ความฝันในอดีต (1)
แล้วผมก็มายืนอยู่ตรงนี้อีกครั้ง...
บนดาดฟ้าที่เต็มไปด้วยโต๊ะเรียนหักพังวางกองเรียงรายไร้คนเหลียวแล มุมท่อน้ำที่มีคราบดำของตะไคร่เกาะจนแทบจะจำไม่ได้ ว่าท่ออันนี้เคยมีสีเดิมเป็นสีอะไร
สายลมที่เคยพัดโชยมาตลอดทั้งวันกลับสงบนิ่ง แม้แต่ใบไม้ยังไร้การเคลื่อนไหว ท้องฟ้าที่เคยสว่างกำลังถูกกลืนกินด้วยเมฆสีเทาอย่างช้า ๆ
ผมแหงนหน้ามองขึ้นไปบนนั้น สิ่งที่ใครต่างก็บอกว่ามันสวยงาม แต่ในเวลานี้มันช่างดูหดหู่เสียเหลือเกิน
บนความสูงที่ไกลออกไปยังไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงดวงตาที่ทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ทำไมผมต้องมาอยู่ที่นี่ แล้วเพราะอะไรผมถึงต้องมาอยู่ตรงนี้
ผมกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะไปสะดุดตากับแผ่นหลังที่คุ้นเคยของใครบางคน เขาคนนั้นกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ที่ขอบของอาคารชั้นดาดฟ้า
ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้อย่างช้า ๆ ดูเหมือน “เขา” จะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามีใครอีกคนที่อยู่บนดาดฟ้าอาคารหลังเดียวกัน
ผู้ชายคนนั้นนั่งห้อยขาออกไปด้านนอกตัวตึก สองมือวางพาดลงข้างลำตัวราวกับคนกำลังหมดเรี่ยวแรง แม้ในระยะที่อยู่ห่างกันขนาดนี้ ผมยังมองเห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของเขามีน้ำตาเอ่อคลออยู่
ใบหน้าที่เหนื่อยล้าบ่งบอกให้รู้ว่าเขาคงจะเพิ่งผ่านเรื่องอันแสนเลวร้ายมาอย่างหนักหน่วง แต่มันจะเลวร้ายมากขนาดไหนกัน...เขาถึงต้องมาโดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้ ผมเองก็ไม่เคยเห็นเขาเศร้าแบบนี้มาก่อน
แม้แต่ขาทั้งสองของเขาที่แกว่งไปมาก็ยังให้ความรู้สึกเลื่อนลอยไร้ทิศทาง ที่ตรงนั้นมันดูเคว้งคว้างเกินกว่าที่จะมีช่องว่างให้ใครได้เข้าไป
แต่ผมรู้จักผู้ชายคนนี้ดีกว่าใคร เขาชื่อ “ตะวัน”
ตะวันเป็นคนรักของผมเอง
ตะวันคือคนที่ผมไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เจอใครที่เหมือนเขาอีกแล้วในชีวิตของผม เขาเปรียบเสมือนของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตที่ผมเคยได้รับมา
วินาทีที่เราสองคนหันมาสบตากัน ผมรู้สึกได้ว่าเขามีอะไรบางอย่างที่อยากจะบอกกับผม
บางอย่างที่ผมสัมผัสมันได้ในแววตาอันแสนคุ้นเคยคู่นั้น ที่ในอดีตมันเคยสดใสและสร้างรอยยิ้มให้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ แต่ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นความหม่นหมองและดูปวดร้าวเหลือเกิน
ตะวันหันมาหาผมแล้วก้มหน้ากลับลงไปมองพื้นด้านล่าง ที่ตรงนั้นเป็นลานกว้างไร้ผู้คนไม่ต่างจากตรงนี้ วินาทีนั้นเหมือนมีบางอย่างที่เอ่ยเตือนผมว่าผมควรไปอยู่ข้าง ๆ เขาให้เร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
จู่ ๆ ก็มีสายลมกระโชกพัดผ่านเข้ามา เศษผง เศษใบไม้ปลิวว่อน เสียงฟ้าร้องคำรามดังมาจากที่ไกลแสนไกล
ในตอนที่ผมเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปหาตะวันเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจในบางอย่าง แต่ ณ เวลานั้นเขากลับใช้สองแขนดันตัวเองให้พ้นออกไปจากตัวตึก
ความตายที่ใครต่างก็บอกกันว่ามันน่ากลัว แต่ตะวันกลับไม่มีท่าทีหวั่นใจที่จะทำมันเลย การกระทำของเขาเหมือนกำลังจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าการที่มีลมหายใจอยู่บนโลกที่โหดร้ายใบนี้ต่างหากที่น่ากลัวกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า
ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีวิ่งตรงไปที่เขาแล้วคว้าแขนของเขาเอาไว้ได้ทันเวลา
ตะวันเงยหน้ามองผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามว่าผมมีเหตุผลอะไรที่ต้องมาช่วยชีวิตคนสิ้นหวังแบบเขา เขาไม่มีค่าพอสำหรับใครอีกแล้ว
ชีวิตที่เคยสดใสของเขามันพังลงไปนานแล้ว