bc

ดวงใจศิลา

book_age18+
292
ติดตาม
1.3K
อ่าน
ลึกลับ
วิทยาลัย
like
intro-logo
คำนิยม

บทนำ

ฝันร้าย

เอี๊ยดด~~~

โคร่มมม~~~

เฮือก!!!!

บัวหอมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมากลางดึกเหงื่อเม็ดโตผุดออกมาตามกรอบใบหน้าสวย ความฝันที่มักมาพร้อมกับสายฝนทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกครั้งท่ามกลางความมืดมิดไร้ไฟส่องสว่างตามวิถีชีวิตชนบทมีแต่ความสว่างของสายฟ้าที่แล่นพล่านไปทั่วท้องฟ้า กับห่าฝนที่กระหน่ำลงมาไม่หยุดทำให้เกิดเสียงกระทบหลังคาดังสนั่นเหมือนพระพิรุณลงโทษ

[บัวหอม]

ฝันอีกแล้วฉันฝันถึงเรื่องในคืนนั้นอีกแล้ว เสียงฝนที่กำลังตกอย่างหนักทำให้ต้องรีบลุกขึ้นไปปิดผ้าม่านที่หน้าต่างเพราะแสงวาบสว่างแล่นไปทั่วท้องฟ้าที่ดูน่ากลัวนั่นทำเอาใจดวงน้อยพลันสั่นระริก เมื่อนึกไปถึงคืนที่ฉันเกิดอุบัติเหตุ ด้วยความเร่งรีบทำให้ไม่ทันได้ระวังพอลุกขึ้นยืนทรงตัวก็ต้องหน้านิ่วเพราะอาการเจ็บแปลบที่ขาข้างซ้ายผลพวงจากอุบัติเหตุ ฉันกัดฟันลุกมาปิดผ้าม่านที่หน้าต่างเพื่อไม่ให้เห็นแสงสว่างวาบที่เกิดจากฟ้าร้องฉันค่อยๆ เดินขากะเผลกไปที่หน้าต่างปิดม่านแล้วเดินเข้ามานอนอีกครั้ง ก่อนจะหยิบผ้าห่มผืนหนามาห่มลูกๆ ที่นอนบนฟูกเก่าๆ ข้างกัน

"แม่จ๋า//แม่จ๋า หนูกลัว"

"ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะเด็กดี แม่อยู่นี่แล้ว"

"กอดหนูหน่อย//กอดหนูหน่อย" เด็กแฝดพูดออกมาพร้อมกันด้วยน้ำเสียงปนความหวาดหวั่นกับเสียงฟ้าที่กำลังดังกึกก้องอยู่ด้านนอก

"มาจ่ะกอดๆ กันนะ เดี๋ยวฟ้าก็หายร้องแล้ว โอ๋ๆ นอนนะลูกนะ”

“เจ้านกกาเหว่าเอ๋ย ไข่ให้ไว้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทธรณ์ คาบเอาข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อนถนอมไว้ในรังนอน ซ่อนเหยื่อมาให้กิน ปีกเจ้ายังอ่อน คลอแคล ท้อแท้จะสอนบินพาลูกไปหากินที่ปากน้ำพระคงคา ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซร้หาปลากินกุ้ง กินกั้ง กินหอย กระพังแมงดา กินแล้วก็โผมา จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง ปีกเจ้ายังอ่อน คลอแคล ท้อแท้จะสอนบิน พาลูกไปหากินที่ปากน้ำพระคงคา ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซร้หาปลา กินกุ้ง กินกั้ง กินหอย กระพังแมงดา กินแล้วก็โผมา จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง”

ฉันร้องเพลงกล่อมลูกน้อยหันเหความกลัวของเด็กๆ ต่อเสียงฟ้าร้องฝนกระหน่ำด้านนอก อ้อมแขนเล็กๆ ของลูกๆ ทั้งซ้ายขวาวาดเกี่ยวเอวของฉันแน่นอย่างกลัวว่าจะหาย มือบางยกกอดลูกทั้งสองคนไว้แน่นด้วยความกลัวไม่ต่างกัน เราทั้งสามคนเกลียดเสียงฟ้าร้องและนั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันการเป็นแม่ลูกของพวกเราได้เป็นอย่างดี

รุ่งเช้า

ตึง ตึง ตึง

"แม่จ๋า//แม่จ๋า" สองเสียงสอดประสานอย่างเข้ากันทันทีที่เห็นฉันอยู่ในครัว

"ไม่วิ่งกันนะจ๊ะเด็กๆ" ฉันที่กำลังทำข้าวต้มอยู่ในครัวต้องรีบปิดเตาเดินออกมาดูลูกสาวลูกชายทั้งสองคนที่พากันวิ่งออกมาจากชั้นบนของบ้านเสียงดังตึงตังขนาดบ่นก็แล้วว่าก็แล้วก็ยังไม่วายชอบวิ่งกันอยู่ดี ฉันส่ายหัวกับเด็กๆ ทั้งสองคนพร้อมรอยยิ้ม

"หอมจังเลยค่ะ //ครับ"

"ทำไมรีบตื่นละคะวันนี้ แม่จ๋ายังทำกับข้าวไม่เสร็จเลยจ่ะ" ฉันนั่งลงอ้าแขนรับลูกทั้งสองคนที่พากันวิ่งเข้ามาซุกไหล่ฉันคนละข้างแรงกระแทกที่โถมเข้ามาทำเอาฉันเกือบหงายหลังแต่ยังดีที่ทรงตัวได้

"เมื่อคืนหนูฝันร้าย" แป้งหอมฝาแฝดคนพี่พูดออกมาด้วยใบหน้าติดกลัวน้ำเสียงสั่นระริก

"ผมด้วยฮะ" ข้าวปุ้นแฝดคนน้องก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกัน

"ไหนคะลูกของแม่ฝันว่าอะไรเอ่ย บอกแม่ได้ไหมจ๊ะ"

ตอนนี้ฉันนั่งขัดสมาธิลงที่พื้นบ้านโดยที่มีลูกทั้งสองคนนั่งที่หัวเข่าคนละข้าง ถึงจะรู้สึกเจ็บแปลบที่ขาอยู่ แต่ลูกน้อยก็สำคัญกว่า

"หนูฝันว่าหนูถูกคนจับตัวไป ร้องหาแม่จ๋าแม่จ๋าก็ไม่เห็นมาหาหนูสักที" แฝดพี่สาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆ พร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้า

"หนู ก็ฝันว่าถูกจับไปเหมือนกันฮะ เรียกแม่จ๋าเท่าไรแม่จ๋าก็ไม่ได้ยิน" แฝดน้องพูดขึ้นมาอีกคนแต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมาเหมือนพี่สาวแต่ก็มีสีหน้าเหมือนข่มกลั้นไว้

"โอ๋ โอ๋ ไม่ร้องนะจ๊ะแค่ฝันร้าย โบราณว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะคะ แล้วก็แม่จะไม่ยอมให้ใครมาจับตัวลูกของแม่ทั้งสองคนไปแน่นอน " ฉันกระชับอ้อมแขนกอดลูกทั้งสองคนไว้แน่น กดจมูกหอมหัวลูกทั้งสองคนก่อนจะพากันลุกไปนั่งในห้องครัวรอฉันทำอาหารต่อ เด็กๆ หยิบกระดาษวาดรูปออกมานอนวาดรูปเล่นรอฉันทำอาหารอย่างว่าง่าย

บทที่ 1

จุดเริ่มต้น

ชีวิตของบัวบูชา

ฉันบูชา รัชกร หรือชื่อเล่นบัวหอมในวัยยี่สิบห้าปีพร้อมด้วยลูกแฝดชายหญิงอาศัยอยู่กันลำพังสามคนแม่ลูกที่บ้านเล็กๆ หลังหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี

น้องแป้งหอม เด็กหญิงศิริกานดา รัชกร อายุ 5 ขวบ เด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าชัง ปากนิดจมูกหน่อยผมหยักศกเหลือบทองเป็นประกายอย่างลูกเสี้ยว เป็นเด็กเลี้ยงง่ายกินง่ายกิริยามารยาทเรียบร้อย

น้องข้าวปั้น เด็กชายศิลากาล รัชกร อายุ 5 ขวบ แฝดคนน้องที่น่ารักน่าชังไม่ต่างกับคนพี่แต่จะติดซนมากกว่าคนเป็นพี่สาวอยู่มาก ซึ่งก็เป็นไปตามช่วงอายุของเด็กวัยนี้ที่จะมีซุกซนบ้างตามประสา

เด็กแฝดชายหญิงน่าตาน่ารักอย่างกับเด็กฝรั่งเพราะส่วนหนึ่งได้มา DNA จากฉันที่เป็นลูกครึ่งเพียงแต่ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นใคร ไม่มีที่มาว่าสัญชาติจริงๆ ของฉันเป็นพื้นเพมาจากที่ไหนเพราะถูกนำไปทิ้งไว้ตั้งแต่เด็กสายสะดือยังไม่แห้งด้วยซ้ำ ฉันถูกเอามาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านมหาเศรษฐีหลังหนึ่งเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน มันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ไม่รู้ว่าคนทางนั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง จะมีความสุขดีไหม จะยังจำเด็กที่ชื่อบัวหอมคนนี้ได้หรือเปล่า

กลับมาปัจจุบันตอนนี้ลูกทั้งสองคนของฉันกำลังเรียนอยู่โรงเรียนชั้นอนุบาลสองโรงเรียนแถวบ้านที่มีค่าเทอมไม่ได้แพงมากนัก ฉันอยู่กับลูกสามคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านไม้สองชั้นที่ค่อนข้างเก่าแต่ก็ยังแข็งแรง เป็นบ้านของรุ่นพี่ที่ทำงานแต่ได้ย้ายไปต่างประเทศเพราะแต่งงานกับแฟนที่เป็นชาวต่างชาติ แล้วปล่อยให้ฉันเช่าในราคาไม่แพงนัก ด้วยความสงสารแถมยังลดค่าเช่าให้ฉัน จนฉันเองก็ตกใจกับค่าเช่าที่แสนจะถูก ถึงไม่ได้เป็นบ้านใหญ่ใหญ่โตอะไรแต่ค่าเช่าถูกแถมติดโรงเรียนของลูกก็ใกล้ที่ทำงาน ทำให้ฉันไม่แม้แต่จะปฏิเสธและคอยดูแลรักษาบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีไม่ปล่อยให้ทรุดโทรมไปตามเวลา

ฉันทำงานเป็นพนักงานที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ถามว่าฉันเป็นคนพื้นเพที่นี่อย่างนั้นหรือ ตอบได้เลย

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
บทนำ ฝันร้าย
เอี๊ยดด~~~ โคร่มมม~~~ เฮือก!!!! บัวหอมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมากลางดึกเหงื่อเม็ดโตผุดออกมาตามกรอบใบหน้าสวย ความฝันที่มักมาพร้อมกับสายฝนทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกครั้งท่ามกลางความมืดมิดไร้ไฟส่องสว่างตามวิถีชีวิตชนบทมีแต่ความสว่างของสายฟ้าที่แล่นพล่านไปทั่วท้องฟ้า กับห่าฝนที่กระหน่ำลงมาไม่หยุดทำให้เกิดเสียงกระทบหลังคาดังสนั่นเหมือนพระพิรุณลงโทษ [บัวหอม] ฝันอีกแล้วฉันฝันถึงเรื่องในคืนนั้นอีกแล้ว เสียงฝนที่กำลังตกอย่างหนักทำให้ต้องรีบลุกขึ้นไปปิดผ้าม่านที่หน้าต่างเพราะแสงวาบสว่างแล่นไปทั่วท้องฟ้าที่ดูน่ากลัวนั่นทำเอาใจดวงน้อยพลันสั่นระริก เมื่อนึกไปถึงคืนที่ฉันเกิดอุบัติเหตุ ด้วยความเร่งรีบทำให้ไม่ทันได้ระวังพอลุกขึ้นยืนทรงตัวก็ต้องหน้านิ่วเพราะอาการเจ็บแปลบที่ขาข้างซ้ายผลพวงจากอุบัติเหตุ ฉันกัดฟันลุกมาปิดผ้าม่านที่หน้าต่างเพื่อไม่ให้เห็นแสงสว่างวาบที่เกิดจากฟ้าร้องฉันค่อยๆ เดินขากะเผลกไปที่หน้าต่างปิดม่านแล้วเดินเข้ามานอนอีกครั้ง ก่อนจะหยิบผ้าห่มผืนหนามาห่มลูกๆ ที่นอนบนฟูกเก่าๆ ข้างกัน "แม่จ๋า//แม่จ๋า หนูกลัว" "ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะเด็กดี แม่อยู่นี่แล้ว" "กอดหนูหน่อย//กอดหนูหน่อย" เด็กแฝดพูดออกมาพร้อมกันด้วยน้ำเสียงปนความหวาดหวั่นกับเสียงฟ้าที่กำลังดังกึกก้องอยู่ด้านนอก "มาจ่ะกอดๆ กันนะ เดี๋ยวฟ้าก็หายร้องแล้ว โอ๋ๆ นอนนะลูกนะ” “เจ้านกกาเหว่าเอ๋ย ไข่ให้ไว้แม่กาฟัก แม่กาก็หลงรัก คิดว่าลูกในอุทธรณ์ คาบเอาข้าวมาเผื่อ คาบเอาเหยื่อมาป้อนถนอมไว้ในรังนอน ซ่อนเหยื่อมาให้กิน ปีกเจ้ายังอ่อน คลอแคล ท้อแท้จะสอนบินพาลูกไปหากินที่ปากน้ำพระคงคา ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซร้หาปลากินกุ้ง กินกั้ง กินหอย กระพังแมงดา กินแล้วก็โผมา จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง ปีกเจ้ายังอ่อน คลอแคล ท้อแท้จะสอนบิน พาลูกไปหากินที่ปากน้ำพระคงคา ตีนเจ้าเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซร้หาปลา กินกุ้ง กินกั้ง กินหอย กระพังแมงดา กินแล้วก็โผมา จับที่ต้นหว้าโพธิ์ทอง” ฉันร้องเพลงกล่อมลูกน้อยหันเหความกลัวของเด็กๆ ต่อเสียงฟ้าร้องฝนกระหน่ำด้านนอก อ้อมแขนเล็กๆ ของลูกๆ ทั้งซ้ายขวาวาดเกี่ยวเอวของฉันแน่นอย่างกลัวว่าจะหาย มือบางยกกอดลูกทั้งสองคนไว้แน่นด้วยความกลัวไม่ต่างกัน เราทั้งสามคนเกลียดเสียงฟ้าร้องและนั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันการเป็นแม่ลูกของพวกเราได้เป็นอย่างดี รุ่งเช้า ตึง ตึง ตึง "แม่จ๋า//แม่จ๋า" สองเสียงสอดประสานอย่างเข้ากันทันทีที่เห็นฉันอยู่ในครัว "ไม่วิ่งกันนะจ๊ะเด็กๆ" ฉันที่กำลังทำข้าวต้มอยู่ในครัวต้องรีบปิดเตาเดินออกมาดูลูกสาวลูกชายทั้งสองคนที่พากันวิ่งออกมาจากชั้นบนของบ้านเสียงดังตึงตังขนาดบ่นก็แล้วว่าก็แล้วก็ยังไม่วายชอบวิ่งกันอยู่ดี ฉันส่ายหัวกับเด็กๆ ทั้งสองคนพร้อมรอยยิ้ม "หอมจังเลยค่ะ //ครับ" "ทำไมรีบตื่นละคะวันนี้ แม่จ๋ายังทำกับข้าวไม่เสร็จเลยจ่ะ" ฉันนั่งลงอ้าแขนรับลูกทั้งสองคนที่พากันวิ่งเข้ามาซุกไหล่ฉันคนละข้างแรงกระแทกที่โถมเข้ามาทำเอาฉันเกือบหงายหลังแต่ยังดีที่ทรงตัวได้ "เมื่อคืนหนูฝันร้าย" แป้งหอมฝาแฝดคนพี่พูดออกมาด้วยใบหน้าติดกลัวน้ำเสียงสั่นระริก "ผมด้วยฮะ" ข้าวปุ้นแฝดคนน้องก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกัน "ไหนคะลูกของแม่ฝันว่าอะไรเอ่ย บอกแม่ได้ไหมจ๊ะ" ตอนนี้ฉันนั่งขัดสมาธิลงที่พื้นบ้านโดยที่มีลูกทั้งสองคนนั่งที่หัวเข่าคนละข้าง ถึงจะรู้สึกเจ็บแปลบที่ขาอยู่ แต่ลูกน้อยก็สำคัญกว่า "หนูฝันว่าหนูถูกคนจับตัวไป ร้องหาแม่จ๋าแม่จ๋าก็ไม่เห็นมาหาหนูสักที" แฝดพี่สาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆ พร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้า "หนู ก็ฝันว่าถูกจับไปเหมือนกันฮะ เรียกแม่จ๋าเท่าไรแม่จ๋าก็ไม่ได้ยิน" แฝดน้องพูดขึ้นมาอีกคนแต่ไม่ได้ร้องไห้ออกมาเหมือนพี่สาวแต่ก็มีสีหน้าเหมือนข่มกลั้นไว้ "โอ๋ โอ๋ ไม่ร้องนะจ๊ะแค่ฝันร้าย โบราณว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะคะ แล้วก็แม่จะไม่ยอมให้ใครมาจับตัวลูกของแม่ทั้งสองคนไปแน่นอน " ฉันกระชับอ้อมแขนกอดลูกทั้งสองคนไว้แน่น กดจมูกหอมหัวลูกทั้งสองคนก่อนจะพากันลุกไปนั่งในห้องครัวรอฉันทำอาหารต่อ เด็กๆ หยิบกระดาษวาดรูปออกมานอนวาดรูปเล่นรอฉันทำอาหารอย่างว่าง่าย จุดเริ่มต้น ชีวิตของบัวบูชา ฉันบูชา รัชกร หรือชื่อเล่นบัวหอมในวัยยี่สิบห้าปีพร้อมด้วยลูกแฝดชายหญิงอาศัยอยู่กันลำพังสามคนแม่ลูกที่บ้านเล็กๆ หลังหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี น้องแป้งหอม เด็กหญิงศิริกานดา รัชกร อายุ 5 ขวบ เด็กน้อยหน้าตาน่ารักน่าชัง ปากนิดจมูกหน่อยผมหยักศกเหลือบทองเป็นประกายอย่างลูกเสี้ยว เป็นเด็กเลี้ยงง่ายกินง่ายกิริยามารยาทเรียบร้อย น้องข้าวปั้น เด็กชายศิลากาล รัชกร อายุ 5 ขวบ แฝดคนน้องที่น่ารักน่าชังไม่ต่างกับคนพี่แต่จะติดซนมากกว่าคนเป็นพี่สาวอยู่มาก ซึ่งก็เป็นไปตามช่วงอายุของเด็กวัยนี้ที่จะมีซุกซนบ้างตามประสา เด็กแฝดชายหญิงน่าตาน่ารักอย่างกับเด็กฝรั่งเพราะส่วนหนึ่งได้มา DNA จากฉันที่เป็นลูกครึ่งเพียงแต่ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่เป็นใคร ไม่มีที่มาว่าสัญชาติจริงๆ ของฉันเป็นพื้นเพมาจากที่ไหนเพราะถูกนำไปทิ้งไว้ตั้งแต่เด็กสายสะดือยังไม่แห้งด้วยซ้ำ ฉันถูกเอามาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านมหาเศรษฐีหลังหนึ่งเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน มันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ไม่รู้ว่าคนทางนั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง จะมีความสุขดีไหม จะยังจำเด็กที่ชื่อบัวหอมคนนี้ได้หรือเปล่า กลับมาปัจจุบันตอนนี้ลูกทั้งสองคนของฉันกำลังเรียนอยู่โรงเรียนชั้นอนุบาลสองโรงเรียนแถวบ้านที่มีค่าเทอมไม่ได้แพงมากนัก ฉันอยู่กับลูกสามคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ บ้านไม้สองชั้นที่ค่อนข้างเก่าแต่ก็ยังแข็งแรง เป็นบ้านของรุ่นพี่ที่ทำงานแต่ได้ย้ายไปต่างประเทศเพราะแต่งงานกับแฟนที่เป็นชาวต่างชาติ แล้วปล่อยให้ฉันเช่าในราคาไม่แพงนัก ด้วยความสงสารแถมยังลดค่าเช่าให้ฉัน จนฉันเองก็ตกใจกับค่าเช่าที่แสนจะถูก ถึงไม่ได้เป็นบ้านใหญ่ใหญ่โตอะไรแต่ค่าเช่าถูกแถมติดโรงเรียนของลูกก็ใกล้ที่ทำงาน ทำให้ฉันไม่แม้แต่จะปฏิเสธและคอยดูแลรักษาบ้านหลังนี้เป็นอย่างดีไม่ปล่อยให้ทรุดโทรมไปตามเวลา ฉันทำงานเป็นพนักงานที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ถามว่าฉันเป็นคนพื้นเพที่นี่อย่างนั้นหรือ ตอบได้เลยว่าไม่ใช่ แต่มีเหตุให้จับพลัดจับผลูมาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่ก็แค่นั้น ชีวิตประจำวันของฉันไม่ได้มีอะไรมาก เช้าตื่นมาทำอาหารให้ลูกๆ อาบน้ำแต่งตัวส่งลูกไปโรงเรียน แล้วก็เลยไปทำงาน ตกเย็นเลิกงานไปรับลูกที่โรงเรียนกลับมาทำงานต่อจนเลิกงานแล้วก็กลับบ้าน กิจวัตรประจำวันของทั้งสามคนเป็นแบบนี้วนไป วันแล้ววันเล่า และวันนี้ก็เหมือนกัน ฉันกำลังจะพาลูกๆ ไปส่งที่โรงเรียนหลังจากกินข้าวเสร็จก็พากันเดินออกมารอรถสองแถวที่หน้าบ้าน "แม่จ๋ารถมาแล้ว" แป้งหอมพูดขึ้นเมื่อเห็นรถสองแถววิ่งฝุ่นตลบมาจอดข้างหน้า "มาเลยอีหนูขึ้นมานั่งหน้า" "สวัสดีจ่ะลุงเม่น" "สวัสดีจ้าตา//สวัสดีจ้าตา" ฉันและเด็กๆ ยกมือไหว้ลุงเม่นคนขับรถสองแถวเจ้าประจำที่ฉันนั่งทุกวันมาตลอดเป็นระยะเวลาก็เกือบจะเข้าปีที่หก เคารพแกเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาลุงเม่นกับป้าศรีเป็นผู้มีพระคุณที่คอยให้ความช่วยเหลือฉันมาตลอด แล้วบ้านแกอยู่ตรงข้ามกันนี่แหละ ทั้งสองคนก็อยู่กันสองตายาย ไม่มีลูกไม่มีหลาน "เออ...เด็กๆ ขึ้นมา ๆ วันนี้ยายศรีฝากตาเอาขนมมาให้ด้วย เด็กๆ เอาไปแบ่งกันกินนะ" ลุงเม่นยื่นขนมใส่ไส้ส่งให้เด็กๆ ที่นั่งเบียดกันที่เบาะหน้าข้างๆ แก ซึ่งเป็นที่ประจำของฉันสามคนแม่ลูกไปแล้ว "ขอบคุณจ่ะลุงเม่น เด็กๆ ขอบคุณตาด้วยนะจ๊ะ " "ขอบคุณค่าา ตาจ๋าา// ขอบคุณค่าบคุณตา" เด็กแฝดยกมือไหว้อย่างสวยงามตามที่ฉันสอนขอบคุณคนแก่ที่ตอนนี้กำลังขับรถออกไปรับผู้โดยสารที่รอตามทาง "เอ่อๆ ไอ้เด็กพวกนี้มันมือไม่อ่อน แม่สอนมาดีแท้" ลุงเม่นเอ่ยชมอย่างจริงใจทำให้ฉันอดภูมิใจไม่ได้ โรงเรียนอนุบาล "สวัสดีค่ะ//สวัสดีครับ" เด็กๆ พากันยกมือไหว้คุณครูที่มายืนรอรับที่หน้าโรงเรียน ก่อนจะหันมายกมือไหว้ฉันพร้อมกันและหอมแก้มฉันคนละข้างอย่างเคยชิน "เจอกันตอนเย็นนะคะ" ฉันบอกลูกน้อยก่อนจะโบกมือบ๊ายบาย "บ๊ายบายค่ะแม่จ๋า//บ๊ายบายฮะแม่" เด็กๆ โบกมือบ๊ายบายก่อนจะหันหลังเดินตามกลุ่มเด็กคนอื่นไป ฉันยืนมองเด็กๆ ที่จับมือพากันวิ่งเข้าห้องเรียนจนลับสายตาแล้วยกนาฬิกาเรือนละร้อยกว่าบาทขึ้นมาดู เวลา 8.45 นาฬิกา ‘ตายแล้วบัวหอม สายจนได้สินะ’ ฉันรีบเดินออกมาโบกวินมอเตอร์ไซค์แล้วให้พี่วินรีบขับไปที่รีสอร์ตที่เป็นที่ทำงานของฉันทันที ฉันใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการนั่งวินปกติฉันต้องเข้างาน 9 โมงตรงแต่เพราะเมื่อเช้าเด็กๆ งอแงจากการฝันร้ายเมื่อคืนนี้ฉันจึงใช้เวลาอยู่ปลอบเด็กๆ นานไปหน่อย ฉันวิ่งเข้ามาในรีสอร์ตอย่างกระหืดกระหอบถึงแม้ขาข้างซ้ายที่เจ็บแปล๊บประท้วงเพราะฉันฝืนวิ่ง จนขากะเผลกเล็กน้อยจากการลงน้ำหนักมากไป ปกติเวลาเดินถ้าไม่มีใครสังเกตก็จะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วฉันเดินไม่ปกติ ฉันวิ่งด้วยความกระหืดกระหอบพาตัวเองลัดเลาะมาทางลัดที่ตัดเข้าหลังออฟฟิศเพื่อให้มาทันตอกบัตรเข้างาน ไม่อย่างนั้นถ้าฉันสายเดือนนี้ฉันคงอดเบี้ยขยันแน่ๆ ตั้งห้าร้อยเลยนะ ค่ากับข้าวได้ตั้งเป็นอาทิตย์เชียวนะ "โอ๊ะ!! ขอโทษค่ะ " ฉันที่มัวแต่วิ่งจนไม่ได้ดูทางก็ชนเข้ากับผู้ชายตัวโตคนหนึ่งแต่ฉันก็ไม่ได้หันกลับไปมอง ได้แต่พูดขอโทษออกไปแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อ โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตามด้วยสายตาตื่นตะลึงและยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น แฮ่ก แฮ่ก ~~ "นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว" ฉันวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตอกบัตรทันตรงเวลา 9.00 น. พอดีก็พลันหายใจโล่งขึ้นมา แต่ดีใจได้ไม่นานก็รู้สึกถึงขาที่กำลังสั่นระริกจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ทำให้เซเล็กน้อย ฉันรีบยกมือยันตู้ ล็อกเกอร์เพื่อช่วยพยุงตัวเพราะเกรงว่าจะล้ม "บัวหอม นั่งพักก่อนไหม ดูสิหน้าซีดเซียวไปหมดแล้ว " ฉันได้ยินแก้วขวัญเพื่อนร่วมงานทักทันทีที่เห็นฉันยังยืนหอบอยู่ เธอดึงแขนฉันมานั่งตรงเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ "หวัดดีแก้ว มานานแล้วเหรอ?" ฉันหันไปยิ้มให้เพื่อนพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้รู้ว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรมากแต่ก็นั่งพักตามที่เพื่อนบอก ไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงไปมากกว่านี้ "ไหวจริงเหรอ? แล้วนี่วิ่งมาไม่เจ็บขาหรือไง? หมอบอกว่าไม่ให้ลงเท้าข้างนั้นหนักมากไม่ไช่เหรอ เท่าที่แก้วจำได้ แล้วทำไมยังดื้อละฮึ!" แก้วขวัญยกมือขึ้นเท้าเอวดุฉันด้วยน้ำเสียงจริงจังหลังจากฉันนั่งลงเก้าอี้ก็แทบสะดุ้งเพราะน้ำเสียงของเธอ นี่เพื่อนหรือแม่ ดุจังแฮะ!! แก้วขวัญเป็นอีกคนที่รู้ว่าฉันมีปัญหาเรื่องการเดินเพราะเธอชอบสังเกตและเห็นความผิดปกติของฉัน แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากถามจนมีวันหนึ่งฉันวิ่งมาแบบนี้แล้วเกิดสะดุดล้มลงเพราะอาการเจ็บแปล๊บที่ขาข้างซ้ายมันออกอาการว่าฉันใช้งานหนักไป ทำให้ขาฉันอ่อนแรง แก้วขวัญเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์แล้วเรียกคนมาช่วยพาฉันไปส่งโรงพยาบาลเลยทำให้รู้ว่าฉันเคยเกิดอุบัติเหตุทำให้ขาเกือบพิการเดินไม่ได้ "ไม่เป็นไรเลย สบายมาก" ฉันพูดอย่างหนักแน่นยิ้มกว้างส่งให้เพื่อนคนเดียวของฉันตลอดเกือบห้าปีที่ผ่านมาก็มีแก้วขวัญนี่แหละที่มาช่วยดูแลเด็กๆ โดยตลอดนอกจากลุงมั่นป้าศรีและยังมีพี่ป้าน้าอาที่นี่อีกด้วย ทุกคนเอ็นดูพวกเราสามแม่ลูกมากฉันคิดว่าพวกเราโชคดีแล้วที่มาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ "ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว" เสียงพ่นลมหายใจของเพื่อนสาวอย่างโล่งอกทำเอาฉันต้องยิ้มออกมาอีกครั้ง ก็ใครให้แก้วขวัญทำตัวเหมือนแม่กันล่ะ ทั้งที่แก้วขวัญนั้นอายุน้อยกว่าฉันอีกแต่ฉันก็ชอบที่เธอเป็นแบบนี้นะ มันก็ดูรู้สึกอบอุ่นเหมือนครอบครัวที่ต้องมีการบ่นการว่าบ้างตามประสา "เอ่อ.. แก้วขวัญทำไมวันนี้ฉันรู้สึกว่ารถจอดเยอะกว่าทุกวันเลย" ตอนที่ฉันลงรถมอเตอร์ไซค์ ฉันเห็นที่ลานจอดรถ รถจอดเยอะมากจนแทบไม่มีที่ว่างเลย "เอ้า! ไม่มีใครบอกเหรอ ว่าวันนี้ที่รีสอร์ตมีจัดสัมมนา" แก้วขวัญถามฉันพลางมองด้วยสายตากลมโตดูตกใจ "ตายแล้ว จริงๆ ด้วยฉันผิดเองฉันลืมบอกเธอเลย พอดีพี่มิ้นเค้าแจ้งมาเมื่อวานว่าจะมีจัดสัมมนาสองคืนสามวันจากบริษัทอะไรสักอย่างนี่แหละฉันเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน ขอโทษๆ ฉันเองแท้ๆ ที่บอกพี่มิ้นว่าจะมาบอกเธอเองจะได้เตรียมตัวรับศึกหนัก " "ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง" ฉันผูกผ้าคาดเอวพร้อมที่จะทำหน้าที่ประจำ นั่นก็คือพนักงานเสิร์ฟที่รีสอร์ตแห่งนี้ พวกคุณคงไม่คิดว่าฉันจะมีตำแหน่งใหญ่โตที่นี่กันหรอกใช่ไหมคะ หึ!! พวกคุณคิดผิดแล้วค่ะ ก็ฉันมีวุฒิแค่ม.หก เรียนปริญญาตรีก็ไม่จบ แต่ก็ช่างเถอะเพราะมันก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องทำงานเพื่อเงินที่จะได้รับในแต่ละเดือนแล้วนำมาใช้จ่ายให้พอในแต่ละเดือนก็เท่านั้น ‘นี่แหละค่ะ ชีวิตจริงของบัวหอม’

editor-pick
Dreame - ขวัญใจบรรณาธิการ

bc

แม่หมอแห่งซูโจว

read
7.4K
bc

พันธะร้าย..ดวงใจรัก

read
2.1K
bc

คุณหนูสิบเจ็ดตระกูลเจียง

read
10.6K
bc

เชลยรักท่านอ๋องอำมหิต

read
16.9K
bc

วิญญาณตามรัก

read
1K
bc

รักต้นฉบับ(ไม่ลับ)แม่มดมนตรา

read
1K
bc

หยุดหัวใจไม่รักดี

read
4.3K

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook