของแหลมพอ เสียบระบายลมเหนือซี่โครงซี่ที่สองด้านหน้าอก อากาศจะออก คนไข้จะหายใจได้”
ปันปันกัดฟันแน่น มือเธอสั่นจนปากกาแทบหลุด
เธอเงยหน้ามองน้องผู้ป่วยที่นอนหายใจเฮือก ๆ หน้าอกขวายกตึงจนผิวแทบแตก เสียงลมหายใจ ครืด…ครืด… ออกแรงจนร่างเกร็ง
เวลาเหลือนิดเดียว
ปันปันถอดฝา เร่งดึงไส้ออก ให้เหลือแต่หลอดพลาสติกกลวง ๆ เหมือนที่แฟนเก่าเคยบอกว่าใช้แทนท่อระบายลมฉุกเฉินได้
เสียงน้องที่หายใจไม่ออกเริ่มแผ่วลงเรื่อย ๆ
ปันปันกลืนน้ำลายฝืด ๆ
เธอพึมพำกับตัวเอง
“เส้นสี่…ห้า…ใต้รักแร้…”
มือสั่น ๆ ลูบจับตำแหน่งซี่โครงที่ต้องแทงเหนือกระดูก ต้องระบายลมก่อนที่หัวใจจะถูกกดจนหยุดเต้น
ปันปันเงยหน้ามองน้องคนนั้น ริมฝีปากม่วงขึ้นทีละนิด ลมหายใจสะดุด หน้าอกฝั่งหนึ่งไม่ขยับเลย
หมดเวลาแล้ว
“โอเค…ฮึ่ย! ปัน แกทำได้!” เธอฮึดกับตัวเอง
มือสั่นระริก แต่เธอจับปากกาไว้แน่น ตัดสินใจแทงหลอดปากกา “เหนือซี่โครง” บริเวณรักแร้ด้านหน้า
ปัก—
เสียงเบา ๆ
ตามด้วยเสียงลม “ฟู่ววว…” ออกมาจากใต้ผิวหนังเหมือนลูกโป่งรั่วช้า ๆ
หน้าอกของน้องค่อย ๆ คลายตัวลงเล็กน้อย ลมหายใจเริ่มกลับมา ไม่สุด แต่ดีกว่าเมื่อครู่มาก
ปันปันรีบควักโทรศัพท์ มือสั่นจนกดผิดหลายครั้ง
แต่ทันใดนั้น…
หมับ
มือใหญ่ อุ่น และมั่นคงของใครบางคนจับเข้าที่ข้อมือเธอเบา ๆ แต่แน่นพอให้เธอหยุดการกระทำ
กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเกินไปลอยมาแตะปลายจมูก ความนิ่ง ความมั่นคง ความรู้สึกที่เธอไม่ได้สัมผัสมานาน…
เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นเหนือศีรษะเธอ
“เดี๋ยว… ฉันดูต่อเอง”