ตอนที่1นักข่าวสายบันเทิง
‘นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเธอ…ลันตา พี่ให้โอกาสเธออีกแค่ครั้งเดียว ถ้ายังทำงานพลาดอีกเตรียมตัวเก็บของออกไปได้เลย’
นี่คือคำประกาศิตที่ทำให้เธอต้องมายืนอยู่ตรงนี้
…จังหวัดแม่ฮองสอน…
“แกไหวแน่นะลันตา”
เพื่อนสาวที่ทำงานสถานที่เดียวกันมีบรรณาธิการเดียวกัน แต่ต่างกันที่ ‘มีนานุช’ ทั้งสวยทั้งเก่งทั้งฉลาด เรื่องว่าครบครันของหญิงสาวที่ควรจะเป็น
“แกไม่ต้องหวงฉัน เรื่องแค่นี้สบายมาก”
“ไม่ไหวก็บอกนะ ฉันขอพี่เมย์ไปช่วยแกเอง”
พี่เมย์ หรือบรรณาธิการเจ้าของเพจ ‘ตามมาค่ะซิส’ สาวรุ่นลายครามวัยสี่สิบเก้ากะรัตไม่ยอมแก่ หน้าตึงโบท็อกซ์ทุกสามเดือนที่คาดโทษเธอไว้
“ไม่ต้องเลย ขืนแกมาช่วยฉัน…ชื่อของลันตาคงกระเด็นออกจากบริษัทเป็นแน่ เหอะ ฉันอยากหัวไวแบบแกบ้างจัง”
คนเป็นรองได้แต่ท้อใจในโชคชะตา เกิดมาเป็นเด็กกำพร้าทำอะไรก็ไม่เคยสมหวังสักอย่าง สมัยเรียนมหาวิทยาลัยมีนานุชเพื่อนสาวคนสวยที่โตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยกันก็มีแต่คนมารุมจีบ พอจบออกมาก็กลายเป็นดาวเด่นเพราะผลการเรียนที่ติดหนึ่งในห้าของนักศึกษาเกือบร้อยคน มีแต่คนแย่งตัวกันไปทำงาน และที่เธอได้งานนี้ก็เพราะมีนานุชต่อรองไว้ว่าให้รับเธอด้วยถึงจะยอมทำงานให้
…เฮ้อ เป็นรอบที่ร้อย…
“หยุดเลย หยุดเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับฉันสักที คนเรามีดีไม่เหมือนกัน…แกขาลุย ส่วนฉันไม่ค่อยกล้าสู้คน”
“นี่สินะ คนหน้าตาดีโลกจะใจดีแบบสามร้อยเปอร์เซ็นต์”
“เอาน่า แกแค่ไม่แต่งตัว ขืนลุกขึ้นมาแต่งหน้าทาปากสวยกว่าฉันแน่ๆ…มาๆ ฉันอวยพรให้เองหลับตานะ”
“ขอเจ๋งๆ เลยนะ”
ลันตาหลับตาลงแล้วยกมือขึ้นมากุมประสานกันไว้ตรงหน้าอก
“ขอให้โลกใจดีกับแก งานรุ่ง งานปัง สมหวังในสิ่งที่คิด เพี้ยงๆๆ ได้ผู้ได้งาน เลิศๆ ไปเลยจ้า”
“เดี๋ยวแค่งานพอ…แต่เอ๊ะ ได้ผู้ก็ดีนะ”
ลันตาหัวเราะให้กับเพื่อนสาว…ขอบคุณในคำอวยพร รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นทีเดียว
“ฉันรู้แกไม่หนีฉันไปมีแฟนหรอก”
“ฉันสิต้องกลัวแกหนีไปมีแฟน สวยก็สวย…ไม่คิดจะมองใครเลยหรือไง”
น่าแปลกที่ไม่ว่าจะมีผู้ชายมาขายขนมจีบให้มีนานุชเท่าไร เพื่อนสาวก็ไม่เคยชายตามองใครเลยสักคน
“ฉันเป็นห่วงแกนะ มีอะไรโทรหาฉันเลยนะเว้ย…เบอร์ฉุกเฉินยังเป็นเบอร์ฉันใช่ไหม”
“แน่นอน ต้องเป็นเบอร์เธออยู่แล้วมีนานุชคนสวย”
หลังจากวางสายเพื่อนสาว ลันตาก็เป่าปากเบาๆ อย่างให้กำลังใจตัวเอง
“สู้ แกทำได้ลันตา”
หญิงสาวเริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็นนักข่าวสายบันเทิง แม้จะทำมาร่วมสามปี แต่เธอก็ยังทำงานผิดพลาดมาตลอดอย่างข่าวล่าสุดที่พระเอกซีรีส์วาย ‘คิว ศิวัฒน์’ ทำสาวนอกวงการท้อง เธอก็วิ่งทำข่าวอยู่หลายครั้ง แต่ที่ผิดพลาดที่สุดเกินว่าจะรับได้ก็คือข่าวของเธอนั้นล่าช้ากว่าเพจออนไลน์อื่นจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่ติดฝุ่นกันเลยทีเดียว กว่าที่เธอจะได้ข้อมูลว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร บรรณาธิการก็โทรมาต่อว่าเสียยกใหญ่ที่คู่แข่งอย่างเพจ ‘เสิร์ฟเผือกร้อน’ ลงข่าวให้อึกทึกครึกโครมจนยอดเข้าชมถล่มทลาย
‘พี่อุตส่าห์ให้โปรเจ็คใหญ่เธอนะลันตาเห็นว่าเป็นขาลุยแต่ก็ยังทำงานช้าจนพลาดอีก จะให้ไปขายสวยเดินทำข่าวตามห้างตามงานแต่ง หน้าก็ไม่ได้อีก…หัดแต่งตัวแต่งหน้าแบบมีนานุชซะบ้างสิ’
‘โธ่ มันไม่เหมือนกันนี่ค่ะ’
หญิงสาวตาละห้อยมองผู้เป็นเจ้านาย
‘โปรเจ็คใหญ่ๆ เธอก็ทำมันพัง โปรเจ็คเล็กๆ ก็ไม่คุ้มเงินเดือนอีก…พี่จะเอาไงกับเธอดีเนี่ย’
บรรณาธิการสาวได้แต่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะทำงานอย่างใช้ความคิด ลูกน้องสาวคนนี้เรียกเงินเดือนแพงหูฉี่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ทำได้…ผิดพลาดไปหมด ผิดพลาดตั้งแต่รับเธอเข้ามาทำงานแล้วเนี่ย
‘อย่าไล่ลันตาออกเลยนะคะ สัญญาว่าจะไม่ทำงานพลาดอีกค่ะ’
‘โอกาสสุดท้ายของเธอ…ทำข่าวนี่ซะ ก่อนที่เพจอื่นจะเอาไปกิน’
รูปอดีตซุปตาร์หนุ่มถูกโยนลงบนโต๊ะ…อดีตซูเปอร์สตาร์ที่ไม่มีใครให้ความสนใจแล้วเนี่ยนะจะเป็นตัวตัดสินชีวิตการทำงานของเธอ…เฮ้อ!
ป้ายแขวนคอแสดงตัวตนการเป็นเหยี่ยวข่าวสาวถูกถอดยัดลงใส่กระเป๋าสะพายหลัง
ลันตาหายใจเข้าลึกๆ กระชับสายกล้องที่คล้องคอให้แน่น ก่อนจะเดินไปรับรถที่จองไว้ รถเก๋งทรงญี่ปุ่นขนาดกะทัดรัดสีดำเป็นยานพาหนะที่เธอจะใช้ในครั้งนี้ เมื่อสอดตัวเข้าไปนั่งในรถตรงตำแหน่งคนขับเรียบร้อยแล้ว จุดมุ่งหมายคือ…สถานวิปัสสนาน้อยอินคำ
แค่ดูจากแผนที่ก็รู้แล้วว่าถนนคดเคี้ยวแค่ไหน กว่าจะถึงก็ร่วมสองชั่วโมง
“ทำไมไม่ตัดถนนตรงๆ หรือระเบิดภูเขาไปเลยนะ”
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งก่อนจะดันเกียร์ลง เหยียบคันเร่ง แล้วขับรถออกไปจากสนามบินด้วยความเร็วที่พอจะทำได้ เสียงล้อบดถนนดังเอี๊ยด!!
“ชุบปีดู ชุปชุปปีดู โวะโอะโอ”
ลันตาฮัมเพลงไปตลอดทางพร้อมกับเสียงเพลงที่เปิดแข่งดังสนั่น เธอต้องรีบไปถึงสถานวิปัสสนาก่อนที่ท้องฟ้าจะมืด อากาศข้างนอกเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ถนนหนทางเริ่มคดเคี้ยวไปตามแนวสันภูเขา ต้นไม้สูงใหญ่รกครึ่มเต็มสองข้างทาง ถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นเธอคงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เป็นแน่
“แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้…แล้วเจอกัน ธาม ธีกานต์”
“ปิ๊กบ้านก่อนเน้อ”
“หื้อไปดีมาดีเน้อแม่อุ๊ยคำเกี๋ยง”
“อู้คำเมืองเก่งขนาด”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ อาศัยจำจากชาวบ้านแถวนี้เอาครับ…เจ้า”
ธาม ธีกานต์ อดีตซูเปอร์สตาร์หนุ่มผู้โด่งดังที่กำลังช่วยหลวงตากวาดลานวิปัสสนาหันไปยิ้มให้หญิงชรารุ่นยายที่มาช่วยทำกับข้าวให้คนมาปฏิบัติธรรม กิจวัตรประจำวันของชาวบ้านที่นี่นอกจากจะทำบุญใส่บาตรแล้ว การทำอาหารก็เปรียบเสมือนการมาสมาคมกันในหมู่ผู้สูงวัยมีทั้งชายและหญิง
แม่อุ๊ยคำเกี๋ยงในชุดผ้าพื้นเมือง นุ่งผ้าถุงทอมือมีผ้าสไบสีขาวผืนเล็กพาดไหล่ ในมือถือตะกร้าหวายเชี่ยนหมากหัวเราะกับคำพูดลืมตัวของชายหนุ่ม ก่อนจะกวักมือเรียกหลานสาววัยสิบขวบที่มาเล่นกับเด็กๆ แถวนั้นให้กลับบ้านได้แล้ว
“เฮาปิ๊กบ้านก่อนเน้อพี่ธาม”
เสียงเล็กเอ่ยลา ‘ดอกปีป’ ในชุดผ้าพื้นเมืองเช่นเดียวกับผู้เป็นยาย แต่ท่าทางแก่นแก้วเกินเด็กผู้หญิง ใส่เสื้อแขนกุด มวยผมเล็กตรงกลางศีรษะปักดอกเอื้องตาเหินส่งกลิ่นหอมไปถ้วนทั่ว หันมายิ้มให้ก่อนจะเดินตามผู้เป็นยายไป
“กลับบ้านดีๆ เน้อ ละอ่อนน้อย…แม่อุ๊ยคำเกี๋ยง”
วิถีชีวิตที่เรียบง่ายทำให้ธาม ธีกานต์หลงใหลในกลิ่นอายของความสบายๆ ทำอะไรเชื่องช้าไม่รีบร้อนเหมือนชีวิตในเมืองหลวงก่อนหน้านี้ เขาตัดสินใจหักดิบจากซูเปอร์สตาร์ที่กำลังโด่งดังถึงขีดสุดราวกับพลุแตกหนีมาใช้ชีวิตเรียบง่ายที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้ พร้อมกับเงินในบัญชีที่ใช้ทั้งชีวิตก็ไม่หมดจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำตลอดชีวิตศิลปินที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเก็บทุกเม็ด ไปทุกงาน แต่พอถึงจุดหนึ่งก็เริ่มเหนื่อยล้าและการพักร่างกายที่ดีที่สุดก็คือการได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ จังหวัดแม่ฮองสอนจึงเป็นสถานที่ที่เขาเลือกมาพักกาย…และพักใจ
ในอดีตเมื่อสองปีก่อนเขาคือ ธาม ธีกานต์ นักร้องที่คนรู้จักทั่วประเทศในวัยยี่สิบปลายๆ กับท่าเต้นสุดฮิตที่ไม่ว่าจะออกเพลงอะไรมาคนก็ร้องได้ทั่วบ้านทั่วเมือง และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาหันมาแสดงละคร ภาพยนตร์ หรือแม้แต่เดินแบบ ชื่อของเขาก็ยิ่งติดตลาดมากขึ้นจนถูกขนานนามว่าจะมาแทนที่ซูเปอร์สตาร์รุ่นพี่ที่เป็นดาวค้างฟ้ามานานกว่าสี่สิบปี
“เป๋นจะใดพ่อง เริ่มชินแล้วหรือยังโยมธาม”
หลวงตาที่สถานปฏิบัติธรรมเอ่ยถาม
“อยู่ได้ครับหลวงตา ได้นั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์ ก็รู้สึกผ่อนคลายจิตใจสงบมากขึ้นครับ”
“ดีแล้วล่ะ คนเราทำงานมาหนักมาทั้งชีวิตถึงไม่หนักกายก็หนักใจ ได้ผ่อนคลายก็ถือว่าดีมากทีเดียว”
“ครับ หลวงตา”
“คนที่นี่น่ารักเป็นกันเอง ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ไปนานๆ นะ”
ธาม ธีกานต์พอรู้ประวัติมาบ้างว่าท่านก็เป็นคนกรุงเทพเหมือนกันกับเขา แต่พอได้บวชเรียนก็อยู่ยาวมาหลายพรรษาจนสิริอายุครบหกพรรษา และไม่ได้กลับไปที่บ้านเกิดอีกเลย
ส่วนตัวเขาก็คิดจะลงหลักปักฐานที่นี่เหมือนกัน บ้านไร่ที่เขาต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไร้นักข่าวมาวุ่นวาย บ้านไม้สนชั้นเดียวสไตล์เอเฟรม หลังคายาวตรงจนเกือบถึงพื้น หน้าบ้านและริมหน้าต่างมีกระถางดอกไม้เมืองหนาวอย่างต้นฟอร์เก็ตมีน็อต ดอกจิ๋วสีฟ้าสวยปลูกประดับให้ความสดชื่นกลมกลืนไปกับธรรมชาติ รอบบ้านมีต้นสนสูงเรียงสวย ยิ่งถ้าวันไหนหมอกลงจางๆ ราวกับอยู่ในความฝันจนเขาไม่อยากตื่นและลุกออกจากเตียงกันเลยทีเดียว
…นี่แหละชีวิตในวัยเกษียณตั้งแต่อายุสามสิบ ให้เงินทำงาน…
---------------------------------------